หลักๆคือเขาไม่เข้าใจโครงสร้างเงินเดือนงานโรงงานครับ อีกส่วนคืออ่านแต่พาดหัวแล้วโดน fake news หลอก และอีกส่วนคือพวกพยายามจะหวังเกาะยึดระบบเก่าเพื่อหวังว่าสักวันนึงจะปีนขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกันกับนายจ้างครับ พวกหลังนี่ไม่มีหลักยึด ไม่มีกระดูกสันหลัง ลองสมมติว่าวันนึงแรงงานเรียกร้องจนได้สิทธิที่ดีกว่า้ดิมพวกนี้ก็จะเป็นปลิงรอเกาะเขาไปด้วย ในขณะที่ตัวเองไม่เคยสู้อะไรเลย

งั้นก็น่าจะเข้าใจตรงกัน แต่ส่วนใหญ่โรงงานที่ผมเจอคือOTคือOT โบนัสคือโบนัส ส่วนไดกิ้นเป็นแบบไหนนี่ไม่ทราบได้ อย่างโตโยต้าก็มีเป็นOT1.5เท่าของค่าแรงรายชั่วโมง

ส่วนเรีองบดุลกับการให้โบนัสก็น่าจะเข้าใจตรงกันอยู่นะไม่น่าจะต้องถกอะไร เพราะที่ผมสื่อคือสหภาพเขาคุยกับบริษัทอยู่แล้วเขารู้ถึงงบดุลของบริษัทเขาถึงมีข้อเสนอแบบนั้นออกมา และในการคุยไม่ควรเอาเงินเดือนมารวมกับโบนัสไม่งั้นก็คุยกันไม่จบเหมือนคุยกันคนละเรื่อง

ถ้าแบบนั้นพอเข้าใจ แต่ก็อยากให้แยกออกจากกัน

เงินเดือนก็ขึ้นเป็น%เล็กๆน้อยเกือบทุกปีอยู่แล้ว ก็อิงๆจากผลกำไรนั่นละแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เรื่องนี้สหภาพก็มีส่วนในการเจรจา

ส่วนโบนัสมันคือของขวัญ ซึ่งสหภาพเขาก็ดูจากผลกำไรของบริษัทนั่นแหละครับและเทียบกับปีที่ผ่านๆมาถึงออกตัวเลขที่เรียกร้องออกมา

ขาดทุน ก็เลิกจ้างได้ครับ หรือแสดงความจำนนขอลดเงินเดือน เหมือนตอน Covid

Edit= ข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนใหญ่ถ้าเป็นบริษัทมหาชน ถ้าปรับโครงสร้าง ขาดทุน หรือย้ายฐานการผลิต

ข้อมูลพวกนี้ประกาศเป็นทางการ ยิ่งถ้าสภาพคล่องบริษัทไม่ไหว บริษัทใหญ่จะเริ่มเลย์ พนงออกหรือยื่น ข้อเสนอ ตั้งแต่มีแพลนทันที่ ยิ่งเป็นบริษัทมหาชน พนงรู้ตั้งแต่ทำงานแล้วว่า งานมากน้อยแค่ไหน
แถมข้อมูลทางการเงิน ก็ให้ สภาแรงชี้แจงได้ ส่วนใหญ่จะรับสภาพกันได้อยู่แล้ว ยังไม่เคยเห็นที่่มีปัญหา

ขอโบนัสจากบริษัทที่ไม่ได้กำไร

สำหรับผม

-เงินเดือน

-ค่าล่วงเวลา

-โบนัส

-สวัสดิการอื่นๆ (เช่น การตกลงว่าทำงานถึง10ปี ไม่ขาด ลา มาสาย แล้วจะได้ทองคำจำนวน....
มีระบุเป็นลายลักษณ์อักษร)


มันต้องพิจารณาแยกกันหมดนะ ข้ออ้าง ว่าตกลงว่าจะให้อย่างหนึ่ง เพื่อถัวเฉลี่ยเป็นการให้อย่างนึงน้อยลง

"ถ้าขึ้นบนศาลมันฟังไม่ได้อยู่แล้วล่ะ แต่ถ้าในขั้นเจรจาอยู่มันยกขึ้นมามาตกลงกันได้(ตอนนี้)"

แต่ถ้าไปสู้กันบนศาลแล้วต้องตีความ ทั้ง4แต่ละอย่างแยกออกจากกันแน่ๆ

เออว่าแต่เรื่องไดกิ้น ทำไมไม่ยกระดับถึงขั้นออกสื่อมานั่งถกกันอ่ะครับ ว่าควรได้รับอะไรยังไงมีการเซ็นสัญญาก็ไม่เป็นไปตามสัญญา ตรงนี้ส่งตัวแทนมาพูดคุยออกสื่อให้ความรู้กันไปเลย เอาข้อเท็จจริงมาพูดกันแล้วจะได้ไม่ต้องมานั่งถามกันอยู่นั่นว่าทำไมเข้าข้างผปก. ทำไมเข้าข้างแรงงาน


ก็ถ้ามันชัดเจนไม่มานั่งคุยกันไปเลยอ่ะ

ยึดติดกับคำว่าโบนัสกี่เดือนๆ กันเกินไปไหม ทำงานออฟฟิส มีคนได้เงินกินเปล่าเป็นล้าน ก็มี แจกไอแพดกัน พวกนี้มันไม่ได้นับเป็นโบนัสกี่เดือนๆ มันเอาให้เลย อย่างผมเคยได้เป็นตั๋วไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครับ + pocket money นิดหน่อย มันก็คือโบนัสอะ แต่ถ้าเขาถามได้โบนัสกี่เดือนก็ตอบ 0 เดือน

ยิ่งบริษัทใหญ่มากๆ เขาให้เป็นหุ้นเอาด้วยซ้ำไม่ต้องเสียภาษี

เคส บาย เคส

ส่วนตัวเคสไดกิ้นนี้เอาที่รองอธิบดีกรมออกมาให้ข่าวล่าสุด ปัญหาไม่ใช่เรื่องโบนัส(ตอนนี้บริษัทยอมจ่ายโบนัส 6 เดือน แต่พนักงานต้องการ 7 เดือน) ยังไงก็ตกลงกันได้

ส่วนที่มีปัญหาคือเรื่องทองล้วนๆ เพราะราคาทอง ปีก่อนบริษัทจ่ายโบนัสราคาทองเป็นเงิน 100 ล้านบาท ปีนี้ต้องจ่ายเพิ่มเกิน 200 ล้านบาท

เพราะฉะนั้นเคสนี้ผมเข้าใจบริษัทอยู่ถ้าจะจ่ายไม่ไหว ก็ต้องไปตกลงกันอ่ะ แต่ถ้าพนักงานยืนยันจะเอาให้ได้สุดท้ายฝั่งบริษัทเลือกไม่จ่ายแล้วไปใช้ยาแรงจะวิธีไหนก็ตามก็ต้องรับผลกันไป

ถ้าตามกระแสสังคมโซเชียลในตอนนี้ แทบไม่ต้องtake action ขนาดนั้นเลยครับ

ตอนนี้คือ daikin ภาษีดีกว่าเห็นๆ เลย ถ้าเช็คคอมเมนท์หลายๆข่าวที่นำเสนอ รวมถึง ที่ออกรายการ

สรยุทธตอนเช้า ไม่มีใครฟังสหภาพเลย เลือกเรียกร้องอะไร

ณ ตอนนี้สังคมก็มองว่า แรงงาน ผิด โลภ ทำตัวอยากเป็น เจ้าของเอง ถ้าในเรื่องมุมมองต่อแบรนดิ้ง

DAIKIN ยังอยู่เหนือกว่า สุดๆ

อย่างที่ผมบอกไงว่าเค้ารู้ว่ามันต้องแยกกัน แต่ในเมื่อเค้ามองว่ากำไรเยอะขึ้นต้องได้เยอะขึ้น แล้ววันนี้ขาดทุนจะทำยังไง

ในเมืองโบนัสมันไม่มีติดลบ มันก็ต้องมองถึงพวกเงินเดือน เงิน ot อะไรแบบนี้ ซึ่งในความเป็นจริงเราก็รู้ว่ามันห้ามตัด

ดังนั้นโบนัสมันก็ไม่ควรที่จะอิงตามกำไรตามตัวเลขขนาดนั้น

ถ้าเค้ามองว่าโบนัสคือของขวัญอย่างท่านว่าจริง มันคงจะไม่เกิดการเรียกร้องต่อรองหรอก แต่การที่เค้าเรียกร้องก็เป็นสิทธิ์ของเค้า

อีกอย่างลองดูกำไร เทียบปีก่อน เพิ่มขึ้น 6% อ้างอิงจากนี่

https://www.thansettakij.com/business/645783

แต่ลองดูที่เค้าขอเทียบปีก่อน

โบนัสจาก 7 เป็น 8 เดือน > เพิ่มขึ้น 14%

เงินเพิ่ม 21k เป็น 28k > เพิ่มขึ้น 33.33%

หรือถ้าเทียบปีก่อนๆ คุ้นๆว่าเค้าบอกในรายการเฮีย ส ว่าเคยสูงสุด 7.8 เดือนมั้ง ซึ่งปี 2566 ได้กำไรถึง 7พันล้าน

กำไรเยอะกว่าปีนี้เกือบ 17% แต่จะขอเกินที่เคยให้สูงสุดอีก สุดท้ายแล้วมันอิงจริงรึเปล่า

ยังย้ำคำเดิม เค้ามีสิทธิ์เรียกร้อง แต่เรื่องตัวเลขมันต้องมาดูกันอีกที

ยังไม่แน่ใจสิ่งที่ท่านจะสื่อเท่าไหร่ คือจะสื่อว่าโบนัสมันต้องแปรผันตรงตามกำไร แล้วพอปีไหนขาดทุนก็ไล่ layoff เค้าเหรอ

แต่ layoff ยังไงเค้าก็ต้องชดเชยไหมนะ สมมติชดเชย 6 เดือน เกิดมันแค่ขาดทุนปีเดียวแต่แนวโน้มยังไหว จะให้ layoff คนเลยเหรอ

ผมไม่คิดว่าจะมีพนักงานคนไหนอยากตกงานกันนะ

ที่ผมสื่อก็แค่ว่าโบนัสมันไม่ควรอิงตามผลกำไรแบบตัวเลขขนาดนั้นเท่านั้นเอง

ผมคนนึงที่เป็นคนออฟฟิศ รู้สึกว่ามันต้องแยกประเด็น

เรื่องทอง อันนี้เห็นด้วย ถ้าเป็นคนออฟฟิสก็โวยเหมือนกัน แต่ยินดีเจรจา เพราะเข้าใจว่า motivation ณ วันที่อยากได้ทอง มาจากมูลค่ายังไม่ถึงแสน อยู่ๆมาพุ่งเอาปีนี้

เรื่องโบนัส อันนี้ไม่เห็นด้วย ทุกคนทำงานหนัก คำถามคือเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมสำหรับรางวัลหรือสินน้ำใจ บางครั้งบ.ก็วางแผนการใช้เงินจากกำไร หรือคืนให้ผู้ลงทุน มันเป็น variable

ใครๆก็อยากได้โบนัสเยอะ ถ้ารู้สึกว่าได้น้อยก็ย้าย เราใช้แรงสมองแลกเงิน ไม่คุ้มก็บายย

จริงๆคนออฟฟิสเค้าเรียกร้องนะ ส่วนใหญ่เรื่องสวัสดิการ ความสุขในออฟฟิส กิจกรรมใดๆ มากกว่าเรื่องเงิน

เคสนี้มีข้อเรียกร้องนึงที่แปลกๆ ให้เอาเงินที่ไปลงการตลาดเป็นสปอนเซอร์มาให้พนักงาน

ในนี้ตีกันดุจัง แต่ไม่แปลกใจ ขนาดตี๋น้อย mk ก็ยังซัดกันเหมือนเป็นหุ้นส่วน ถึงขั้นด่า กันเหยียดกัน ชีวิตน่าจะสบายกันเกินไปด้วย ตีกันเอง เพราะเอาจริงก็ไม่ได้ motivate อะไรหรอก

จริงผมจะตอบแค่ประเด็นนี้แหล่ะ

"แล้วถ้าขาดทุนล่ะ จะเอายังไง"

"ซึ่งที่เค้าพิมพ์แบบนั้นไม่ใช่ว่าเค้าไม่เข้าใจว่ามันคือ fixed cost แต่แค่มองว่าจริงๆโบนัสไม่ก็ไม่ต้องอิงกำไรแบบแปรผันตามตัวเลข""

เพราะประเด็นเรื่องพวกนี้มันควร อ้างอิงตามตัวเลข ไม่มากก็น้อย

เพราะตัวเลขมันเป็นเรื่องที่คุยกันได้มากกว่าความรู้สึก (ไม่รวม Condition ใน Manual)

ก็ถ้าบริษัทขาดทุน ก็ไม่มีโบนัส ตัวเลขงบประมาณแจ้งมาว่าขาดทุน ไม่ได้โบนัสก็ถูกแล้ว ซึ่งสถานการณ์ขาดทุน

มันจะไม่ใช่ต้องมาทำงานหามรุ่งห้ามค่ำแบบนี้อยู่แล้ว สุดท้ายมันก็จะมีการปรับเงินเดือนเลออฟพนักงานบางส่วน

และแน่นอน ถ้ามีพนงยังจะมาเรียกร้องแบบนี้ ผมว่าเรื่องมันจะเข้าใจกันง่ายกว่านี้ว่าควรยืนฝั่งไหน

เข้าใจว่าไม่มีพนักงานคนไหนอยากตกงาน และเช่นกัน ตามแมนนวลพนักงานก็ทำตามPotential ทีสมควรได้ ตัวเลขมันแจ้งออกมายังไง ก็ควรปรับและเจรจาตามนั้น ซึ่งบริษัทมหาชนตัวเลขมัน ชัดเจนมากๆ

ว่าเงินรายได้มันได้มายังไงแบบไหน ซึ่งในกรณีนี้ผมพูดถึงเคสบริษัทมหาชนเป็นหลัก

และเช่นกัน ถ้าต้องการลงทุนอะไรเพิ่มเติม หรือจะเปลี่ยนเงื่อนไขอะไร มันควรมี Notice มาก่อนหน้านี้ไม๊

ซึ่งที่ฟังสรุปมา ประเด็นมันคือเรื่องทอง เพราะเรื่องโบนัส ไดกินโอเคแล้ว สุดท้ายไดกิ้นจะยอมจบเรื่องทองนี้ยังไง

**ด้านบนคำนวนแบบรีบงานเข้าพอดี มาคำนวนแบบละเอียดละกัน

ตีว่ามีคนงาน2000คน เงินเดือนเฉลี่ย25k คนได้ทอง1300คน เฉลี่ยไดคนละ1.8บาททอง

ปี2567 กำไร5567ล้านบาท

โบนัส 7เดือน = 25k*7*2000 = 350ล้านบาท = 6.28%ของกำไรสุทธิปี67
เงินกินเปล่า 21k = 21k*2000 = 42ล้านบาท = 0.75%ของกำไรสุทธิปี67
ทองบาทละ43k(ธันวา67) = 43k*1.8*1300 = 100ล้านบาท = 1.79%ของกำไรสุทธิปี67

รวมสวัสดิการส่วนนี้ปี67 = 492ล้านบาท = 8.83%ของกำไรสุทธิปี67

***

ปี2568 กำไร5906ล้านบาท สหภาพเสนอ

โบนัส 8เดือน = 25k*8*2000 = 400ล้านบาท = 6.77%ของกำไรสุทธิปี68
เงินกินเปล่า 28k = 28k*2000 = 56ล้านบาท = 0.95%ของกำไรสุทธิปี68
ทองบาทละ62k(ธันวา68) = 62k*1.8*1300 = 145ล้านบาท = 2.45%ของกำไรสุทธิปี68

รวมที่สหภาพเสนอปี68 = 601ล้านบาท = 10.17%ของกำไรสุทธิปี68

***

จะเห็นได้ว่าที่สหภาพเสนอไม่ได้ต่างจากปีที่แล้วมากนัก เอาแค่ที่เสนอจริงๆคือโบนัส+เงินกินเปล่าเพิ่มขึ้น0.69% และอย่าลืมว่าเป็นการเสนอเผื่อต่อรอง

ส่วนทองเพิ่มขึ้น0.66%และมันเป็นFixed Costที่ต้องจ่ายทุกปีต่างจากโบนัสที่ขึ้นลงตามผลกำไร

***

ย้ำตรงนี้อีกทีสหภาพเขาไม่ได้มโนตัวเลขขึ้นมามั่วๆหลอกครับ คนนำในสหภาพแต่ละคนก็น่าจะหัวกะทิทั้งนั้น เขาคำนวนกันมาแล้ว