เพราะเมื่อวานเสาหลักภาษากายมั่นใจมากครับว่าฝั่งออมผิด100%

อีกอย่างคือเหมือนเรื่องมันถึงศาลไกล่เกลี่ยแล้วแต่เหมือนฝั่งพ.ไม่พอใจคำตัดสินละขอมาโหนดีกว่า  

แอบเปิดบริษัทแข่ง ยังไงก็ conflict of interest แน่นอนแล้ว 1 กระธง ฝั่งออมฟ้องแพ่งก็มีโอกาสชนะเยอะ

ออม ดูแล้วเป็นเป็นแค่ตัวฉายแสงเพราะเป็นดาราเลยออกหน้าแทนมีชื่อเสียง ดูจากที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนไม่รู้จริงแค่ฟังคนที่คุมอยู่ข้างหลังจริงๆ อาจจะแฟนหรือน้องสาวหรือเปล่า คือออมพูดไม่เหมือนคนรู้จักเรื่องธุรกิจหรือหุ้นส่วนเลย แถมคุมอารมณ์ไม่ได้ emotional จัดๆ

น้องสาวออมดูรู้เรื่องกว่าเยอะเหมือนเป็นเจ้าของตัวจริง

แต่ผมเบื่อคนที่บอกว่า เหลี่ยมทั้ง2ฝั่ง เหลี่ยมนู้นเหลี่ยมนี่ คือมันคือธุรกิจอะ business อะมันเฉือนคมกันอยู่แล้ว แต่ฝั่ง พ อะเค้าเรียกว่า unethical ไม่มีใครอยากทำธุรกิจกับคนที่ทำแบบนี้หรอกมันเรียกว่าหักหลังได้เลยไม่ใช่เหลี่ยม  

มันจะไม่เหลี่ยมเจอเหลี่ยมได้ยังไง

อีกคนแอบทำอีกที่นึง อีกคนแอบซื้อหุ้นให้ตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ยิ่งมองในมุม business นะ ต่อให้ พ ไม่ได้ทำหรือเปิดแข่ง ไม่ได้การันตีเลยว่าการซื้อหุ้น 4% โดยให้คนขายหุ้นเซ็นสัญญารักษาความลับ ถ้าเปิดเผยจะโดนปรับ 5แสน นั้น จะไม่เกิดขึ้น


เพราะถ้าเราเห็นว่าเพื่อนเราทำอะไรผิด อย่างแรกคือต้องคุยหรือเรียกมาคุยก่อนเลย อันนี้คือข้ามขั้นตอนของคนปกติที่ทำธุรกิจด้วยกันหมด

คบไม่ได้ทั้ง3ตัวนั่นแหละ  

มันจะไม่เหลี่ยมเจอเหลี่ยมได้ยังไง

อีกคนแอบทำอีกที่นึง อีกคนแอบซื้อหุ้นให้ตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ยิ่งมองในมุม business นะ ต่อให้ พ ไม่ได้ทำหรือเปิดแข่ง ไม่ได้การันตีเลยว่าการซื้อหุ้น 4% โดยให้คนขายหุ้นเซ็นสัญญารักษาความลับ ถ้าเปิดเผยจะโดนปรับ 5แสน นั้น จะไม่เกิดขึ้น


เพราะถ้าเราเห็นว่าเพื่อนเราทำอะไรผิด อย่างแรกคือต้องคุยหรือเรียกมาคุยก่อนเลย อันนี้คือข้ามขั้นตอนของคนปกติที่ทำธุรกิจด้วยกันหมด

คบไม่ได้ทั้ง3ตัวนั่นแหละ  

มันต้องดูกระดุมเม็ดแรกไหมครับ เหลี่ยมเค้าก่อน แถมบอกขายหุ้นอีกแบรนด์ก็ได้แต่ขายให้นอมินีซะงั้น

ถ้า อ ไม่ take over แล้วไปถาม พ ก่อนก็ไม่มีวันได้ control มาหรอกครับผมว่า  

Mark Zuckerberg dilute share ของ Saverin โดยไม่ได้เรียกมาคุยและไม่เคยบอกกล่าว

ไม่ใช่ทุกคนจะมองธุรกิจเป็นครอบครัว move ของออมมันก็แค่สิ่งทั่วไปที่นักธุรกิจหุ้นส่วนเค้าทำกันเยอะแยะเวลามี conflict ระหว่างผู้ถือหุ้น ไม่มีคำว่าข้ามขั้นตอนเพราะมันไม่เคยมีขั้นตอนอะไรเขียนไว้อยู่แล้ว ธุรกิจคือการใช้สมอง เล่นเกมส์

จริงๆไม่ต้องรอให้มี conflict เลย ทุกวันนี้ผู้ถือหุ้นบริษัทต่างๆก็เล่นเกมส์กันอยู่ตลอด power game เป็นเรื่องปรกติมาก การซื้อขายหุ้นระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเพื่อชิงอำนาจแม่งโคตรปรกติ

หรือลองไปขุดศพ Steve Jobs ขึ้นมาถามก็ได้ครับว่าผู้ถือหุ้น Apple เคยเรียกไปคุยมั้ยก่อนโหวตแขวน Jobs

ไม่มีหรอกครับขั้นตอนอะไรที่คุณว่า ไม่ใช่พนักงานบริษัทมี HR people team คอยทำตามขั้นตอนเวลาพนักงานมีปัญหา เรียกมาคุย คุยอะไรอะ "ครั้งต่อไปเก๊าไม่ให้อภัยแล้วนะห้ามทำแบบนี้อีก" ตีมือๆ  

ถ้าผลประโยชน์มันไม่ได้มากและเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติ ด้วย culture คนไทย พอคุยกันได้ มันก็ควรจะคุยก่อนแหละ แต่คนแบบนี้มักจะตายก่อนในวงการทำธุรกิจ

ไอ้หุ้น 4% ยังไงก็ต้องโดนเข้าซักวัน ไม่เราก็เขา ทำถูกต้องตามกฎหมายก็จบ ส่วนจะเป็นขี้ปากว่าฮุบ บ. ไม่นานเดี๋ยวคนก็ลืม เอ็นดูเขาเอ็นเราขาด
 

ผมว่ามันเกิดจากความหยุมหยิมของดารา ตอนแรกจับได้ว่า พ จะทำแบรนด์แข่ง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตกลงยังไงนะ แต่จริงๆถ้าไม่ได้เซ็นสัญญาห้ามแข่งขันตั้งแต่แรกมันก็ทำได้) แต่แทนที่ ดารา จะเข้าไปคุย ซึ่งถ้าเข้าไปคุยนะ ตัวเองอยู่เหนือกว่าเลย เพราะตอนคุยโทรศัพท์ก็เหมือนอีกฝั่งรู้สึกผิดแล้วด้วย จะให้อีกฝั่งเลิกทำ หรือจะขอซื้อหุ้นราคาถูกๆมาก็จบเลย แต่ดันไม่ทำ ดันไปแอบซื้อหุ้น 4% มาเป็นฝั่งตัวเอง แล้วจะเอาคืนด้วยการไล่ออก ทีนี้ก็คดีพลิกเลย วุ่นวายไปหมด กลายเป็นแบรนด์ก็เสีย ตัวเองก็เสีย ส่วนจะซื้อหุ้นที่เหลือต้องเอา FA มาประเมินราคา ซึ่งแพงแน่นอน เพราะงบปีล่าสุดออกมาดี แต่ด้วยความหยุมหยิมและไม่ยอมคุยน่ะแหละ มันก็เลยเป็นเรื่องเป็นราว บอกเลยว่าตอนนี้ดาราเสียเปรียบ เพราะ FA ประเมินราคาบริษัทยอดขาย 47 ล้าน กำไรปี 6 ล้าน ไม่ถูกแน่ๆ มูลค่าบริษัทเผลอๆไป 100 ล้าน แต่ภาพลักษณ์แบรนด์ตอนนี้มันเสียแล้ว กลายเป็นว่ายังไงก็จ่าย premium  

อ ถือหุ้น 48%
พ ถือหุ้น 48%
ศ ถือหุ้น 4%

อ คิดว่า พ ทำแบรนแข่ง เลยแอบไปซื้อหุ้น 4% จาก ศ ช่วงเดือนมกราคม กลายเป็นถือ 52% แล้วปลด พ ออกจาก กรรมการบริษัท
ส่วน ศ ก็อ้างว่า โดนกล่อมคิดว่าบริษัทไปไม่รอดเลยขายหุ้น กำขี้ดีกว่ากำตด

ส่วนเรื่องไฟล์หาย นู่นนี่นั้นเกิดขึ้นทีหลัง ช่วงเดือนมีนาคมเป็นต้นไป

กระบวนทางกฎหมายดูแล้วทาง อ น่าจะได้เปรียบ เพราะทำสัญญาต่างๆไว้ค่อนข้างครบ ส่วน พ. ไม่มีความรอบคอบอะไรเลย
ส่วนศีลธรรมเจ้าตัว อ. ก็เอ่ยปากท้ายรายการว่าก็อาจจะผิดด้านศีลธรรม




ส่วนตัวไม่เข้าข้างใคร เพราะดูแล้วน่าจะร้ายพอๆกัน นิติธรรมกับศีลธรรม อยู่ในว่าแต่ละคนจะใช้แว่นอะไรมอง  

มันถึงมีคำว่า "nothing personal, it just a business"

แล้วก็เวลาแบ่งหุ้นมันควรแบ่งให้ดีกว่านี้แต่แรก หุ้นแบ่งกันครึ่งๆกลางๆ 48 48 4 แบบนี้คือระเบิดเวลารอวันบรรลัยนั่นแหละ  

มันต้องดูกระดุมเม็ดแรกไหมครับ เหลี่ยมเค้าก่อน แถมบอกขายหุ้นอีกแบรนด์ก็ได้แต่ขายให้นอมินีซะงั้น

ถ้า อ ไม่ take over แล้วไปถาม พ ก่อนก็ไม่มีวันได้ control มาหรอกครับผมว่า