ทำอะไรแล้วไม่มีใครเดือดร้อน

ผมว่าคือ สุดยอดคนละ

พวกชอบ ตัดสินคนอื่น ผมถือว่า เขาน่าสงสาร เพราะเขาไม่เคยมีความคิดที่ดี และถูกกักขังจากสภาพแวดล้อมสังคม เน่าๆมี่เขาเติบโตมา นี่พูดถึง ใครก็ได้เลยนะไม่เว้นแม้บุพการี ญาติผู้ใหญ่ ใครก็แล้วแต่ น่าเวทนา ผมก็้เป็นในบางที

ฉะนั้น มีไม่มี ไม่มีใครเดือดร้อน จบครับ

ผมไม่มีศาสนาแต่มีแต่แม่ที่รู้ กับคนรอบข้างผมก็ทำเนียนๆไป แต่ด้วยวิถีชีวิตและบางส่วนของหน้าที่การงานเลยจำเป็นต้องศึกษาเรื่องศาสนาทั้งพุทธและอิสลามเพื่อความสะดวกเวลาจะติดต่อทั้งพระและโต๊ะอีหม่าม

ผมมองคนไร้ศาสนาปกติมากๆเพราะอย่างที่บอกผมก็เป็น แต่ผมไม่ชอบเวลาที่พวกนี้อ้างเหตุผลที่ดูสวยหรูมากกว่า เพิ่งร่ายยาวกระทู้ที่แล้วไป

และอย่าหาว่างั้นงี้เลย เหตุผลที่ จขกท ยกมาก็เป็นแบบนั้นเลย คือดูสวยหรู ดูมีหลักการเหมือนศึกษามาเยอะ แต่อ่านก็รู้แล้วว่าไม่ได้ศึกษาเลย

-ทำไมพระต้องฉันก่อน
เพราะพระมีระเบียบและเวลาในการฉัน เลยเที่ยงไปแล้วฉันไม่ได้ ฉันแล้วลุกปุ๊บห้ามฉันต่อ(ซึ่งมันก็มีเหตุผลอีกว่าทำไม) ดังนั้นเพื่อความสะดวกเขาเลยให้พระฉันกันให้เรียบร้อยก่อนเลยญาติโยมให้กินต่อตามความสะดวก

-ทำไมผู้หญิงบวชไม่ได้
บวชได้ มีมาตั้งแต่พุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยแต่ยังให้บวช ถามว่าถ้าผู้หญิงบวชใครจะต้องคอยดูแลภิกษุณี ใครจะคอยสอนเรื่องศีลและกฎระเบียบให้ภิกษุณี ก็ภิกษุไหม ยุ่งยากไหมลองคิดดู ที่อยู่ที่นอน เวลาออกธุดงใครต้องดูแล เครื่องนุ่งห่มจะจัดการอย่างไรใครจะเป็นคนจัดการ สุดท้ายถ้าพระสงฆ์รับหน้าที่เหล่านี้หมด จะเสี่ยงศีลแตกจากการใกล้ชิดกันเกินไปไหม

-ทำไมพระห้ามขับรถ
จะห้ามได้อย่างไรสมัยพุทธกาลมีรถหรือ ข้อห้ามจริงๆคือการแสดงออกที่ทำให้ญาติโยมเห็นว่าไม่สุภาพ ดังนั้นถ้าญาติโยมไม่ว่าอะไรพระก็ขับได้ พม่าพระขับได้ ทางเหนือของไทยหลายจังหวัดพระก็ขับอยู่ แล้วทำไมหลายพื้นที่ขับไม่ได้ ก็ต้องถามญาติโยมแล้วมั้งทำไมถึงมองว่าไม่เหมาะสม สูบบุหรี่ยาเส้นก็ไม่ผิดนะ แต่ถ้าญาติโยมตีเตียนปุ๊บผิดทันที

-ทำไมผู้หญิงห้ามโดนตัวพระ
ไม่ได้เกี่ยวกับความเท่าเทียมเลย พูดแบบชาวบ้านๆคือเขากลัวพระใจแตก ลองอยู่แบบห้ามโดนตัวผู้หญิง ห้ามช่วยตัวเองซัก 5-10 ปีไหมครับ แล้วลองเจอผู้หญิงสวยๆมาสัมผัสตัวดู

สรุปผมไม่มีปัญหาอะไรเวลาเจอคนไร้ศาสนาเพราะผมก็เป็น แต่ผมอยากให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ซื่อสัตย์ต่อตัวเองต่อคนรอบข้างหน่อย ไม่นับถือเพราะไม่สนใจก็บอกว่าไม่สนใจมันไม่ใช่เรื่องน่าอาย บอกไปเลยผมไม่สนใจ ไม่อยากศึกษาไม่ชอบ จบ ไม่ใช่ทำเหมือนศึกษามาเยอะแล้วมองว่ามันไม่ดี รู้ถึงแก่นอะไรแบบนี้ รู้หรือไม่รู้คุยด้วยไม่นานก็ออกมาหมด

โดยส่วนตัวผมมองว่าการนับถือศาสนาใดก็ตามแต่ เราก็ต้องเป็นสาวกที่ดีด้วยนะ กิจทางศาสนาก็ต้องไปร่วมบ้าง หลายๆคนมาถึงยุคนี้แล้วขาดตรงนี้กันไป ความเลื่อมใสก็ลดลงตามลำดับ หากแม้นเราไกลห่างจากศาสนาแล้วไซร้ จะเรียกว่านับถือได้อย่างไร

เพียงแต่สำหรับนี่แบบอยากเอามายำรวมกันจริงๆทั้งพุทธ คริสต์เพราะมีดีในแบบที่ผมชอบต่างกัน แต่ส่วนตัวผมก็ขอนับถือเพียงคำสอนของศาสนาในเรื่องที่ผมชอบแล้วกัน แต่ไม่ได้นับถือขนาดเป็น FC อ่ะนะครับ สำหรับผมก็ประมาณนี้

ผมชื่นชมกับแนวทางของศาสนาแต่ละศาสนานะ เพียงแต่มันไม่ตรงกับความต้องการของเราจริงๆ เราก้ต้องปล่อยผ่าน เจอพระสงฆ์แถวบ้านผมก็ไหว้นะครับ เราถือว่าเป็นผู้หลัก ผู้ใหญ่ที่ควรเคารพ

สิ่งที่ท่านตอบมามันก็มีเหตุผลให้ฉุกคิดแล้วนะครับว่าทำไมถึงมีเหตุผลให้ไม่เชื่อในศาสนา

เพราะท่านหมายถึงพุทธศาสนาที่ท่านนับถือ แล้วอีกท่านหมายถึงของศาสนาคริสต์

ซึ่งสองศาสนามันก็ต่างกันแล้ว ยิ่งถ้าเอามาเทียบกันแล้วหลักคำสอนมันต่างกันมากมาย

ดังนั้น"ส่วนตัวของผมเอง"เลยเลือกที่จะไม่เชื่อสักศาสนาดีกว่า แค่ไม่ทำอะไรที่มันผิดกฏหมาย อะไรที่มันผิดวิสัยมนุษย์ก็พอแล้ว

ซึ่งบางอย่างที่ศาสนาอื่นทำได้ แต่อีกศาสนาทำไม่ได้ ถ้าผมอยากทำแบบที่อีกศาสนาทำได้ ผมก็เปลี่ยนความเชื่อไปนับถืออีกศาสนาแค่นี้ก็ได้แล้วสิ ประมาณนี้

ปล.ไม่ได้จะมาเถียงหรือโต้แย้งอะไรท่านนะ แต่เหตุผลที่ท่านเปิดมามันทำให้ผมคิดได้พอดีเลยมาโควท

สำหรับผมเมื่อตายก็คือสิ้นครับ ใครจะจัดการกับศพผมยังไงก็แล้วแต่คนข้างหลัง ผมไม่ได้รับรู้อะไรด้วยแล้ว

ในฐานะที่ผมนับถือศาสนาพุทธ ขอตอบว่า เป็นสิทธิส่วนบุคคลครับ แล้วแต่ความชอบ คนมีศาสนาก็เป็นคนดี ไม่ระรานคนอื่นได้ คนไม่มีศาสนาก็เป็นได้เหมือนกัน ใช้ชีวิต ทำงานกันไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนๆกัน

สิ่งที่ผมกับ จขกท คุยคือเรื่องของศาสนา พุทธ ครับ จขกท บอกว่า ถ้าไปศึกษาแบบเบื้องลึกจะรู้ว่าศาสนาคือเกมการเมืองแบบหนึ่งครับที่ใช้ชักนำมนุษย์มาเป็นพวกซึ่งผมบอกว่าแก่นแท้ศาสนาพุทธไม่เกี่ยวกับการเมือง จขกท ก็บอกเรื่อง สงความครูเสต ผมก็บอกไปแล้วว่า ศาสนาพุทธ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสงความครูเสตเลย

ปล.ผมก็ไม่ได้จะมาเถียงหรือโต้แย้งอะไรท่านนะ แต่เหตุผลที่ท่านบอกมาผมว่าท่านอ่านสิ่งที่ผมสื่อไม่เข้าใจครับ

ไม่มีศาสนาคือยังไงคับ ไม่ไหว้พระ ไม่สวดมนต์ ไม่นับถือสิ่งใดๆแบบนั้นไหม จริงๆก็ไม่ผิดคับ อย่างผมนับถือพุทธผมก็ไม่ค่อยได้ไปวัด บางกิจกรรมผมก็เลือกปฏิบัติใช้วิจารณญาณเอาอันไหนไม่เหมาะผมก็ไม่ทำ ผมว่าบางทีการที่เราสุดโต่งอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็ทำให้เราเป็นทุกข์คับ อย่างบางทีแฟนชวนไปวัดไหว้พระ ผมก็ไปและก็รู้สึกสงบขึ้น แต่การที่เราประกาศตนว่าไร้ศาสนาอาจทำให้เราสร้างกำแพงกั้นหลายๆที่บางครั้งมันก็เป็นทุกข์ได้ เดินทางสายกลางดีสุด เพราะความสุขความสงบที่แท้จริงมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรสักอย่างมันอยู่ที่เราคิดเองคับ ส่วนผิดถูกไม่มีใครควรตัดสินใคร

บริจาคโรงพยาบาลก็ดีครับ

ส่วนใหญ่น่าจะไม่ดีนะครับ

ผมเฉยๆนะ เอาจริงๆผมก็ไม่ได้รู้ศาสนาอะไรมากมายอะ แค่ทำบุญวันสำคัญบ้างอะไรงี้ ทำบุญส่วนใหญ่ก็ทำกับคนยากไร้มากกว่าทำกับวัด แต่ผมเบื่อคนที่ไม่ได้นับถือศาสนา แต่ไปชอบแขวะคนมีศาสนาอะ หาว่าเค้าโง่บ้างอะไรบ้าง ผมว่าถ้าคนไม่มีศาสนาละก็ไม่เบียดเบียนคนอื่น น่าจะเป็นอะไรที่ลงตัวสุดๆ

ผมเข้าใจที่ท่านสื่อฮะ ว่าพุทธกับครูเสตมันไม่เกี่ยวกัน

แต่ผมยกประเด็นความเชื่อต่างศาสนามาอธิบายต่อเฉยๆครับ

คือจขกท.เชื่อว่าครูเสตเป็นเกมการเมือง(ก็เหมือนจขกท.นับถือคริสต์มาก่อนแหละ(มั้ง)
แล้วพอไปรู้ว่ามันคล้ายเกมส์การเมืองก็เลยเลือกเชื่อไป) แต่ว่าท่านนับถือพุทธ

ผมเลยยกประเด็นต่างศาสนามากล่าวเฉยๆ จริงก็ไม่ได้เกี่ยวกับที่ท่านเม้นหรอกครับ

ปล.แผล่บเหลือครับ ใช้ไม่หมด อย่าตกใจ

ก็ยังดีกว่าพวกที่บอกว่าตัวเองมีศาสนา แต่เรียกต่างศาสนิกและคนไร้ศาสนาว่าสัตว์นรก

ปกติครับ ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร
ศาสนาไหนคำสอนดีก็หยิบมาใช้ ไม่ชอบก็มองข้ามไปอย่าไปดูถูกความเชื่อคนอื่น

ส่วนตัวก็ไม่ได้นับถืออะไร คิดว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ที่พึ่งทางใจยามไร้หนทาง
และการทำกิจกรรมร่วมกันในสังคม

ส่วนตัวผมลบในบัตรแต่ก็ไม่ได้ขวางโลก ครอบครัวไปวัด มีพิธีกรรมทางศาสนาก็ไปหมด แต่ไม่สวดมนต์ ไม่ขอพร ไม่ไหว้พระ(ุถ้าไม่ใช่คนรู้จัก) เชื่อในการคิดดีทำดี

ปกติครับ เพราะคิดว่าในท้ายที่สุด ไม่มีใครหนีพระธรรมพ้น จริงๆศีลเป็นแค่แนวทางในกาปฏิบัติเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นจุดใหญ่ที่คนมีปัญหาหรือสงสัยกัน จริงๆศีลอาจะเปลี่ยนตามยุคสมัยก็ได้ ถ้าหากพระพุทธเจ้ายังอยู่ แต่แก่นของชีวิตจริงๆ คือ ธรรม มากกว่าซึ่งไม่มีวันเปลี่ยน