ผมว่าเฮดโค้ชก็ปกตินะมันไม่ใช่ว่าจะไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรเลยเรื่องซื้อนักเตะเพราะสุดท้ายจะเอาหรือไม่เอาคนไหนเขาก็ต้องคุยกับโค้ชก่อนอย่างที่เชลซีพอชกำหนดสเปคมาว่าอยากได้ตำแหน่งไหนสไตล์แบบไหนแล้วเดี๋ยวบอร์ดไปลิสต์รายชื่อมาให้โค้ชก็ต้องตัดสินใจอีกทีว่าเอาหรือไม่เอาคนไหนมันไม่ใช่ว่าจะโดนจับยัดหมดทุกตัว

ของเชลซี เฟลิกซ์ วลาโฮวิช อูการ์เต้ คือคนที่บอร์ดอยากได้หมดแต่ พอช เซย์โน ทุกดีลก็จบหมดหรืออย่างดีลพาลเมอร์ถ้าไม่มี โจ ชิลด์ หวยคงไปออกตัวอื่นพอชอยากได้นักเตะปีกขวาที่เล่นกลางรุกได้ด้วยบอร์ดไปหามาให้มี คูดูส โอลิเซ่ แชร์กี้ พอชเลือกโอลิเซ่ก่อนเชลซีเลยจะไปฉีกสัญญาแต่โอลิเซ่กลับลำต่อสัญญา โจ ชิลด์ เลยแนะนำพาลเมอร์มาพอชตอบโอเคก็ไปดีล

เอาจริงดีนะระบบนี้ มันได้แบ่งหน้าที่กันทำงานจริงๆ กุนซือไม่ต้องแบกภาระเยอะเหมือนระบบก่อน เอาเวลาไปโฟกัสกับแทคติกเลย

ผิดซิครับ เพราะระบบนี้ทำให้โค้ชไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือออกสิทธิ์ออกเสียง

อูไนอยากได้ซาฮา บอร์ดเอาเปเป้มาให้ สรุปใครผิด เพราะรูปแบบนี้อูไนไม่อยู่ในสมการในการตัดสินใจ

ถ้าอูไนได้อำนาจแบบต้า ผมว่าไม่มีดีลเปเป่แน่ๆ

ด้วยระบบจริงๆ บอร์ด(DOF) ต้องถามอูไนว่าอยากได้นักเตะประเภทไหนป่ะฮะ (ก็บอกประเภท หรืออย่างแย่สุดก็บอกว่าสไตล์ซาฮา)

แล้วทางทีมวิเคราะห์ก็เอาไปวิเคราะห์ว่าสไตล์ซาฮาเป็นแบบไหน (ก็เหมือนค่าต่างๆในเกมส์ FM ที่นำมาวิเคราะห์หาคนที่เหมาะกับทีม)

การที่บอกอยากได้ซาฮาแล้วไปจัดเปเป้ ควรต้องไปดูว่าพลาดตรงไหน ข้อมูลสไตล์การเล่น,ประสิทธิภาพ 2 คนนี้ต่างกันมั๊ย

ถ้าต่างกัน นั่นผิดที่การสื่อสารป่ะฮะ รีเควสสไตล์นี้ไป ดันไปได้อีกแบบมา หรือถ้าเหมือนกันแต่ดันห่วยกว่า ก็คือพลาดที่ทีมวิเคราะห์

รูปแบบการบริหาร,ระบบมันเป็นตัวช่วยด้วยซ้ำ คือช่วยเอา data มาเป็นตัวตัดสิน ซึ่งมันเสี่ยงน้อยกว่าตัดสินใจจาก ผจก.คนเดียว

ถ้าให้จิ้มเลือกเองเลย ก็ไปเหมือนเทน ฮาค จิ้มแต่นักเตะที่เคยผ่านตา, ลูกน้องเก่า scope ตัวเลือกก็น้อย แถมยังโดนโก่งราคาอีก

(เพราะไม่มีตัวเลือกอื่น) แล้วสุดท้ายกัดฟันทุ่มเงินเอามาอย่างเคสแอนโทนี่ ก็แย่ไม่ต่างจากเคสเปเป้เลย..

รอเวลาพิสูจน์ฮะ

ระบบหัวหน้าผู้ฝึกสอนนี้ คนที่คุมทีมแล้วทำผลงานได้ดีที่สุดก็คือ คาร์โล อันเชล็อตติ
อันเชล็อตติบอกว่า หน้าที่ของแกคือ สอนนักเตะ วางระบบของทีมให้เหมาะสมกับนักเตะที่มี เพื่อดึงศักยภาพของนักเตะออกมาให้มากที่สุด ส่วนหน้าที่ซื้อขาย เป็นเรื่องของบอร์ดบริหาร ไม่ใช่เรื่องของแก แกมีหน้าที่ดูดไปป์ริมสนามดูนักเตะซ้อม

ครับรอดู ดีแล้วครับที่หงส์ไปใช้ระบบแบบนี่ ผมเชียร์

เอาจริงๆในทางปฏิบัติ ก็ใช้มาตั้งแต่เอ็ดเป็น ผอ.กีฬาฯแล้วแหละฮะ..ตัวหลักที่ทำทีมได้แชมป์ลีค, UCL ส่วนใหญ่ก็มาจากระบบนี้

เพราะคลอปป์รีเควสชอยส์แรกแล้วไม่ได้ (นักเตะไม่ย้าย, แพงไป) ก็ต้องไปดีลตัวเลือก 2-3 ของเอ็ดมา (มาเน่, ซาลาห์,ดุม ฯลฯ)

เพิ่งมี 1-2 ปีที่ผ่านมาหลังเอ็ดออก ที่คลอปป์กับเป๊บ,มาตอส เป็นคนรีเควสเอง (พวกมาจากลีคโปรตุเกต) แต่ก็ยังใช้ข้อมูลช่วยอยู่

ลิเวอร์พูลก็ใช้ระบบนี้อยู่แล้วนี่ครับตั้งแต่ FSG เป็นเจ้าของ เรียกได้ว่าทีมในพรีเมียร์ลีกปัจจุบันเกือบทั้งหมดก็ใช้ระบบนี้ (อาจเว้นแค่ฟูแล่มเป็นต้น ที่ใช้ระบบผู้จัดการทีมคุมทีมไปด้วย ดูเรื่องซื้อขายนักเตะไปด้วย)
คล็อปป์มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมก็จริง แต่ไม่ได้ไปยุ่งเรื่องซื้อขายใดๆ คุมทีมเป็นหลัก ไม่ต่างจากเฮ้ดโค้ช เต็มที่คือเสนอให้บอร์ดซื้อนักเตะตามสเปคต้องการ

มีฤดูกาลนี้นี่ละ ที่จ้าง จอร์จ ชมัตเค่อ เป็น DoF (Director of Football) มาจัดการเรื่องซื้อขายนักเตะหน้าร้อนและหน้าหนาว "ชั่วคราว" หมดสัญญาก็แยกย้าย กลายเป็นต้องมาชนกับบอร์ดเต็มๆ กว่าสมัยมี DoF ตัวจริง

ถ้าถามว่ารุ่งไม่รุ่ง ขอให้นึกถึงช่วง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ด รับหน้าที่ DoF ของทีมเอาละกัน ว่าดึงใครมาบ้าง ช่วยทีมได้ขนาดไหน "ถ้าเลือกคนมากุมบังเหียนดีๆ"

ของอาร์เซนอลปัจจุบัน ผมว่าอาร์เตต้าได้อำนาจต่อรองทัดเทียมกับเอดู (Sport Director) นะครับ มากกว่าเป๊ปที่ยังให้ทีมซื้อขายชี้ขาดอีด

ใช่ครับ ก็คงเหมือนตามที่ท่าน Nesky พิมพ์มาแหละฮะ ว่าได้ผลดีกว่าสมัยที่อูไนไม่ค่อยมีอำนาจต่อรอง (รีเควสตัวนึง กลับได้ตัวอื่น)

เพียงแต่ผมมองมุมต่างว่า "ความเสี่ยง" มันต่างกัน ในการให้การตัดสินใจของ ผจก.ทีมชี้เลือกตัวได้เลย

ผมมองว่าใช้ทีมวิเคราะห์ข้อมูล ที่ได้สเปคจาก ผจก. แล้วค่อยหาตัวเลือกที่เหมาะสมน่าจะเสี่ยงผิดพลาดน้อยกว่า

เพราะของอาเตต้าอาจจะทำแล้วเวิร์คจริง แต่ในทางกลับกันเทน ฮาคเองก็เป็น ผจก.ทีมที่ชี้เลือกตัวเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์กลับสวนทาง

อาเซนอลยุค อุไน โครงสร้าง ก็เป็นแบบนี้ครับ แต่พอมายุคต้าเข้ามาแล้วขอบริหาารจัดการแบบ maneger