มีเรื่องอะไรกันฮะ ใครตามข่าวบ้าง ผมเห็นผ่านตาแว๊บๆ แต่ไม่รู้รายละเอียด ใครตามข่าวบ้าง รบกวนช่วยสรุปให้ฟังทีฮะ หรือแปะลิงค์ที่มีคนสรุปสรุปก็ได้ฮะ ขอบคุณมากฮะ

อ ถือหุ้น 48%
พ ถือหุ้น 48%
ศ ถือหุ้น 4%

อ คิดว่า พ ทำแบรนแข่ง เลยแอบไปซื้อหุ้น 4% จาก ศ ช่วงเดือนมกราคม กลายเป็นถือ 52% แล้วปลด พ ออกจาก กรรมการบริษัท
ส่วน ศ ก็อ้างว่า โดนกล่อมคิดว่าบริษัทไปไม่รอดเลยขายหุ้น กำขี้ดีกว่ากำตด

ส่วนเรื่องไฟล์หาย นู่นนี่นั้นเกิดขึ้นทีหลัง ช่วงเดือนมีนาคมเป็นต้นไป

กระบวนทางกฎหมายดูแล้วทาง อ น่าจะได้เปรียบ เพราะทำสัญญาต่างๆไว้ค่อนข้างครบ ส่วน พ. ไม่มีความรอบคอบอะไรเลย
ส่วนศีลธรรมเจ้าตัว อ. ก็เอ่ยปากท้ายรายการว่าก็อาจจะผิดด้านศีลธรรม




ส่วนตัวไม่เข้าข้างใคร เพราะดูแล้วน่าจะร้ายพอๆกัน นิติธรรมกับศีลธรรม อยู่ในว่าแต่ละคนจะใช้แว่นอะไรมอง

ออม ผจก พริม รวมกันสร้างแบรนด์ Fleen แบ่งหุ้น 48-4-48 ตามลำดับ

พริมเคยทำแบรนด์ RAD ธุรกิจรูปแบบเดียวกันแต่แจ้งว่าเจ๊งไปแล้ว

ออมรับรู้เพราะไปส่อง dbd ไม่ส่งงบการเงินมานานแล้ว

Fleen กำลังไปได้ดี มีคนไปเห็นว่า RAD กลับมาแล้วโดยพริมเป็นเจ้าของ

ฝั่งออมไม่ไว้ใจแล้วเพราะหุ้นส่วนไปเปิดคู่แข่งกลับมาใหม่ เลยไปล่อ ผจก มาขอซื้อหุ้น 4% ที่ว่าในราคา 2.5m โดยบอกว่า Fleen กำลังไปดำเนินงานไปได้ไม่ดี ขายมั้ย ผจก ยอมขาย แต่มารู้ที่หลังว่าเอ๊าา มีกำไรนี่หว่า เลยอยากขอเพิ่มเงิน เกิดศึก ผจก กับ ออม

แต่กำไรที่ว่าคือ 6 ล้าน ถ้าปันผลหมด 100% ไม่ต้องสนใจกฎหมายอะไรทั้งนั้น 4% ก็จะได้แค่ 240k นะ ฝั่งออมบอก 2.5m นั้นเยอะละ

กลายเป็นตอนนี้สัดส่วนหุ้นเหลือสองคือ ออม กับ พริม ที่ 52-48

พอได้หุ้นมาปุ้บ ออมที่ไม่ไว้ใจพริมอยู่แล้วเลยปลดคนของพริมออก รวมถึงพริมด้วย พริมบอกว่าไม่แฟร์ไปซื้อหุ้นกับลับหลังแบบนี้ไง ออมก็สวนกลับมันแฟร์หรอที่พริมไปฟื้น RAD กลับมา

ก็ทะเลาะกันไปมา ออมบอกงั้นมาเดี๋ยวซื้อ 48% ของพริมเองที่ 10 ล้าน แต่พริมไม่พอใจ จะไปซื้อหุ้นของออม ออมก็บอกเอาดิขายที่ 32.5 m นะ ก็คาราคาซังกัน สรุปให้ทั้งสองไปหาคนกลางมาประเมินมูลค่าบริษัทกัน แล้วค่อยตกลงราคาซื้อขายใหม่

ระหว่างทางก็เกิดเรื่องแซะกันใน social ไปมา ไม่ยอมให้เป็นเรื่องหลังบ้าน จบ

ขออนุญาตแปะลิ้งของ อรรถรส นะครับ

https://www.facebook.com/auttaross/posts/pfbid0rhguUD2Nc9fr9V5B4ukammXqUBjmDGPihe2LcQp8YoqhjNidQ8ohyQhxeZyMXRGWl

นั่งฟังตั้งแต่เมื่อวาน ปวดหัว

แต่ส่วนตัวเชื่อว่าฝั่งดาราเหลี่ยมกว่า อีกฝั่ง

ส่วนอดีต ผจก ที่ขายหุ้นไป 4% เรียกว่าเป็นแปรของคดีนี้เลย

ขอบคุณฮะ

วนไปวนมา ฟังยังงงเลย ตกลงจะเอาอะไร ทั้ง 2 ฝ่าย

อ ถือหุ้น 48%
พ ถือหุ้น 48%
ศ ถือหุ้น 4%

อ คิดว่า พ ทำแบรนแข่ง เลยแอบไปซื้อหุ้น 4% จาก ศ ช่วงเดือนมกราคม กลายเป็นถือ 52% แล้วปลด พ ออกจาก กรรมการบริษัท
ส่วน ศ ก็อ้างว่า โดนกล่อมคิดว่าบริษัทไปไม่รอดเลยขายหุ้น กำขี้ดีกว่ากำตด

ส่วนเรื่องไฟล์หาย นู่นนี่นั้นเกิดขึ้นทีหลัง ช่วงเดือนมีนาคมเป็นต้นไป

กระบวนทางกฎหมายดูแล้วทาง อ น่าจะได้เปรียบ เพราะทำสัญญาต่างๆไว้ค่อนข้างครบ ส่วน พ. ไม่มีความรอบคอบอะไรเลย
ส่วนศีลธรรมเจ้าตัว อ. ก็เอ่ยปากท้ายรายการว่าก็อาจจะผิดด้านศีลธรรม




ส่วนตัวไม่เข้าข้างใคร เพราะดูแล้วน่าจะร้ายพอๆกัน นิติธรรมกับศีลธรรม อยู่ในว่าแต่ละคนจะใช้แว่นอะไรมอง

สรุปเท่าที่จำจับความได้คือ เหลี่ยมเจอเหลี่ยม

มันก็คือการชิงเหลี่ยมกันในธุรกิจ ซึ่งใครทำเอกสารสัญญาตามกฏหมายถูกต้องคนนั้นก้ชนะไป

ใครที่มาพูดสัญญาปากเปล่าก็แพ้ไป แค่นั้น

ฟังๆมาเหมือน อ.ทำแบรนด์กับ พ. โดนมี ศ.เป็นคนกลาง

เรื่องมันเกิดเพราะ อ.คิดว่า พ.ทำอีกแบรนด์ ตลาดเดียวกันมาตี เลย ซื้อหุ้นจาก ศ.

ส่วนไทม์ไลน์อะไรยังไงผมยังไม่รู้ แต่เท่าที่ดูก็เรื่องธุรกิจ ผิดใจกัน แต่ฝ่ายที่ไม่ใช่ดาราชนักติดหลังค่อนข้างเยอะพอตัว จากดาราชาวบ้านท่านอื่นๆ

แต่หากผมเจอหุ้นส่วน เปิดหรือร่วมหุ้นบริษัทอื่น ในตลาดเดียวกัน ก็ไม่น่ามองหน้ากันติดแล้วอ่ะ แย่งส่วนแบ่งการตลาดไม่พอ ดีไม่มีอาจมีการใช้ผลิตภัฑณ์ใก้เคียงกันจากสูตรที่บริษัทตัวเองจ้างผลิตอีก

ผมมองว่าตรงนี้ค่อนข้างมีผลต่อเครดิตระยะยาวเลยนะ ถ้าจะร่วมลงทุนกับคนๆนี้

ออม ผจก พริม รวมกันสร้างแบรนด์ Fleen แบ่งหุ้น 48-4-48 ตามลำดับ

พริมเคยทำแบรนด์ RAD ธุรกิจรูปแบบเดียวกันแต่แจ้งว่าเจ๊งไปแล้ว

ออมรับรู้เพราะไปส่อง dbd ไม่ส่งงบการเงินมานานแล้ว

Fleen กำลังไปได้ดี มีคนไปเห็นว่า RAD กลับมาแล้วโดยพริมเป็นเจ้าของ

ฝั่งออมไม่ไว้ใจแล้วเพราะหุ้นส่วนไปเปิดคู่แข่งกลับมาใหม่ เลยไปล่อ ผจก มาขอซื้อหุ้น 4% ที่ว่าในราคา 2.5m โดยบอกว่า Fleen กำลังไปดำเนินงานไปได้ไม่ดี ขายมั้ย ผจก ยอมขาย แต่มารู้ที่หลังว่าเอ๊าา มีกำไรนี่หว่า เลยอยากขอเพิ่มเงิน เกิดศึก ผจก กับ ออม

แต่กำไรที่ว่าคือ 6 ล้าน ถ้าปันผลหมด 100% ไม่ต้องสนใจกฎหมายอะไรทั้งนั้น 4% ก็จะได้แค่ 240k นะ ฝั่งออมบอก 2.5m นั้นเยอะละ

กลายเป็นตอนนี้สัดส่วนหุ้นเหลือสองคือ ออม กับ พริม ที่ 52-48

พอได้หุ้นมาปุ้บ ออมที่ไม่ไว้ใจพริมอยู่แล้วเลยปลดคนของพริมออก รวมถึงพริมด้วย พริมบอกว่าไม่แฟร์ไปซื้อหุ้นกับลับหลังแบบนี้ไง ออมก็สวนกลับมันแฟร์หรอที่พริมไปฟื้น RAD กลับมา

ก็ทะเลาะกันไปมา ออมบอกงั้นมาเดี๋ยวซื้อ 48% ของพริมเองที่ 10 ล้าน แต่พริมไม่พอใจ จะไปซื้อหุ้นของออม ออมก็บอกเอาดิขายที่ 32.5 m นะ ก็คาราคาซังกัน สรุปให้ทั้งสองไปหาคนกลางมาประเมินมูลค่าบริษัทกัน แล้วค่อยตกลงราคาซื้อขายใหม่

ระหว่างทางก็เกิดเรื่องแซะกันใน social ไปมา ไม่ยอมให้เป็นเรื่องหลังบ้าน จบ

52 ไล่ 48 ออกจากบอร์ด

แบบนี้ 48 ไม่อยากขายหุ้นให้ 52 เหรอ

หรือว่า 48 อยู่เฉยๆ เอาปันผลเอาดีกว่า

ออมโดนเหลี่ยมมใส่ก่อน เลยเอาคืนแบบถีบออกไปเลย ส่วนตัวคิดว่าอีกฝั่งไม่แม่นกฏหมาย ไม่มืออาชีพด้วยเลยแนวๆทำมั่วๆ เลยกลายมาเป็นแบบนี้ ส่วนฝั่ง 4% อันนี้หมาสุดละ อยากได้เงินเพิ่มแต่อ้ำอึ่งเก็บทรงจัด555

เหลี่ยมชนเหลี่ยม

เท่าที่ฟัง Timeline เริ่มจาก ฟัง พ มาเหลี่ยมก่อน

อ ไปจับได้ว่า พ ทำแบรนด์แข่งโดยที่ปิดบัง

แต่ อ ไม่ยอมไปคุยกับ พ ตรงๆ เรื่องการทำแบรนด์แข่ง

อ (น่าจะได้คำปรึกษาจากมือดี) ไปเหลี่ยม 4% ให้ได้มา ซึ่ง 4%

ถ้าให้เดา เริ่มจาก 100,000 ได้ 2.5m กี่เท่าก็ไม่รู้

แล้วด้วยตัวเองไม่ได้มีความรู้ทางธุรกิจ หรือการประเมินมูลค่าใดๆ เพราะ4% แถบไม่ได้ใช้แรง เน้นกินปันผล

คงมองเป็นการลงทุน เลยยอมขายไป

สุดท้ายพอตัวเองเริ่มฟังมากขึ้น รู้มากขึ้นว่าบริษัทอนาคตมันไปได้ไกล ก็เลยอยากได้มากขึ้นแค่นั้น สรุป ตอนจะเจ๊งจะชิ่งก่อน แต่พอไปได้ดี จะมาขอส่วนต่าง อันนี้คบไม่ได้สุดๆ

ปล. เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า มีกุนซือดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

จุดอ่อนเดียวของดาราคือ ต้องพิสูจน์ว่าได้หุ้นมาโดยที่ไม่ได้หลอกลวง ที่เหลือคือวางแผนมาตามกฏหมายหมด
เตรียมตัวมาดี ส่วนอีกฝั่งก็คือเสียประโยชน์จากการเสียอำนาจนั่นแหละ แผลใหญ่คือไม่ทำสัญญาอะไรให้มัน
เป็นเอกสารหลักฐานเลย

สรุปคือ
ดาราอยากให้ไกล่เกลี่ยกันในศาล เพราะตัวเองได้เปรียบ ถ้าแย่งกันออกสื่อแบรนด์เสียภาพลักษณ์
มูลค่าแบรนด์ตก

ฝั่งคนปั้นแบรนด์อยากได้กระแสสังคมช่วย เพราะถ้าสู้ตามกฏหมายเสียเปรียบหลายอย่างเพราะ
ไม่ได้ทำตามแนวทางที่จะมาสู้ตามกฏหมายแล้วได้เปรียบเลยตั้งแต่ต้น

คิดว่าสุดท้ายไปที่ไกล่เกลี่ยกันแล้วดาราจ่ายเงินก้อนนึงจบเรื่องไป เพราะกำขี้ดีกว่ากำตด
แบรนด์พังก็ไม่มีใครได้อะไร

แต่ดูเคสนี้แล้วเป็นตัวอย่างที่ดี หน้าซื่อๆ สวยๆ เหลี่ยมพอตัวเหมือนกันนะ น้ำตาสั่งได้เลย

แต่จากเคสนี้ทำให้เห็นว่าสังคมไทยตอนนี้มีคนสถาปนาตัวเองเป็นไม้บรรทัดของสังคมเรียบร้อยพร้อมลูกหาบ เมื่อทุกเรื่องคำพูดตัวเองถูกต้องทุกอย่างเมื่อวานออกตัวแรงเป็นกูรูทุกเรื่อง ไปยันคำนวนราคาหุ้นให้เรียบร้อย วันนี้พอเขาไม่ให้มาก็โพสงอแงลูกหาบพร้อมอวยไปอีก สังคมตอนนี้เรื่องถูกผิดกลายเป็นต้องฟังคนนี้หมดเลยป่วยจัดสังคม ส่วนเรื่องFBIที่มาช่วยคดีแตงโมเงียบกริบไม่พูดถึงต่อเลย