ผมทำงานประจำ(ข้าราชการ) ส่วนแฟนให้ออกจากงานประจำมาทำร้านอาหาร เพราะเงินเดือนน้อย รายได้ก็ไม่แน่นอน ทำร้านก๋วยเตี๋ยวมาสามปี ต้นทุนก็เพิ่มขึ้น ดีหน่อยทำร้านต่างจังหวัดไม่ในกทม. เข้าใจหัวอกผู้ประกอบการเลยครับ เป็นกำลังใจให้ผ่านวิกฤตไปได้ ไม่ทำเองไม่รู้หรอกครับ จะทำให้ขายได้หรือจะให้อยู่รอดไปทุกวิกฤตและไม่ล้มหายตายจากไป สมัยนี้ยากจริงๆ

fix cost มันไม่เท่าเดิมครับ คุณมองแต่เนื้อสัตว์กับผัก จริงๆมันมีสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และต้องใช้จ่าย สิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ ทุกวัน อย่าง น้ำปลา ซีอิ๋วขาว น้ำมันหอย ถุงหิ้ว ยางรัดของ กระดาษตองห่อข้าว (ร้านผมไม่ใช่กล่องโฟม) ช้อนพลาสติค น้ำปลาซอง พริกน้ำตาลซอง หลอด น้ำยาล้างจาน ถุงดำใส่ขยะ น้ำแข็งหลอด พวกนี้ ขึ้นแล้ว ราคาไม่เคยลงกลับมาจุดเดิม

เมื่อช่วงแล้งผักแพง ไข่แพงไก่ไม่ค่อยออกไข่

ช่วงน้ำท่วมผักเน่า ของขาดราคาแพง

กินเจ ผักไม่พอ ราคาแพง

หน้าแล้งมะนาวแพง

เวลาผักแพงมาก คุณอาจไม่รู้ มะนาวโลละ 120 กะเพราโลละ 90 ถั่วฝักยาวโลละ 40 ข้าวโพดอ่อนบรรจุถุง ถุงละ 40 ดอกกะหล่ำ บางหัว 60 บาท คะน้า ช่วงแพง โลละ 60-80 บาท พริก กะเทียม นี่ตัวดีเลย เวลาขึ้น ขึ้นนานมาก กว่าจะลง ขึ้นไว ลงช้า

ดังนั้นบางเวลาที่ผักแพง บางอย่างกิโลนึง ราคาแพง กว่าเนื้อไก่ กิโล นึงอีกครับ

แล้วถ้าคุณอ่านดีๆ ค่าเช่าที่ ผม ขึ้นทุก 3 ปีนะครับ แรกเริ่มที่ผม มาเช่า 9 ปีที่แล้ว 7500 บาท ปัจจุบัน 10,xxx บาท รวมถึง ค่าที่พักผม ก็ขึ้น มาเมื่อสองปีที่แล้ว 200 บาทสำหรับค่าที่พัก 500 บาทสำหรับที่จอดรถยนต์

ค่าแรงลูกจ้างผม ก็เพิ่ม สมัยจ้างแรกๆตอน 2016 ผมให้ 350 บาท + โบนัสถ้าขายดีก็ให้ลูกจ้างเพิ่ม

ปัจจุบัน ผมให้วันละ 400 บาท + โบนัสถ้าวันไหนขายดี เหนื่อยกันมาก ก็ให้เพิ่ม20-60 บาท ไว้กินน้ำหวาน ขนม เป็นกำลังใจให้ลูกจ้าง

มันมีหลายอย่าง ที่ขึ้นไปแล้วไม่กลับลงมาอีก ทั้งในแง่การค้าขาย และในแง่ ที่ผมเป็นผู้บริโภค ที่ต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน


ถ้าคุณอยากรู้ ต้องก้าว มาลงทุนเป็นเจ้าของร้าน ดูครับ เพราะ ตราบใดเป็นผู้บริโภคทั้งชีวิต แล้วไม่รับฟังคนที่เขาทำจริงๆ คุณจะคิดแบบ ตื้นเขิน แบบนี้ตลอดไป


ส่วนบางร้านขึ้น 10-15 บาท ผมก็มองว่าหน้าเลือดไป เกินพอดีไปมาก ส่วนตัวร้านผม ยังไม่ได้ขึ้น ถ้าขึ้นก็กะจะขึ้น 5 บาท ส่วนลงก็คงไม่ปรับลงแล้ว ส่วนเหตุผลที่ขึ้น คือ ภาพรวมของสินค้าหลายอย่างที่ใช้ในการค้าขาย มันขึ้นแล้วไม่ลง หลายอย่าง รวมถึง ค่าเช่าที่ ทำให้แบกรับ ราคาหมูที่ขึ้น ยิ่งแบกนาน ยิ่งลำบาก


แต่ถ้า เป็นอย่างคุณว่า ถ้า หมู กิโลละ 120 ผมจะลดราคา กลับไปที่ ผัดกะเพรา 40 บาท เหมือนเดิมให้ดู ถ้าพ้นวิกฤตหมู แล้วราคา หมูดิ่งจากราคาฐานที่ 160-170 ไปยืนที่ราคากิโลละ 120 ได้จริง ไม่ใช่ความฝัน ร้านผม จะก้าวออกมาลดราคา และมาพิมพ์เรียกร้อง ให้เพื่อนสมาชิกที่ประกอบอาชีพค้าขาย ใน ss ลดราคาให้เป็นธรรมกับ ผู้บริโภคครับ


ยังไงถ้าสงสัย พิมพ์สอบถาม แบบ อารยะชน แบบนี้ ผมยินดี ให้ข้อมูลแบบหมดเปลือก สนใจก็โควทถามผมได้เรื่อยนะครับ ยินดีชี้แจ้ง โลกแห่งความจริง ของคนประกอบอาชีพขายอาหาร

ต้องเข้าใจผู้บริโภคก่อนครับที่เค้าบ่นกันเพราะค่าครองชีพมันเท่าเดิม แต่ใช้จ่ายแพงขึ้น ส่วนคนขายสามารถปรับขึ้นราคาตามของวัตถุดิบที่แพงขึ้นได้ เท่ากับกำไรเท่าเดิม หรืออาจจะมากกว่าเดิม แล้วเวลาของลง ราคาที่ปรับขึ้นแล้วไม่เคยลงตาม

ยกตัวอย่าง หมู 1 โล ทำกะเพราะได้ 50 จาน ต้นทุน 160 ขายจานละ 40 ถ้าขายหมดจะได้ 2000 บาท แล้วนำไปหักกับต้นทุนที่ผันผวนขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน ที่เหลือคือกำไร

อนาคตจะขึ้นเท่าไรไม่รู้หรืออาจจะลง หมู 1 โล ทำกะเพราะได้ 50 จาน ต้นทุน 200 ขายจานละ 50 ถ้าขายหมดจะได้ 2500 บาท

ไม่ว่าต้นทุนต่างๆจะแพงขึ้นหรือลดลง บรรดาพ่อค้าก็ปรับราคาขึ้นได้ ตามทุนต่างๆที่มันสูงขึ้นได้ เพื่อให้ได้กำไรมันเท่าทุน หรืออาจได้มากกว่า แต่พวกผู้บริโภคมันจ่ายแพงขึ้น ในขณะที่ค่าครองชีพมันเท่าเดิมไงครับ

เข้าใจซิครับ เวลาผม กลับบ้าน พาแฟนไปกินจิ้มจุ่ม อาหารอีสาน หรือ ขึ้นรถไฟฟ้า ดูหนัง ไปเที่ยว ผมไม่ใช่ ผู้บริโภคหรอครับ ผมก็ผู้บริโภคคนนึง เหมือนกัน

แล้วเรื่องปรับราคา ให้คุณคิดตามผมแบบนี้นะ

ณ วันแรก ที่ผมเปิดร้าน 9 ปีที่แล้ว กะเพราะหมู 35 บาท เป็นราคา ที่ผมคิดว่า คุ้มที่จะทำ และแฟร์กับลูกค้า

ผ่านไป 5 ปี สินค้าหลายรายการปรับตัวขึ้นแล้วไม่ลง เท่ากับ ราคาที่ผมตั้งไว้แฟร์ๆ กับลูกค้า กลายเป็น แต่ละปีที่ผ่าน รายได้ผมลดไปทีละนิดเรื่อยๆ จากของ หลายรายการที่ขึ้นแล้วไม่ลง รวมถึงค่าครองชีพตัวผม และครอบครัว

ทำให้ผมต้องปรับราคา เมื่อเข้าปีที่ 5 ของร้าน เป็นบวกขึ้นมา 5 บาท = กะเพราหมู 40 บาท

แล้วนี่ก็ผ่านเวลา ของร้านผมสี่ปีกว่า เป็นร้านผมเปิดมา 9 ปี ใกล้จะครบ 10 ปี ในเดือน กพ นี้แล้วครับ

ซึ่งก็เหมือนเดิม ระหว่างปีที่ 5- ปัจจุบัน ของพวกวัสดุเคมีภันฑ์ พลาสติค เครื่องปรุงรส ของแห้งหลายรายการ ขึ้นแล้ว ไม่กลับลงมาอีก ยกตัวอย่าง กุนเชียง ร้านผม ใช้ของมีคุณภาพ โลละ 190 บาท แต่เมื่อ 9 ปีที่แล้วสมัยผมเปิดร้านใหม่ๆ ผมซื้อได้ในราคา 150 บาท ผู้บริโภค ต้องไปเดินตลาด ซื้อของ บ่อยๆและหลากหลายขึ้น แล้วจะเข้าใจ

ดังนั้น สรุปว่า ไอราคาหมูสำหรับผม ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ต้องขึ้นราคา แต่มันเป็นตัวเร่งเวลา ที่ทำให้ผม ต้องคิดว่าควรปรับขึ้นได้หรือยัง


เพราะ ฐาน ราคาที่ผมขาย คือ ราคาที่ผมคิดว่าเป็นธรรม กับลูกค้า และเวลาต้องขอขึ้นราคา ไม่ใช่หวังกำไรเพิ่ม แต่เป็นการหวัง ลดการขาดทุนกำไร และ ให้ราคากลับไปสู่จุด ที่ผมคิดว่าเป็นธรรมต่อ ผู้บริโภค และตัวผมเอง (ที่บางเวลา ผมก็ต้องเป็นผู้บริโภค)

ผมก็ทำร้านอาหารนะ แรกๆก็ใช้ของดีเลยแหละ อย่างเนื้อหมูก็ใช้สันใน ซอสหอยนางรมตราแม่ครัว เป็นต้น แต่ตอนหลังผมเปลี่ยนไปใช้เนื้อส่วนที่ถูกสุด หมูก็ใช้หมูบด และซอสหอยนางรมก็ซื้ออันที่ถูกกว่า แล้วค่อยมาปรับรสชาติเอา ลูกค้าก็ยังมากินปกตินะ ของแบบนี้มันต้องปรับตัวอะ อันไหนที่ลดต้นทุนได้ก็เปลี่ยน ผมมองว่าสิ่งที่สำคัญสุดคือรสชาติ

แต่ยอมรับว่าตอนนี้เศรษฐกิจมันแย่จริงๆ ยังไงก็ควรเพิ่มราคา แล้วไปลดต้นทุนด้วยอีกทาง เพราะจะขึ้นมาราคามากก็ไม่ได้

Fix cost มันขึ้นปกติ ก็ต้องแก้ไขตามปกติ ต่อให้หมูไม่ขึ้นราคา

เราพูดประเด็นเรื่องหมู และการขึ้นราคา fix มันขึ้นโดยเงินเฟ้อไม่ขึ้น ภาระคือผู้บริโภคใช่หรือไม่ ร้านอาหารใหญ่ๆเห็นยังไม่ขึ้น และมีอีกหลายปัจจัยที่ยังพูดไม่หมด

ก็จะคุยแบบปกตินะ แต่ติดตรงที่มาแขวะ ผมว่าคนที่คิดตื้นเขินคือคุณ​ที่ไม่เข้าใจที่ผมสื่อทั้งหมดนะ

ผมอยู่สายการเงิน ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการแบบคุณ เป็นแค่ลูกจ้าง เสียภาษีเงินได้ปีๆนึง30%เอง ​ แค่เจ้าของร้านขายอาหารตามสั่งแล้วมาดูถูกความคิดคนอื่นเนี่ย ผมว่ามันทุเรสนะ
คนรวยหลักร้อยล้านพันล้านเขายังถ่อมตัวกว่าเยอะ


สรุปคือ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ จะแพงจะถูก คนซื้อเขาก็เลือกของเขาเอง แพงหรือไม่ชอบก็ไม่ต้องกินแค่นั้น

ว่าแต่ผัดจานละ15 บาท ปีๆนึงเสียภาษี​เงินได้ส่วนบุคคล​ไหม ร้านเสียภาษี​เงินได้รึปล่าว ขายเยอะ มี vatไหม

แก้ยังไงครับ แนะนำผมที่ fix cost?

คุณไม่ได้อ่าน กระทู้นี้โดยละเอียดแน่ๆ สาเหตุที่ต้องขึ้น ไม่ใช่ราคาหมู แต่ ทุกส่วนครับ คุณคงไม่ได้อ่านจับใจความอย่างแท้จริงของกระทู้นี้ รบกวนไปอ่านให้ครบถ้วนก่อนครับ

คุณ ต่างหากที่คิดแบบตื้นเขิน fix cost ในโลกความเป็นจริง มัน fix อะไรได้บ้างครับ ในโลกการเงินของคุณ ดอกเบี้ย เงินกู้ เงินฝาก fix ได้ตลอดกาลมั้ยครับ?

เงื่อนไขปล่อยกู้ ใช้หลักฐาน มาตรฐานเดียวตลอดกาลใช่มั้ยครับ?

" และการขึ้นราคา fix มันขึ้นโดยเงินเฟ้อไม่ขึ้น " <<< คุณอยู่วงการการเงินจริงหรอครับ เงินเฟ้อ นี่มันสิบปี ขึ้นทีนึงหรอครับ?

อะไรบ้าง ที่เป็น ราคาตายตัว fix cost ได้จริงๆ ขนาดน้ำตาลทราย ที่เป็นสินค้าควบคุม เมื่อถึงจุดนึง ก็ต้องขยับเพดานราคาขึ้น จะให้น้ำตาลทรายโลละ 8-9 บาท แบบสมัยรุ่นพ่อแม่ เราก็เป็นไปไม่่ได้

คุณเป็น คนอยู่ในวงการ การเงิน ที่มองไม่ครบทุกมิติ เอาซะมากๆเลย

ยังไง อย่าพูดลอยๆนะครับ รบกวนแก้ปัญหาให้ผมด้วย ถ้าคุณคิดว่า fix cost มันควร ควบคุมได้

ค่าเช่าที่ ค่าเช่าที่พัก ค่ากิน ค่าครองชีพผม ค่า ของแห้ง ค่าเครื่องปรุง ค่าเคมีภัณฑ์ บอกผมที ว่าแก้ยังไง

อย่าาเงียบนะครับ พ่อค้าหลายคน เขาก็อยากรู้ วิธีแก้ปัญหาของพวกนี้ คุณรบกวน ชี้แนะด้วยครับ

"ร้านใหญ่ๆยังไม่ขึ้นราคา" <<<< (ประทานโทษ ผมร้านเล็ก ก็ยังไม่ขึ้นราคาครับ แต่สังคมประนาม ไปก่อนแล้ว)

แล้วผมอวดรวย ตอนไหนครับ ผมอาจดูไม่ถ่อมตัวก็จริง แต่อย่างน้อย ผมก็ไม่ได้ มาอ้อนวอน ให้คนเห็นใจครับ ผมมา พูดถึง ข้อเท็จจริง ใครจะด่า ร้านอาหาร ต่อผมก็ไม่ว่าอะไร ถือว่า ผมเอาข้อมูลมาให้แล้ว ถ้าสมองเลือกที่จะไม่วิเคราะห์ ข้อมูล ความเป็นจริง ผมก็ไม่ว่าอะไรครับ ถือว่าผมได้พูดความจริงไปแล้ว ปัญญาชน คงเข้าใจ



ย้ำอีกที ว่าแก้ fix cost ยังไงครับ ถ้ามันขึ้น ทุกปี แต่ร้านค้าห้ามขึ้นราคา (ไม่เกี่ยวกับหมูแพงด้วย) คุณช่วยบอกที และ อธิบาย ในโลกการเงินด้วยครับ ว่ามีอะไร fix ได้บ้าง ไม่ว่า ความผันผวนค่าเงิน gdp หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ยฝาก กู้ มันมีอะไรบ้างในโลกนี้ ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


ถ้าอยาก ถก ก็มาผมยินดีรับฟัง โครตอยากรู้แนวทางเลย ว่า มันมีแก้ได้ทางไหน ที่ไม่ต้อง ขึ้นราคา (ไม่เอา ลดคุณภาพ สินค้านะ นั่นเป็นทางแก้ที่ผมไม่คิดจะทำ เพราะผมไม่กินข้าวแข็ง กับเศษหมู ผมก็ไม่คิดทำให้ลูกค้าที่มาอุดหนุน ต้องกินอะไรแบบนั้น)

ผัดจานละ 13.75 บาท กำไรต่อวัน 500-1000 บาท มีวันหยุดเดือนละ 2-4 วันแล้วแต่ความเหนื่อยล้า

ตีเป็นค่า max เลย เดือนนึงผมมีกำไรจาก ร้านอาหาร 28000 บาท

ค่าที่พัก 5200+ค่าที่จอดรถ 1000 = 6200 ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเน็ต 1500 บาท = 7700 บาทต่อเดือน

เท่ากับเหลือเงินรายได้ 20300 บาท

20300 x 12 เดือน = 243,000 บาทต่อปี

หักค่าเลี้ยงดูมารดา 30,000 = 213,000 บาทต่อปี

หักค่าลดหย่อนผู้มีรายได้อีก 60,000 = 153,600 บาท ต่อปี นี่ผมคิดแบบ ค่า max เลยนะ ขายได้กำไรสูงสุดทุกวัน ไม่เว้นฝนตก ฟ้าร้อง โควิดระบาด รัฐบาลสั่งห้ามนั่งกิน บลาๆ


เท่ากับ ผมมีรายได้ ส่วนบุคคล ในโลกแห่งความฝัน พึง ชำระ 3600 บาท ที่เกินมา คิดอัตรา 5% = ต้องชำระ ภาษี 180 บาท ถ้าคุณ มาอุดหนุนร้านผม ให้ได้กำไรวันละ 1000 ทุกวัน

แต่ในโลกความจริง มันไม่ใช่ไงครับ มันไม่่ถึง 150,000 บาท เคลียร์นะ คุณ นักการเงิน

ส่วน คริปโต การที่ผมยังไม่ได้ take profit เท่ากับ ยังไม่เกิดกำไรนะครับ เข้าใจตรงกันนะ

แล้วคุณละ จ่ายภาษี ปีละเท่าไหร่ครับ รายได้เดือนละเท่าไหร่ เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

อ่อ ผมเสีย ค่าบำรุงสิ่งแวดล้อม ค่าเก็บขยะ เก็บไขมัน ให้ทางสำนักงานเขต ถูกต้องครับ ถือเป็น fix cost ได้มั้ยครับ

ผมมีแก้ไขเพิ่มเติมนะ กลับไปอ่านนิดนึงก็ดี

เรื่อง fix เนี่ย ผมเทียบปีต่อปี ถ้าคุณ​เอา10ปีที่แล้วมาเทียบมันก็ต่างอยู่แล้วครับ

แล้วที่ผ่านมาร้านต่างๆก็หาข้ออ้างขึ้นราคามาโดยตลอด ไม่ว่าจะน้ำมัน ค่าแรง หมู ผัก ผอราคาต่างๆลง มีหลอจะลงตาม ก็เงียบไว้ เอาส่วนต่างเข้ากระเป๋า พอต้นทุนแพงก็ออกมาโวยวาย


แล้วตอนนี้บอกจะขึ้นเพราะทุกอย่างมันขึ้น ก็ตอนนั้นก็อ้างแบบนี้มาทีนึงแล้ว fixปีนึงมันก้าวกระโดดแบบนั้นหลอครับ

จัดการเรื่องพนง.ที่ใช้ความสามารถที่ทำแทนกันได้ยังไง จัดการวัตถุดิบยังไง เรื่องการบริหารร้านผมลงรายละเอียดไม่ได้หลอกครับ มันหน้าที่ของคุณ

จะขึ้นก็ขึ้นไปครับ ง่ายดี ไม่พอใจก็ไม่ต้องกิน แค่นั้น

แค่นี้แหละครับ ขอบคุณ​สำหรับการตั้งใจพิมพ์​ตอบนะครับ แต่ถ้าจะแขวะ ก็ตามนั้นครับ ไม่โกง

แล้วคุณคิดว่า ผมขึ้นราคาทุกปีหรอครับ? ขายมา 9 ปี เพิ่งขึ้นราคาครั้งเดียวตอน ครบรอบ 5 ปี คุณได้อ่านดีแล้วหรือยังครับ หรือ อยากพูดเอาหล่อไว้ก่อน โดยไม่ได้อ่านข้อมูลอย่าครบถ้วน?


และคุณอ่านดีแล้วแน่หรอครับ ว่า เวลาหมูขึ้น ผักขึ้น หมูลง ผักลง ราคาไม่ลง คุณอ่านหรือยังครับ ถึงรายการสินค้า ที่ร้านอาหารต้องซื้อแบบเลี่ยงไม่ได้ แล้วมันขึ้นแล้วขึ้นเลย ไม่ได้ลงมาคุณ >> อ่านดีแล้วใช่มั้ยครับ ก่อนแสดงความเห็น <<

ผมอ่าน รีพลายล่าสุดของคุณ คุณไม่ได้อ่าน เนื้อหา คุณแค่อ่าน เฉพาะสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิดคุณ แล้วก็แย้งขึ้นมา ถ้าคุณ อ่านโดยละเอียดรอบคอบจริง คุณจะไม่พิมพ์ แบบนี้ มันเหมือนพวก คนที่ผมอยากจะสื่อถึง ในสองบรรทัดท้าย ของกระทู้ผม ช่างตื้นเขิน เสียจริงๆ

ไม่คิดว่า นักการเงิน อย่างคุณ จะมองอะไรลวกๆแบบนี้ มันไม่ควรเป็น วิสัยคนทำงาน ด้านการเงิน ที่ควรมีความละเอียดรอบคอบ เป็นอย่างสูง

เน้นย้ำ ว่าอ่านให้ครบก่อน ไม่มีใครปิดกั้นไม่ให้คุณพิมพ์หรอก ดูปัญหา ให้ท่องแท้ แล้วมารบกวน บอกวิธีแก้ไขปัญหาให้ผมด้วยครับ ถ้าคุณคิดว่าแก้ได้

มันไม่ใช่เรื่องที่ผมแคร์ครับ เสียเวลาไร้สาระ ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียด ไม่ได้ประโยชน์​อะไร


อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะครับ ผมมันแค่ลูกจ้าง เงินเดือนก็น้อยนิด ไม่เก่งเหมือนเจ้าของกิจการร้านอาหารตามสั่งแบบคุณ​หลอกครับ ตามสะบายเลย

คงคิดว่าตัวเองเจ๋งเก่งมากสินะครับ วิสัยของร้านแบบนี้เป็นแบบนี้นี่เอง


เพิ่มอีกนิด ต่อให้ผมลงรายละเอียด หาข้อมูลมาพูด คุณก็ได้ประโยชน์​ ผมไม่พูดก็หาเรื่องต่อ เพ้อเจ้อมากเลย ไม่

นั่นแหละครับ อยากขึ้นเท่าไหร่ก็ขึ้นเลย สิทธิ์​ของคุณ คนอื่นเขาจะพูดจะวิจารณ์​มุมไหนก็สิทธิ์​ของเขา

ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเจ๋ง แต่พวก ที่ออกมาแขวะ ร้านอาหารตามสั่งขึ้นได้ลงไม่ได้ ต่างหากที่เจ๋ง ตัวเองไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย พิมพ์กันสนุกสนาน พวกนี้ซิเก่ง ข้อมูลไม่มีในมือสักแอะ แต่วิจารณ์ได้เหมือนตัวเอง รู้ทะลุปรุโปร่ง แบบนี้ซิถึงเรียกว่า เจ๋งเก่งมากสินะครับ


ผมเอาความจริงมาพูด เป็นความจริงที่ผู้บริโภคบางกลุ่ม ไม่คิดที่จะรับฟัง และผมไม่ได้ แขวะลอยๆสนุกปากโดยไม่ได้รู้ความจริง คุณเลือกได้เลย ว่าจะอยาก เป็นคนกลุ่มไหน ไม่ต้องบอกผมก็ได้ เก็บไว้ในใจประเด็นนี้ ว่าคุณ เลือก ที่จะเป็นคนแบบไหน สำหรับผมผมเลือกแล้วตามที่คุณเห็น

คุณ ถามผมด้านการเงิน ผมก็แค่ถามกลาม แฟร์ๆครับ ผมกล้ากลางสมุดบัญชี รายรับรายจ่าย เงินฝากธนาคาร รวมถึงพอร์ตการลงทุนแบบนัดเจอ กับคุณเลย ชื่อตรงบัตรประชาชน ทุกอย่าง แฟร์ๆไม่มีหมกเม็ด

ถ้าคุณ คิดว่าโปร่งใส ไม่กลัวภาษี เรานัดพิสูจน์กันได้ครับ ไม่มีอะไรน่ากลัว แบบเคส ท็อตแนม แน่นอน

ถ้าคิดว่า ผมขายของรวย แล้วสงสัยเรื่องภาษีนัก

จริงๆ มานั่งนึกคุณไม่ควรถามผมด้วยซ้ำ ถ้าอ่านกระทู้นี้อย่างละเอียด เพราะคุณเป็น นักการเงิน แล้วเกิดอยากนึกจับผิด คุณกดเครื่องคิดเลขเองก็ยังได้ ว่าผมถึงเกณฑ์ ควรชำระ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่


ถ้ายังไง ควร ชี้แจง หลายเรื่องที่ผม ถามกลับบ้างนะครับ เวลาคุณสงสัย วิจารณ์ลอยๆ ผมตามชี้แจง ทุกเรื่อง

แต่สิ่งที่ผมอยากรู้บ้าง คุณไม่คิดจะตอบผมเลย มันไม่แฟร์ครับ

พูดลอยๆใครก็พูดได้ แต่ พูดแล้วรับผิดชอบในสิ่งที่พูด มันไม่ควรหายากนะครับ พูดความจริงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะเราไม่ต้องแต่งเรื่อง ประดิษฐ์ คำมาโกหกใคร

ถ้าคุณ เก่งเหมือนที่ บอก ให้คุม fix cost รบกวนนนนนนน เลยครับ ชี้แนะที พ่อค้าบางคน นอกจากผม เขาก็รอดูคำแนะนำอยู่ครับ

ต่อให้ผมลงรายละเอียด หาข้อมูลมาพูด คุณก็ได้ประโยชน์​ ผมไม่พูดก็หาเรื่องต่อ เพ้อเจ้อมากเลย

นั่นแหละครับ อยากขึ้นเท่าไหร่ก็ขึ้นเลย สิทธิ์​ของคุณ คนอื่นเขาจะพูดจะวิจารณ์​มุมไหนก็สิทธิ์​ของเขา

คุณ​จะดูถูกคนอื่น ก็จะมีคนดูถูกคุณ​แค่นั้น

ผมเป็นแค่ลูกจ้างเองครับ ไม่ริอาจไปให้คำแนะนำเจ้าของกิจการแบบคุณหลอกครับ

สายการเงินคืออะไรรู้หลอครับ มีกี่สายครับ แค่นี้ก็มั่วมาดูถูกคนอื่นแล้วครับ ทั้งๆที่เขาไม่ได้ให้ค่า แม้แต่จะอ่านให้ละเอียด

ก็ลงซิครับ ก่อนคุณพูดว่า แก้ได้ด้วยการคุม fix cost ในหัวคุณคิดอะไร มีแผนการอะไร ก็แค่พูดมันออกมา ถ้าคุณไม่ได้พูดลอยๆ แบบสิ้นคิด

คุณแค่พูดความจริง ออกมา ว่าแก้อย่างนี้อย่างนี้นะ ทำอย่างนั้นนะ ไม่เห็นจะยาก การพูดความจริง สิ่งที่ตัวเราคิด มันยากตรงไหน มันเป็น สิทธิ์พื้นฐาน ของมนุษย์เลย ในการแสดงความเห็น บนพื้นฐานความเป็นจริง อย่างสุจริต

ไหนจะเรื่อง การเงิน ว่ามีอะไรบ้างที่ fix ได้ คุณก็ไม่ตอบผมสักที ทั้งๆที่เป็นวงการ ที่คุณ ทำมาหากินแท้ๆ ผมอยากเปิดโลกทัศน์ อุตส่าห์ สอบถามใคร่รู้ คุณก็ไม่ตอบ

สรุป นอกจากเรื่อง ที่คุณไม่รู้จริง เกี่ยวกับการลงทุนประกอบอาหาร มีอะไรบ้าง ที่คุณ รู้จริงๆ อันนี้แหละที่ผม กับเพื่อนพ่อค้า ในเว็ปอีกคน อยากรู้

คุณว่าสายงานนี้มีกี่สายครับ พยายามมาดูถูกคนอื่นต่อ ฉลาดมากเลย คือถ้าจะคิดหามันก็ได้ครับ แต่ไม่ทำำ ไม่ได้อยากช่วยครับ แค่อ่านยังขี้เกียจอ่านเลย ไม่ได้ให้ค่าครับ