[RE: "หยกสุดโต่งจริง หรือพวกเราเคยชินกับการถูกกดขี่?"]
Wolvesgangster พิมพ์ว่า:
Kuronek0 พิมพ์ว่า:
จากข้อมูลของทั้ง 2 ฝั่ง
1. เรื่อง การได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามสิทธิ์ ที่น้องอ้าง แต่น้องไมไ่ด้เข้าเรียนทุกคาบ เลือกเรียนแค่บางคาบ ผมไม่พูดถึงกิจกรรมพวกโฮมรูม เข้าแถวนะ เอาแค่วิชาที่สอน มันเป็นวิชาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่น้องอ้าง น้องยังไม่เรียนทุกคาบเลย
2. เรื่องการแต่งตัวและทรงผม โรงเรียนได้มีการทำประชาพิจารณ์จากผู้มีส่วนได้เสียแล้ว ซึ่งต้องดูข้อมูลตรงนี้อีกทีว่า มีการแหกอะไรมั้ย เพราะนักเรียนก็เป็นผู้ได้เสีย ทำไมกฎออกมาแล้วถึงยังไม่อนุญาตให้ย้อมผมและแต่งไปรเวทล่ะครับ นักเรียนอาจจะเห็นด้วยกับการใส่ชุดนักเรียน ไม่ย้อมผมด้วยไง รอข้อมูลอีกทีอิงตามประกาศโรงเรียน
3. จากข้อ 2 ถ้ากฎมันไม่ถูกต้องแล้วน้องไม่ทำตาม ผมยินดีสนับสนุน แต่กฎมันถูกต้องแล้วเพราะผ่านกระบวนการครบถ้วนแล้ว แต่น้องไม่ยอมทำตาม นั่นคือ น้องไม่ทำตามกฎครับ
ปล. ถ้าเป็นไดโนเสาร์ขอเป็นไทรเซราทอปนะครับ

สงสารยามครับทำหน้าที่ตามปกติโดนด่าเฉย
อันนี้ผมตั้งข้อสังเกตให้นะครับ แล้วกฏที่ออกมาสอดคล้องกับหลักการสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามจุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญหรือไม่?
ในระบอบเสรีประชาธิปไตยการลงมติเสียงข้างมากเพื่อลิดรอนเสียงข้างน้อยไม่สามารถกระทำได้นะครับ
จริง ๆ ในต่างประเทศก็มีโรงเรียนที่ออกกฏอะไรประมาณนี้ครับ แต่ส่วนใหญ่เป็น private school เลยไม่มีปัญหาอะไร
คนที่ซีเรียสเรื่องอยู่ในสังคมก็ต้องทำตามกฏเกณฑ์สังคมเนี่ย ผมสงสัยว่านอกจากตั้งคำถามกับเด็กที่แหกกฏ ได้ลองตั้งคำถามไหมว่าการที่โรงเรียนรัฐส่วนใหญ่ยังใช้กฏเกณฑ์ที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของสิทธิและเสรีภาพที่รับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญเนี่ย มันถูกต้องไหม?
เด็กได้รับสิทธิหลายอย่างมากกว่าประชาชนทั่วไปครับ โดยแลกมากับการถูกริดรอนเสรีภาพบางอย่างไป เช่น ห้ามเข้าผับ ห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ทั้งหมดเป็นไปเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของผู้เยาว์ ก็ต้องตั้งคำถามว่าการบังคับใส่ชุดนักเรียน และการไปหยุมหยิมเรื่องผมของเด็กมันช่วยปกป้องสวัสดิการภาพของเด็กได้จริงไหม?
ทีละเรื่องนะครับ เอาเรื่องชุดก่อน ตาม พรบ.ชุดนักเรียน 2551 บอกไว้ชัดเจนครับว่า พรบ. ฉบับนี้มีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ ซึ่ง ตามมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 32 ทำให้สามารถทำได้โดยอาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติทางกฎหมายครับ และในระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบ ข้อ 14 "สถานศึกษาใดมีความประสงค์จะขอใช้เครื่องแบบเป็นอย่างอื่นนอกจากที่กำหนดในระเบียบนี้ให้ขออนุญาตต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งหรือผู้กำกับดูแลสถานศึกษานั้นแล้วแต่กรณี" ก็ชัดเจนนะครับว่ารัฐธรรมนูญระบุให้สามารถทำได้และระเบียบกระทรวงศึกษาไม่ได้มีการบังคับให้ใส่ชุดนักเรียน โดยให้อำนาจ ผอ. เลย ซึ่ง โรงเรียนก็ทำตามขั้นตอนแล้ว เรื่องชุดนักเรียน ไม่แน่ใจว่าตอบท่านได้มั้ย
เรื่องต่อมาทรงผม ตามที่ได้มีการยกเลิกกฎกระทรวงเกี่ยวกับทรงผมเมื่อกุมภาพันธ์ 66 กระทรวงศึกษาก็ให้อำนาจ ผอ. เต็มที่เลย แต่ต้องสอบถามจากผู้มรส่วนได้เสียด้วย ซึ่ง ตามประกาศโรงเรียนก็ทำแล้วครับ
ถึงตรงนี้ โรงเรียนทำได้ถึงแม้จะเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพแต่รัฐธรรมก็อนุญาตให้ทำได้ครับ
เรื่องหลักการพอละนะครับ ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านอยากเสนอครับและผมขอเสนอสิ่งที่ตัวเองคิดแบบวางหลักการไว้นะครับ
1. กระทรวงศึกษาธิการมักจะออกกฎอะไรแบบนี้โดยขาดความคิดถึงความหลากหลายของนักเรียนในปัจจุบันครับ ไม่ซัพพอร์ตสภาพของสังคมปัจุุบันเลยสักนิด มันขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐานครับ เช่น การไปจำกัดว่านักเรียนหญิงต้องใส่กระโปรง นักเรียนชายต้องกางเกง
2. ของพวกนี้มันไม่มีผลกับการเรียนของเด็กเลยสักนิด (ถึงแม้จะมีผลสำรวจว่ามันทำให้เด็กเลือกชุดไปเรียนง่ายก็เถอะ) และไมไ่ด้ส่งเสริมการสร้างวินัยอย่างแท้จริงครับ แค่เอามาอ้างเฉย ๆ เพื่อฝึกวินัย
3. ไม่ว่าเด็กจะใส่ชุดอะไรไปเรียน คุณไม่มีสิทธิ์ห้ามเด็กไม่ให้เรียนเพราะนั่นเป็นในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็กครับ ส่วนเรื่องจะมีโทษทางวินัยยังไงก็แล้วแต่โรงเรียน เพราะเด็กก็ต้องรับผลจากการกระทำของตัวเองด้วย
4. การมีกฎระเบียบเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ากฎระเบียบนั้นมันเสี่ยงที่จะกระทบกับสิทธิ เสรีภาพ ก็ต้องระวัง และควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎระเบียบที่จะนำมาใช้กับตัวเองด้วย
อันนี้คือ คหสต. ของผมครับ ผมรอดูและลุ้นมาก ๆ ว่าก้าวไกลจะเข้ามาเปลี่ยนอะไรพวกนี้ให้มันหมดไปสักทีได้มั้ยครับ