[RE: คนที่ฉลาด เขาจะนำทรัพย์อสังหาฯ ไปจำนองธนาคารให้มากสุดใช่มั้ย]
jjmarket พิมพ์ว่า:
GNR พิมพ์ว่า:
jjmarket พิมพ์ว่า:
ผิดเลยพี่
คนที่ฉลาดจริงๆ จะเอา บ.เข้าตลาด
แล้วบริหารจัดการดีๆ ให้ได้ fitch/tris เป็น investment grade
พวกนี้เวลาไปกู้แบงค์ ไม่ต้องมีหลักประกันเลยนะ(on clean basis)
แล้วด้วยที่ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ พี่คิดว่าเขากู้ MLR ลบเท่าไร
ผิดเลย เขาไม่ใช้แม้แต่ MLR ด้วยซ้ำ เขาจะเอา cost of fund bank บวก margin
ว่าง่ายๆ กู้กันจริงไม่ถึง 2% ต่อปี (ขนาดช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นนะ)
คือกู้เงินมาลงทุน 10,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยถูกสุดๆ แบบนี้ ใครจะมาแข่งพี่
ก็เลยเกิดการกินรวบหัวรวบหาง ไปเรื่อยๆ เลยจ่ะ
ถ้าบริษัทญไม่ใหญ่พอ ที่จะเข้าตลาดได้ ทำไงครับ
แล้วคนที่ฉลาดแต่ ทรัพย์สินเริ่มต้น ไม่มี จะทำไงครับ
ถ้างั้นมีอีกทาง คือต้องหา connection พวกนี้เวลาไปขอกู้ เขาไม่ไปติดต่อที่เคาเตอร์
แต่ไปเข้าหาทาง chairman/CEO โดยตรงเลย คือต้องมีคนพาเข้าหา
หรือเอาอย่างเจ้าสัว พลังงานก็ได้ ใช้ connection ทางการเมือง/ทหาร
หรือถ้าจะบอกว่าไม่มีอะไรติดมาเลย ก็ไปเป็นลูกจ้างเจ้าสัวก็ยังดีอะพี่
โลกทุนนิยมอะพี่ มือใครยาว สาวได้สาวเอา
ชีวิตจริงก็เลยเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เหมือนทุกวันนี้
ทางออกก็ให้นายกคนต่อไป มาแก้ไขเอาละกันพี่
สู้ๆเด้อ
ผมจะมาแบ่งปัณประสบการณ์ให้ครับ คุณบอกว่าคนที่ ฉลาดเค้าเอาเข้าตลาด
ผมอยากรู้ว่าคนพวกนี้เกิดมาบนเงินกองทอง แล้วมีเงินพาเข้าได้เลยหรือไม่ ก็ไม่ ครับ
แล้วถ้าคนธรรมดา อยากไต่ไปให้ถึงบ้าง วิธีที่เร็วที่สุดคือกู้นี้แหละ แต่การกู้ไม่ใช่กู้ได้ง่ายๆถ้าไม่มีทรัพย์สินหรือเงินเดือนที่สูง
เคสนึง เงินเดือนหลักแสน เป็นระดับ ฝ่ายบริหาร กู้ เงินซื้อโรงงานไม่ผ่าน แต่ได้คำแนะนำจาก น้าผมไป กู้ผ่าน
น้าผมเรียกมันว่าวิชามาร ตอนแรกคิดว่าเป็นศัพท์ที่เค้าคิดเอง ที่ไหนได้ คนอื่นก็ใช้คำนี้ เห็นตัวอย่างจากหมอสุนินก็เรียกว่าวิชามาร และเค้าไม่สอนกันง่ายๆ และเช่นกัน เค้าไม่สอนผมเพราะยังไม่ถึงเวลา
แต่ผมได้มีโอกาส แอบเปิดดูหนังสือโปรเจคที่เค้าใช้ไปขอ เงินกู้ 150 ล้านบาท จน อนุมัติได้ จนพอได้หลักการมาบ้างว่าต้องทำยังไง
(อีกตัวอย่างเลขาของหน้า (เป็นทอม)เพราะเป็นเลขาของน้าผมเลยได้ทำงานติดตามและรู้แนวคิดของน้าผมจนรู้ว่าเค้าทำอะไรบ้าง สุดท้าย เลขาคนนี้ได้ของจากน้าผมไปเต็มๆ ได้แนวคิดและวิธี ทุกวันนี้สร้างตึดอาพาร์ทเม้น ที่เชียงใหม่ และเป็นเจ้าของร้านกาแฟดังในเชียงใหม่ ซึ่งจริงๆ ทำงานแบบเค้า ไม่น่าจะมาได้ขนาดนี้ด้วยซ้ำ เป็นแค่พนักงานเงินเดือนหลักหมื่น เค้ายังพูดกับน้าผมเองเลย เพราะได้แนวคิดจากน้าผมไป ถึงมาได้ขนาดนี้ )
ส่วนนี้ประสบการณืชีวิตผมมาแบ่งปัณ เมื่อก่อนผมคิดว่าการไม่มีหนี้ สบายสุดๆแล้ว ไม่เดือดร้อนไม่ลำบาก
พอมามองย้อนกลับไปตัวเองโง่สุดๆเลย เพราะไม่มีหนี้ก็จริง แต่ผมไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยเหมือนใช้ชีวิตไปวัน
เมื่อก่อนผมคิดว่า อยากเปิดอะไรซักอย่าง ต้องเก้บเงินให้ถึงแล้วเอาไปเปิด เช่นอยากเปิดร้านกาแฟ 1 ล้านบาท ต้องเก้บเงิน 1 ล้าน แล้วกี่ปีผมถึงจะได้เปิด
แต่พอมาเข้าใจหลักการเป็นหนี้ วิธีคิดเลยเปลี่ยนไป ทุกวันนี้ สร้างเครดิตรให้ตัวเอง ไม่ว่าจะสลิปเงินเดือน ใช้จ่ายบัตรเครดิตร กู้เงินจากธนาคาร โดยที่ กู้มาเฉยๆนี้แหละ ไม่ได้เอาไปทำไร เพื่อจะใช้หนี้เค้าคืนได้ตามกำหนดแล้วเป็นลูกหนี้ที่ดี เพื่อหวังทำการใหญ่ ที่จะกู้เงินไปทำธุรกิจเป็นของตัีวเองให้ได้ วิธีนี้เหมือนทางลัดให้ผม จากที่อาจต้องเป็นลุกน้องไป 10ปีกว่าจะออกมาทำอะไรเป็นของตัวเองได้
ตอนนี้วางแผนไว้ว่าสิ้นปีนี้ จะออกมาทำโฮสเทลที่เกาะแห่งนึง
ถ้าความคิดผมยังจบอยู่กับว่า ไม่มีหนี้คือดีที่สุด เก็บเงินไปเรื่อยๆ กว่าจะครบกว่าจะพร้อมทำอะไรก็เป็น 10ปี
ตอนนี้ ผมได้ทางลัดให้ผมไปทำธุรกิจได้เร็วขึ้น
ทุกวันนี้โคตรดีใจเลย ที่ธนาคารเป็นฝ่ายมาเสนอเงินกู้ให้เองด้วยซ้ำ
ถ้าเคยอ่านความเห็นของผมในนี้ จะมีที่ผมสอนเรื่อง ความสำคัญของเครดิตรตัวเองไว้ เพราะผมกำลังทำมันอยู่และจะไต่ไปให้ถึง
สุดท้าย ถ้าเป็นหนี้เพื่อสนองตัณหาตัวเอง ผมไม่แนะนำ ถ้าจะเป็นก็เป็นที่พอดีตัวไม่ทำให้เดือดร้อน
แต่ถ้าเป็นหนี้แล้วทำให่เราสามารถต่อยอดไปทำอะไรได้มากขึ้น ได้กำไรจากการเป็นหนี้นั้น ผมเชียร์
เช่น เป็นหนี้ซื้อรถยนต์เพื่อไว้แค่ขับเอาสะดวกผมไม่ค่อยเชียรื แต่ถ้าใครบอกซื้อรถยนต์แล้วเอาไปขับหาเงิน หาช่องทางการทำเงิน ผมเชียร์
นี้คือผมยังเป็นการกู้แค่เริ่มต้นนะ ยังมีการกู้ ที่แบบสเกลใหญ่ๆอีก แบบระดับหลายสิบล้านจนไปถึงร้อยล้าน ว่าเค้าทำกันยังไง น้าผมก้ไม่ได้ เอาบริษัทเข้าตลาด แต่ทำไมเค้ากู้เงินหลักร้อยล้านได้
เขียนมาเป็นเรียงความเลย สุดท้ายหลายท่านอาจไม่เห็นด้วยกับการเป็นหนี้ ผมอยากบอกว่า หนี้มันมีทั้งคุณและโทษ ใช้มันให้เป็น อยู่กับมันให้ได้ มันก็จะเป็นหนี้ที่มีประโยชน์กับคุณ