ช่วงแรกมันต้องมีกลไกหนุนคนที่ได้รับผลก่อนแหละ พวกแต้มต่อหรือสิทธิเรื่องภาษีต่างๆ
การยกที่รากฐานมันหนักหนาสำหรับทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่ถ้าคิดว่ายากแล้วไม่ทำ มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย

แต่ถ้าเกิดรายย่อยพังทลาย เศรษฐกิจ sme ย่อยยับ ก็ต้องโทษรัฐบาลได้เต็มเปาแล้วแหละว่าวางกลยุทธไว้ไม่รอบด้าน

ผมว่ามันเล่นคำนะ ขอแยกเงินเฟ้อกับค่าครองชีพสูง เงินอาจจะไม่เฟ้อ
คิดง่ายๆ ถ้าเฟ้อคือเราต้องมีเงินเยอะมากๆ แต่เงินจะพอใช้จ่ายมั้ย
ก็อีกประเด็น

แต่ค่าครองชีพขึ้นแน่ๆ เวลาคิดต้นทุนมันไม่ใช่ว่าค่าแรง 15% แล้ว
เพิ่มค่าแรงเป็น 20% ธุรกิจจะไม่กระทบ แต่โดยปกติ ถ้าset ไว้ที่ 15%
เรตนั้นมักจะเป็นอัตราสูงสุดที่ บ.จ่ายไหว ถ้าขยับไป 20% บ. มันต้อง
ไปปรับกลไกราคาสักอย่างแน่ๆ

อย่าว่าแต่ขึ้นพรวดเดียวเลย ขนาดขึ้นปีละนิด ค่าครองชีพยังสูงขึ้นเลย

อีกประเด็น บ.ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จ่ายค่าจ้างที่ค่าแรงขั้นต่ำนะ มันจ่ายสูงกว่านั้นไปอีก
การขึ้นพรวด มันต้องทำให้เขาไปปรับค่าครองชีพของพนักงานบางส่วนด้วย
บางคนอาจจะได้บวกฐานเงินเดือนไปเลย 3000 5000 ..

ค่าแรงขั้นต่ำเดือนละแสนกำลังดี แต่ส่วนตัวผมขอ2แสนพอ

ไอ้การป้อนข้อมูลสั้นๆ ซ้ำๆ นี่มันเป็นวิธีปฏิบัติการด้านข้อมูลชัดๆ

ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะ แต่อธิบายเพิ่มเติมมาด้วยก็ดี

คนที่เริ่มเร่องควรอธิบายนะ ผมมีคำอธิบายส่วนตัวแหละ แต่ถ้าผมอธิบายผมก็ตกเป็นหนึ่งในเหยื่อของการปฏิบัติการด้านข้อมูลสิ

มันก็ไม่ใช่ขึ้นแล้วรับผลทันทีไม่ใช่หรอ ซัพส่วนต่าง และ ประกันสังคม ไปพร้อมกันอย่างต่ำๆก็ 6 เดือน

เข้าใจว่าระยะเวลามันอาจจะสั้น แต่มันก็มีแววว่า 6 เดือนแรกปรับตัวก่อน ถ้ามันไม่ดี มันก็ยังอาจจะมีการแก้ไขได้อยู่รึเปล่าครับ

เกิดเงินเฟ้ออยู่เเล้ว ผลกระทบ ทางธุรกิจไม่สามารถGenerate รายได้มาได้ ล้มหลายบริษัท
คนตกงาน ในเมื่อปรับค่าเเรงขั้นต่ำได้ อาหารขึ้นราคา

ผมเชื่อว่า 450 บาท เเพงไป ย้ายฐานการผลิตไปเพื่อนบ้าน คนตกงานเยอะเเน่ๆ

ผมถามคนที่บอกว่าค่าครองชีพนำไปไกลแล้วนะครับ ว่า

ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไปเป็น 450 บาท

ท่านคิดว่า ราคาอาหารจะเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นครับ

สินค้าต่างๆที่มีพนักงาน ค่าใช้จ่ายเค้าเพิ่มขึ้น เค้าก็ต้องมาขึ้นราคาสินค้า ถูกมั้ยครับ

ก็แปลว่า ถึงคุณจะได้เงินเดือน 450 แต่ก๋วยเตี๋ยวก็ปรับขึ้น ชามละ 80-100 บาท มันจะมีประโยชน์อะไรที่เพิ่มเงินเดือนหรอครับ

นอกจากทำให้คนที่รับเงินเดือนคิดว่า ได้เงินเยอะขึ้น

ลองดูตอนนี้นะครับ

สมมุติเงินเดือนขั้นต่ำตอนนี้ 330 บาท ก๋วยเตี๋ยวชามละ 60 บาท คิดเป็น 18.18% ของเงินเดือนขั้นต่ำ

แต่ถ้าปรับเงินเดือนขั้นต่ำเป็น 450 บาท ก๋วยเตี๋ยวขึ้นไปชามละ 80 บาท คิดเป็น 17.78% ของเงินเดือนขั้นต่ำ

คือมันใกล้ๆกันเลยนะครับ อย่าคิดว่าได้เงินเพิ่ม แล้วจะซื้อของได้มากกว่าเดิมนะครับ

มันคือเงินเฟ้อรึเปล่าครับ เพราะเงินมันด้อยค่าลง ต้องใช้เงินมากขึ้น ในการซื้อของชนิดเดิม

ตอนยิ่งลักษณ์ขึ้นทีเดียวเป็น 300 ผมก็ไม่คุ้นว่า ผมได้ลดหย่อนอะไรพิเศษนะ
แต่ต้นทุนพุ่งพรวด

ผมมองว่า มันเฟ้อทั้งทางระบบเศรษฐกิจ และเฟ้อในทางค้าขายทั่วไปของชาวบ้าน

อย่างน้อยเลย พวกร้านอาหารตามสั่งบางร้าน อาศัยโอกาสนี้ขึ้นราคาแน่ๆ

จะบอกว่ามันจะไม่มีผลใดๆ เลย ผมว่าคงเ้ป็นไปไม่ได้ แต่มีผลมากหรือมีผลน้อยมากกว่า ที่เราควรหาคำตอบ

เป็นปัญหา ทั้ง SME หรือ เจ้าของกิจการ ที่ค่อนข้างน่าห่วงครับ

แต่ก็ต้องปรับตัวครับ เพราะ เงินเฟ้อ มันขึ้นทุกปี แต่ค่าแรงมันเท่าเดิม มาหลายปีแล้ว

แรงงานะเค้าก็อยู่ไม่ไหวเหมือนกันครับ ยังไงสักวันก็ต้องขึ้นอยู่ดี

แนะนำ นโยบายช่วย SME ให้จริงจังมากกว่านี้ครับ พยายามอุ้ม SME จริงๆสักที

แล้วก็ขึ้นค่าแรงอาจจะใช้การปรับขึ้นแบบขั้นบันได น่าจะพอช่วยให้ SME พอปรับตัวได้ ให้เค้ามีเวลาเตรียมตัวครับ

ปัญหาคือมันต้องปรับให้ทุกส่วนครับ ถ้าเริ่มฐานที่ 450 แรงงานฝีมือ แรงงานต่างด้าว
หรือแรงงานอะไรก็ตามที่เคยได้เกิน 450 อยู่ เขาก็จะต้องได้เพิ่มด้วย ถ้าจากเดิม
เขาเคยได้ 500-700 เขาก็จะได้ใหม่ที่ 800-1000

ซึ่งจะไม่ปรับตามก็ไม่ได้ เพราะเขาจะถอยไปรับงาน 450 แทน เพราะสำหรับเขางานมันจะง่ายกว่า

ช่องนี้ เชียร์ก้าวไกลและอุดมการณ์แบบก้าวไกลชัดอยู่แล้ว ดังนั้นข้อมูลก็จะส่งเสริมไปทางนั้น เข้าใจได้ เพราะมองในมุมนั้นหลายๆเรื่องมันก็ถูก เช่นแรงงงานควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ควรกดค่าแรง ปัจจุบันนี้ค่าแรงพวกธุรกิจใหญ่ๆ โรงงานพวกนี้ เกิน 450 อยู่แล้ว ขึ้นไปก็ไม่มีปัญหา แต่การตัดแรงงานภาคเกษตรออกไปเลยผมว่าเขาจงใจจะละเลยปัญหาและมองแต่ด้านดีๆ เพราะแรงงานที่ได้ค่าแรงต่ำๆคือเกษตรและ SME ซึ่งตรงนี้มันคือปัญหาใหญ่ๆเลย แก้แค่ลดภาษีมันไม่ได้อะไร ถ้าแรงงานเกษตรแพงผลผลิตทางการเกษตรก็จะแพง นำไปสู่เงินเฟ้อได้อยู่ดี

ต้องคุม ต้นทุนพลังาน ให้ได้ครับ ถ้าจะปรับค่าแรง 450/วัน

ถ้า น้ำมันลง ค่าไฟฟ้าลง ค่าขนส่งสินค้าจะลดลง ค่าผลิตจะลดลง

ต้นทุนวัตถุดิบ ต้องราคาถูกลง ถ้า รัฐบาล ลดค่าไฟ กับ ค่าน้ำมันแล้ว ผู้ประกอบการร้านไหนไม่ปรับ สินค้า ภาควัตถุดิบ ลง ต้องมีโทษ อย่างไรก็ว่าไป เพราะ ต้นทุน ภาค พลังงานลดแล้ว คุณต้อง มีต้นทุนในการผลิต และขนส่งสินค้าที่ลดลง ห้ามฉวยโอกาส ตีเนียน กินกำไรเพิ่ม ด้วยการ ขาย วัตถุดิบ ในราคาเท่าเดิม

ถ้ารัฐบาล ใหม่ ทำได้ตามนี้ sme ก็ต้องปรับตัวได้อย่างแน่นนอน เพราะ ต้นทุนค่าจ้างแรงงานขึ้น แต่ ค่าซื้อวัตถุดิบ ผลิตภันฑ์ มาประกอบการค้าขาย ต้องถูกลง เอามาถัวกันได้ แล้ว ลูกจ้างจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รากหญ้า มีกำลังซื้อมากขึ้น เม็ดเงินจะหมุนเวียน มากขึ้น

ในฐานะผม เปิดร้านอาหารตามสั่ง เคยเป็นลูกจ้าง และตอนนี้เป็นเจ้าของร้าน ทำให้ผม มอง ได้ทั้งสอง บริบท ของการหารายได้ เลี้ยงชีพ ถ้ารัฐบาล จริงใจ ลุยถั่ว ล้างบาง ต้นทุนพลังงาน ผูกขาด เอื้อผลประโยชน์ เอกชน บางกลุ่ม (ที่รวย ติดอันดับ ขึ้นมาอย่างไว) ไปดูสัญญา ว่ามีสัญญา ค่าโง่ ทรยศ ประชาชน ให้ประชาชน ต้องแบกรับค่าไฟ ค่าน้ำมัน ที่ไม่เป็นธรรม มานานแค่ไหนแล้ว ถ้ารัฐบาลใหม่ลุย จนลดค่าไฟ ค่าน้ำมันได้ ผมเชื่อว่า ค่าแรงวันละ 450 จะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน มวลรวม ไม่ว่า เจ้าของกิจการ หรือ ลูกจ้างรายวันครับ

ใน กทม เรต 450 ไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะจ่ายเรตแพงกว่านั้นอยู่ละ

พวกโรงงานก็เหมือนกัน ค่าแรงเกิน 450 อยู่แล้ว

พวก SME กับบริการนี่แหละ ที่จะมีปัญหา โดยเฉพาะต่างจังหวัด
ร้านตามสั่งเล็กๆ ลูกน้อง 4 คน เคยจ่ายวันละ 350 ถ้าต้องมาจ่ายเพิ่มเป็น 450 คือค่าใช้จ่ายต่อวันเพิ่ม 400 เดือนนึงขาย 25 วัน ต้นทุนเพิ่ม 1 หมื่น เข้าเนื้อ เจ้าของก็อยู่ไม่ได้หรอกครับ
ยังไม่นับวัตถุดิบที่จะขึ้นราคาเพราะต้นทุนสูงขึ้นอีก

สุดท้ายยังไงก็ต้องขึ้นราคาครับ ไม่งั้นก็เลิกกิจการ SME มันไม่ได้กำไรเป็นล้านอะไรขนาดนั้น

ไม่ได้ต่อต้านการขึ้นค่าแรงนะ แต่ต้องทำให้รอบคอบ

ปกติจ้างลูกน้องที่ร้านผมเอง ก็วันละ400อยุ่แล้ว น่าจะกระทบ บางกลุ่มที่จ่ายแค่ขั้นต่ำจริงๆ ผมว่าการปรับแบบนี่ ควรจะค่อยๆทยอยปรับ ปีละ10-20มาตั้งนานแล้ว