52 ไล่ 48 ออกจากบอร์ด

แบบนี้ 48 ไม่อยากขายหุ้นให้ 52 เหรอ

หรือว่า 48 อยู่เฉยๆ เอาปันผลเอาดีกว่า  

ตอนหลังมีเหวอไปเลยพี่หนุ่มกับทนายแก้วพอรู้ว่าอีกฝั่งมีโอนหุ้นให้พี่สาว มีแตกหุ้นตัวเองให้คนอื่น มีการเอาคนในบริษัทไปเปิดบริษัทแข่ง หลังรายการน่าจะแตกเหมือนกันพี่หนุ่มกับทนายแก้วก่อนเริ่มรายการน่าจะปักธงมาพอสมควรเหมือนกัน พอมารู้เรื่องที่อีกฝ่ายไม่บอกแล้วฝั่งออมดันมีหลักฐานหมด หน้าเหวอเหมือนกันเคสนี้ตั้งแต่เมื่อวานคนในรายการเน้นหลักกูไปหน่อยหลักฐานอะไรไม่สน ไปเชื่อกูรูด้านภาษากายมากไปหน่อยสรุปเจอเหลี่ยม  

คิดเหมือนผมเลยว่าตั้งแต่เริ่มรายการอะ พี่หนุ่มเหมือนปักธงมาแล้วจริงๆ ผมพึ่งมาตามดราม่าวันนี้นะ ตอนแรกตั้งแต่เริ่มดูคิดว่าออมน่าจะผิดแน่ถ้าพี่หนุ่มปักธงมาขนาดนี้ แต่พอฟังๆแล้วก็ งง ว่าออมผิดอะไร ทำไมถึงดูเข้าข้างฝั่งนู้น สรุปน่าจะได้รับสารมาอีกแบบแน่เลย  

เอาไปสร้างซีรีส์ได้เลยนะเนี่ย

เริ่มจาก พ อ และ ส ลงทุนปี66 ชื่อบริษัท f สัดส่วนเปน 48-48-4 (จากตอนแรก 45-45-10 และ พ มาขอเป็น 51-45-4 อ บอกว่าโอเค แต่พอเอาไปปรึกษาครอบครัว ครอบครัวบอกแบบนี้ไม่ได้ จึงจบที่ 48-48-4)

โดยที่ พ มีบริษัท r1 ซึ่งเปิดไว้เมื่อหลายปีที่ทำร่วมกับนักร้อง แล้วโดนนักร้องฟ้อง และไม่ได้ส่งงบการเงินมาตั้งแต่ปี62 อ รู้ว่า พ ทำแบรนด์นี้มาก่อน และเข้าใจว่า ไม่ได้ดำเนินกิจการแล้ว แต่ พ ยืนยันว่า อ รู้ เพราะเคยส่งลิปสติกจากr1ไปให้ ด้วยความที่ อ ถือใจซื่อว่า พ ทำโปรดัคมาให้ลอง หรือโปรดัคค้างสต็อคจากที่เดิม

ต่อมา ต้นปี 68 น้องสาว อ แอบไปเจอไฟล์ logo ของบริษัท r1 ใน ไดร์ของ บริษัท f เมื่อไปค้นข้อมูลพบว่า พ แอบไปจดทะเบียน บริษัท r2 กลางปี67 และให้แฟนเป็นกรรมการบริษัทด้วย ทั้งที่ แฟน พ ก็เป็นพนักงานบริษัท f (อ ฟ้อง พ และแฟน พ ตรงนี้ด้วยเรื่องมาเปิดแข่ง)

ซึ่งตรงนี้ ทำให้ อ ไม่ไว้ใจ พ แล้ว จึงขอซื้อหุ้น จาก ส 4% ที่เหลือ ในวันที่ 24 มค 68 ในราคา1 ล้าน แต่ ส ขอ3ล้าน ต่อรองกันจบที่ 2.5 ล้าน โดยทำสัญญาว่า ห้ามนำเรื่องมูลค่าซื้อขายหุ้นไปบอก พ ต่อมา ส โทรหา แฟน อ เพื่อขอเงินเพิ่ม เพราะคิดว่าตัวเองควรได้มากกว่านี้ อ้างอิงจากคำพูด ส เมื่อวาน อ บอก กับ ส ว่า บริษัทขาดทุน ทำให้ ส ตัดสินใจขายหุ้น วันนี้ อ บอกว่า ไม่เคยบอกว่าขาดทุน และ ส รับรู้มาตลอดว่า บริษัท มีปันผล มีกำไร ส โฟนอินเข้ารายการ บอกว่า เมื่อวานไม่ได้พูด ว่า ขาดทุน แต่คิดว่าถ้ามันขาดทุน กลัวตัวเองต้องเป็นหนี้เลยขาย และมารู้ทีหลังว่า บริษัท มีกำไรหลายสิบล้าน จากทางฝั่ง พ จึงฟ้อง อ ว่าโดนหลอกขายหุ้น

เมื่อ อ มีหุ้น 51% แล้ว จึงโทรไปถาม พ ในวันที่25 มค ว่า ทำไมไปเปิดแบรนด์ใหม่มาแข่งกับ บริษัทตัวเอง พ ยอมรับว่า ไม่มีไทมมิ่งที่จะบอก แต่จะบอกอยู่ ( ก่อนหน้านั้น อ เคยถามไปหนึ่งรอบก่อนซื้อ หุ้น4%)

ต่อมา เมื่อเดือน มีนา น้องสาว อ พบว่า ไฟล์งานของ บริษัท f จำนวน400กว่า ถูกลบโดยใครบางคน โดย ในโฟลเดอร์นั้นสามารถเข้าได้4 คน มี น้องสาว อ , คนงานของ อ, พ และ คนงานของ พ ( พ โฟนอินมาบอกว่า เข้าได้จริงๆ 8 คน ) โดย ฝั่ง อ ฟ้อง และยื่นคอม อุปกรณ์ทุกอย่างให้แก่ตำรวจเพื่อตรวจสอบแล้ว รอตรวจสอบจากฝั่ง พ ว่าใครเป็นคนลบ

นั้นเป็นเหตุ ให้ อ ตัดสินใจ ปลด พ ออกจากกรรมการ และตั้ง แฟนตัวเองมาเป็นกบห แทน

ในระหว่างนั้น มีการบิดซื้อหุ้น โดยที่ ราคา32.5ล้านที่ฝั่ง อ ยกมาเปรียบเปยว่าตัวเองซื้อหุ้นจาก ส 4% 2.5 ล้าน เนี่ยมันไม่ถูกเลยนะ ตีมูลค่าแพงด้วยซ้ำ (เพราะ ส บอกว่า ขายหุ้นในราคาที่ถูกไป )

ส่วนฝั่ง พ เสนอ ซื้อ หุ้นฝั่ง อ ทั้งหมด (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า มี51% คิดว่ามี48%) ราคา10ล้าน ฝั่ง อ เลยเสนอซื้อ 48% ในราคา11ล้าน แทน
แต่ พ บอกว่า ไม่เอา

พ แจ้งกับรายการว่า ขายหุ้นบริษัท r3 ไปหมดแล้ว เมื่อ ตรวจสอบพบว่า พ ขายหุ้นให้กับ พี่สาวตัวเอง
พ บอกว่า อ แตกหุ้นให้กับคนในครอบครัว แต่จริงๆแล้ว พ แตกหุ้นให้กับทนายฝั่งตัวเองก่อนหน้านั้นแล้ว อ เลยแตกหุ้นมาบ้าง
ศาลให้ไปหา บริษัทกลางมาเพื่อประเมิลมูลค่าหุ้นที่แท้จริงของ บริษัทf คนละ3บริษัท ฝั่ง อ หามาครบทั้ง3 และส่งให้ฝั่ง พ ทั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว แต่ ฝั่ง พ ยังไม่ส่งให้ฝั่ง อ เลย แต่ พ ยืนยันว่า หามาครบแล้ว และให้ทนายส่งให้ฝั่ง อ แล้ว

พ อยากให้ปิดบริษัทไปเลย ( ตัวพ มีบริษัทr ที่มี know how ทั้งหมดของ บริษัทp อยู่แล้ว)
แต่ อ อยากซื้อหุ้นทั้งหมดจาก พ


ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ เล่าตามที่ฟังมาสองวัน

แต่บอกเลยว่า พ เหลี่ยมมาก่อน และน่าจะฟ้องไม่ชนะด้วย เพราะ ฝั่ง อ เก็บหลักฐานและทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วน ส เหลี่ยม โลภ ด้วย
 

ยืนฝั่งหลักฐานครับ ทำธุรกิจ มางงๆเชื่อๆเบาๆไม่ได้

สังคมต้องดูเลยใครจะเล่นสายธุรกิจ มีหนักกว่านี้เป็นปกติ

และผมว่า พ ก็ไม่ได้เบา แค่พลาด ไม่คิดว่า อ. จะเข้ม  

ปัจจุบันกลายเป็นทุกเรื่องคนนี้พูดอะไรคือถูกหมดใครตรงข้ามผิดทันที ลูกหาบเรียกร้องบอกต้องมาวิเคราะห์ภาษากาย คือประเทศไทยมีอัจฉริยะเยอะจัดคือถ้าเก่งขนาดนั้นยกเลิกศาลยกเลิกหน่วยงานยุติธรรมให้หมด ให้คนนี้วิเคราะห์หรือเอาความเห็นคนนี้คนเดียวพอสังคมโคตรน่าอนาถปั้นยอดมนุษย์ขึ้นมาโคตรง่าย  

ก่อนมีแสงก็ให้ความเห็นตามวิชาชีพของตัวเองไม่ได้ตัดสิน

พอมีแสงก็ทำตัวเป็นตุลาการตัดสินคนทันที

ทั้งที่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย ไม่ได้เป็นคู่กรณีหรือมีส่วนอะไรกับเค้าเลย

พอเค้าไม่ให้มาออกก็แซะเค้าเพราะตัวเองตอนนี้มีลูกหาบแล้วจะแพ้ไม่ได้  

อ ถือหุ้น 48%
พ ถือหุ้น 48%
ศ ถือหุ้น 4%

อ คิดว่า พ ทำแบรนแข่ง เลยแอบไปซื้อหุ้น 4% จาก ศ ช่วงเดือนมกราคม กลายเป็นถือ 52% แล้วปลด พ ออกจาก กรรมการบริษัท
ส่วน ศ ก็อ้างว่า โดนกล่อมคิดว่าบริษัทไปไม่รอดเลยขายหุ้น กำขี้ดีกว่ากำตด

ส่วนเรื่องไฟล์หาย นู่นนี่นั้นเกิดขึ้นทีหลัง ช่วงเดือนมีนาคมเป็นต้นไป

กระบวนทางกฎหมายดูแล้วทาง อ น่าจะได้เปรียบ เพราะทำสัญญาต่างๆไว้ค่อนข้างครบ ส่วน พ. ไม่มีความรอบคอบอะไรเลย
ส่วนศีลธรรมเจ้าตัว อ. ก็เอ่ยปากท้ายรายการว่าก็อาจจะผิดด้านศีลธรรม




ส่วนตัวไม่เข้าข้างใคร เพราะดูแล้วน่าจะร้ายพอๆกัน นิติธรรมกับศีลธรรม อยู่ในว่าแต่ละคนจะใช้แว่นอะไรมอง  

52 ไล่ 48 ออกจากบอร์ด

แบบนี้ 48 ไม่อยากขายหุ้นให้ 52 เหรอ

หรือว่า 48 อยู่เฉยๆ เอาปันผลเอาดีกว่า  

ราคาไม่ได้มากกว่า แต่ออกรายการจะพูดประมาณว่ารักบอ. อยากได้ความยุติธรรม แต่ดูไปๆ น่าจะราคาไม่ได้เลยไม่ยอม อีกฝั่งบีบแกออกด้วย แค้นส่วนตัว