"ความผิดพลาด” ผมพูดอยู่หลายครั้งว่าเกมจะตัดสินด้วยสิ่งนี้
ไม่ได้จะเก่งหลังเกมอะไรหรอกนะครับ แต่เพราะผ่านมาพอสมควรกับ ‘ไฟนั่ล’ ที่ใครๆมักชอบพูดว่า “บอลนัดเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้”
ประโยคที่ว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้” มันหมายความอย่างที่ว่าจริงๆ หากแต่ข้อสำคัญที่ไม่ควรให้เกิดคือ “ความผิดพลาด” เพราะ ‘บอลนัดเดียว’ หมายถึงว่า “ไม่มีสิทธิแก้ตัว”
เหตุนี้ก่อนแข่ง ผมจึงให้น้ำหนักไปที่ ‘ประสบการณ์’ เพราะ ประสบการณ์จะสั่งสอนว่าคุณควรจัดการกับตัวเองอย่างไรในสถานการณ์บีบคั้นต่างๆที่เกิดขึ้น
คุณต้องระแวดระวังจุดไหนบ้าง หรือจุดใดคุณควรต้องรีแลกซ์ไปกับมัน
ต่างๆเหล่านี้คือสิ่งที่ เรอัล มาดริด จัดการได้ดีกว่า ลิเวอร์พูล และเป็นสิ่งที่เทรนเนอร์ไม่อาจสอนได้
คุณต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองและนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์
ลิเวอร์พูล แพ้นัดนี้ ส่วนนึงก็เพราะประสบการณ์...แต่มันก็ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด
……………...........
ถ้า...
รู้ดีว่าโลกของฟุตบอลไม่มีคำว่า ‘ถ้า’
แต่ให้ตายยังไง ก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า ‘ถ้า’ โม ซาลาห์ อยู่ในสนามครบทั้ง 90 นาที อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง
30 นาทีแรก สิ่งที่ได้เห็นคือ ลิเวอร์พูล สู้ได้สนุก เกมรุกมีความวูบวาบ และกดดัน เรอัล มาดริด ได้
แต่บอลเล่นกัน 90 นาที ‘ถ้า’ มี ซาลาห์ ลิเวอร์พูล อาจจะดีกว่านี้,เท่าเดิม หรือ แย่ลง ก็เป็นไปได้หมด เพราะ เรอัล มาดริด ก็ไม่ได้เป็นรองตลอดช่วงเวลาที่ดาวยิงอียิปต์โลดแล่นอยู่ในสนาม
บทสรุปของเรื่องนี้ผมขอเลือกใช้คำว่า ‘เสียดาย’ ดีกว่าครับ เสียดายที่ไม่ได้เห็นทั้งสองทีมสู้กันด้วยชุดผู้เล่นที่ดีที่สุดจนจบเกม
แน่นอนว่าความเสียหายต่อการเสียตัวผู้เล่น ระหว่าง 2 ทีมมีผลกระทบที่แตกต่างกัน
นาที 30 ลิเวอร์พูล เสีย ซาลาห์
นาที 35 เรอัล มาดริด เสีย การ์บาฆาล
มองมุมไหนก็รู้ว่า ‘หงส์แดง’ เสียหายมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ผมอยากให้คุณๆมองอีกมุมนึงว่าเมื่อถึงคราวที่ต้องแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้า เรอัล มาดริด มีทางเลือกมากกว่า
การลงมาของ นาโช่ เฟร์นานเดซ กับ อดัม ลัลลาน่า นั้น 2 คนนี้ ‘ออฟเฟอร์’ ให้ทีมได้ไม่เท่ากัน
คุณภาพของ ลัลลาน่า ทดแทน ซาล่าห์ ไม่ได้เลย ขณะที่ นาโช่ ไม่ได้ทำให้ มาดริดิสต้า รู้สึกเลยว่าการขาด ดานี่ การ์บาฆาล นั้นเป็นปัญหา ทั้งๆที่ 2 คนนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่าง คือเพิ่งลงเล่นนัดชิงเป็นครั้งแรกในชีวิต
เรอัล มาดริด มีขุมกำลังที่พรั่งพร้อมกว่า นักเตะที่ม้านั่งสำรองสามารถทดแทนตัวจริงในสนามได้ไม่ต่างกัน
……………………..
จังหวะของเกม...
หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ถูกหยิบมาวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนคือจังหวะปะทะกันระหว่าง เซร์คิโอ รามอส กับ โม ซาล่าห์ ซึ่งส่วนใหญ่มองว่าคือจุดพลิกผันของเกม
บ้างต่อว่ารุนแรงว่า รามอส เล่นสกปรก เจตนาเล่นงาน ซาล่าห์ แต่มุมมองส่วนตัวผมว่ามันไม่ได้ถึงขนาดนั้น
ภาพช้า ซาล่าห์ สอดแขนคล้องแขนของ รามอส ก่อน จากนั้น เอล กาปิตัน ก็รั้งหัวหอกลิเวอร์พูลลงมากับพื้นเพื่อไม่ให้เข้าถึงบอล
สำหรับผมมันเป็นการปะทะในเกม มันชัดเจนว่า รามอส เองไม่ได้ขาวสะอาด 100% แต่เชื่อว่าเจตนาคงไม่ได้หวังผลเลิศถึงขนาดให้ ซาล่าห์ ต้องเจ็บหนัก เขาแค่ต้องการหยุดคู่แข่งด้วยการทำฟาวล์ แต่ไม่ได้หวังทำร้าย
แน่นอนว่าเกมอีก 1 ชั่วโมงที่เหลืออยู่ของ ลิเวอร์พูล ต้องประสบกับความยากลำบาก และ เรอัล มาดริด เล่นสบายขึ้น
……………………..
ช่วงเวลาที่เหลือ….
เมื่อไม่มีหัวหอกหมายเลขหนึ่งของทีม ลิเวอร์พูล ดูจะเสียขวัญไปพอสมควร
ท้ายครึ่งแรก เรอัล มาดริด เริ่มรีแลกซ์มากขึ้น มาร์เซโล่ สามารถเติมเกมขึ้นทางริมเส้นฝั่งซ้ายได้สะดวก และกลับมาเป็นฝ่ายบีบยอดทีมจากเกาะอังกฤษให้ถอยร่นไปตั้งรับ
หมากเพรสซิ่งที่ใช้ได้ดีในครึ่งชั่วโมงแรกของ ลิเวอร์พูล เริ่มถูกความจัดจ้านของ ลูก้า โมดริช และ โทนี่ โครส แกะออกทีละน้อย หากแต่บอลของ มาดริด ก็ยังไม่คมและอันตรายพอ ซึ่งหนึ่งในนักเตะที่ผิดไปจากความคาดหวังก็คือ อิสโก้
อิสโก้ เบียด แกเร็ธ เบล ลงเป็นตัวจริงได้อีกครั้งเหมือนนัดชิงปีก่อนที่ คาร์ดิฟฟ์ ทว่าเกมนี้เขาไม่ได้เฉิดฉายอย่างที่ควรจะเป็น
มิดฟิลด์มาลาเกนโญ่ประสบปัญหาอย่างมากเมื่อต้องเบียดปะทะกับผู้เล่นลิเวอร์พูลที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากกว่า ซ้ำร้ายเขายังพลาดโอกาสทองในช่วงต้นครึ่งหลัง เมื่อได้ยิงเหน่งๆแต่บอลไปชนคาน
ตลอดการเล่น 45 นาทีแรกของ อิสโก้ ทำให้ ซีดาน ปรากฏภาพแผนการเล่นในรูปแบบต่อไปขึ้นในหัว
เริ่มครึ่งหลัง มาเขาให้โอกาส อิสโก้ อีก 15 นาทีก่อนจัดการเปลี่ยน เบล ลงมาตามสูตร
กุนซือฝรั่งเศสมองว่าทีมไม่ต้องการตัวปั้นเกมอีกแล้ว แต่ต้องการความเร็วในการทะลุทะลวงและคนที่จบสกอร์ได้ด้วยตัวเองมากกว่า เพราะการครองเกม โมดริช,โครส และ กาเซมีโร่ ทำให้เห็นแล้วว่า ‘เอาอยู่’
3 คนนี้แกะไลน์เพรสซิ่งของ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ยิ่งเวลาผ่านไปการขึ้นบอลก็ยิ่งไหลลื่นมากขึ้น
..............
ตัวตัดสินเกม...
การลงมาของ เบล เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า ซีดาน ไม่ใช่แค่โค้ชธรรมดาที่โชคดีมีนักเตะระดับโลกให้ใช้งาน แต่เขามีกึ๋นมากพอที่จะเปลี่ยนนักเตะระดับโลกลงมาเพื่อเปลี่ยนเกม
แค่ 2 นาที เบล ก็ทำสำเร็จ จากลูกยิงสุดมหัศจรรย์
ผมไม่รู้ว่า เบล ทำได้ยังไง แต่คำตอบที่พอจะหาได้ตอนนี้ก็คือเขามักพิเศษเสมอในเกมนัดชิง เฉกเช่นเดียวกับ เบนเซม่า
ถึงจะมีช่วงแย่มากกว่าดีในฤดูกาลนี้ แต่สิ่งที่หัวหอกฝรั่งเศสไม่เคยสูญเสียไปก็คือความเขี้ยวและจมูกอันว่องไว
อย่างที่ มูรินโญ่ เคยพูดไว้ “แมวไม่ว่าจะสีอะไรก็ตาม ขอให้จับหนูได้เป็นพอ”
ฉันใดก็ฉันนั้น ประตูขึ้นนำจาก เบนเซม่า จะเรียกว่า ‘ยิง’ ก็ออกจะไม่เต็มปากนัก แต่เมื่อเข้าข้ามเส้นไปแล้วมันก็คือประตู
เขาฉกฉวยความผิดพลาดของ โลริส คาริอุส ได้อย่างยอดเยี่ยม เหมือนที่เขาจัดการกับ สเวน อูลไรช์
มันอาจดูเหมือนลูกฟลุ๊ค แต่ลึกลงไปแล้วมันคือประสบการณ์ ชั่วโมงบินของกองหน้าระดับเวิลด์คลาส ที่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้างเพื่อกดดันผู้รักษาประตู
……………………
ร้ายและดี...
ข้อความตอนนึงที่ เซร์คิโอ รามอส ทวีตข้อความอวยพรถึง ซาล่าห์ หลังเกมเขียนว่า "El futbol te ensena la cara mas dulce a veces y la mas amarga otras” สามารถบ่งบรรยายถึงเหตุการณ์สำคัญของเกมได้เป็นอย่างดี
เพราะ “ฟุตบอล บางครั้งก็แสดงให้คุณเห็นถึงด้านที่สวยงามและบางครั้งก็เป็นด้านที่ขมขื่น”
คาริอุส หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ เขารู้สึกผิดต่อแฟนบอลลิเวอร์พูลกับความผิดพลาดที่ตัวเองทำลงไปใน 2 จังหวะสำคัญ และมันยากนักที่จะลืมเลือน
ส่วน เบล นั้น ค่ำคืนที่ เคียฟ คือความสวยงาม เป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำ มันทลายความอัดอั้นทุกๆอย่างในใจออกไปจนหมดสิ้น
เขาผิดหวังที่เป็นแค่สำรอง แต่นั่นไม่สำคัญแล้ว เพราะแฟนบอลจดจำเขาได้อีกครั้งในภาพของฮีโร่ของเกมนัดชิง
……………………
CAMPEONES DECIMOTERCERA แชมป์สมัยที่ 13
เรอัล มาดริด ประกาศศักดาคว้าแชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ นับเป็นความสำเร็จอันสุดยอด ที่สามารถกลบความหวังผิดจาก ลา ลีกา ได้สนิท
การเป็นเจ้ายุโรป..ไม่มีคำว่าง่าย ยิ่งเป็นแชมป์ถึง 13 สมัย เป็นแชมป์ประวัติศาสตร์ 3 ครั้งซ้อน และ 4 ครั้งในรอบ 5 ปี เช่นนี้แล้วคงต้องโค้งคาราวะงามๆให้กับ ซีดาน และนักเตะทุกๆคน
หลายคนอิจฉา เรอัล มาดริด ที่อุดมไปด้วยนักเตะระดับโลกที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าแข้งทั่วไป
กระนั้นก็อย่างที่ ซีดาน ได้พูดไว้ก่อนเกม
“พรสวรรค์ก็ส่วนนึง แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเราคือการทำงานหนัก”
เชื่อเถิดครับ ไม่มีแชมเปี้ยนรายใดที่เดินไปสู่จุดสูงสุดโดยปราศจากสิ่งนี้
#เจมส์ลาลีกา
Cr.จากแฟนเพจคุณ เจมส์ ลาลีก้า
https://www.facebook.com/jameslaliga2018/
ปล.ถึงทำงานเกี่ยวกับบอลสเปน แต่พี่เค้าเป็นแฟนลิเวอร์พูล นะครับ