เคยเจอมา เค้ามองว่า ผิดปกติ

และเป็นสิ่งที่พระเจ้ารักษาได้ด้วยนะ

(เหมือนโรค ที่ทำให้ร่างกาย หรือจิตใจ ไม่ปกติ)

พระเจ้ารู้ทุกอย่าง แต่พระเจ้าไม่ได้กำหนด

มนุษย์คือผลงานการสร้างที่พิเศษที่สุดของพระเจ้า

ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเสมอ

พระเจ้าสั่งให้ภูเขาระเบิด ภูเขาจะระเบิดทันที

พระเจ้าสั่งให้เทวดาก้มกราบ เทวดาก็จะก้มกราบทันที

แต่มนุษย์ พระเจ้าให้สิทธิ์ในการเลือกทำได้เองตามใจ

พระเจ้าไม่บังคับให้ใครทำดีหรือทำชั่ว

แต่พระเจ้ามีสิ่งตอบแทนที่เหมาะสมกับมนุษย์ทุกคนในโลกหลังความตาย

ผมว่ากฎพวกนี้ก็น่าจะเปลี่ยนตามยุคสมัยได้นะ เพราะโลกมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว

มันก็ประมาณว่าเพศสภาพหญิงควรจะให้นุ่งห่มเหลืองเพื่อการบวชได้ไหม

การมีสิทธิเท่าเทียมในการแต่งงานจะ ชช ญญ กับเรื่องเพศสภาพกำเนิดชายและเพศสภาพกำเนิดหญิงไม่เท่ากันถามว่าควรยอมรับไหมมันก็ไม่ควรนะ

พระเจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นใครตั้งแต่ในครรภ์มารดา
ตอนเกิดร้องอุแว้ๆ หรือร้องฉันเป็นเกย์ฉันเป็นเลสเลยไหมก็เปล่าซะหน่อย

สรุปของคริสต์คือพระเจ้าสร้างมาแค่ชายกับหญิง พระเจ้าสร้างมาให้เย็บกันเพื่อดำรงเผ่าพันธ์มนุษย์ อย่างอื่นคือรสนิยมทางเพศผิดพระคัมภีร์ ถ้าจะบอกว่าไม่เย็บกันเอาเด็กกำพร้ามาเลี้ยงก็ได้ แต่คือมันต้องช กับ ญ ผสมพันธ์กันจึงให้กำเนิดทารกได้นะ จบ

อย่าไปหาเหตุผลอะไรกับพวกเรื่องพระเรื่องเจ้าเลย

พุทธไม่มีเจาะจงเพศ พุทธพูดถึงกามมาอารมณ์โดยร่วมว่าเป็นกิเลส

พราหมณ์/ฮินดู เทพในศาสนานี้ตัว gender fluid เลย นารายณ์กับศิวะอวตารลงมาเป็นผัวเมียกันก็มี

ผมว่าแกเดินหมากผิดไปหน่อย ความเชื่อส่วนบุคคลอันนี้บังคับไม่ได้ แต่แกควรมาในบริบท เช่น

"ในฐานะคริสตศาสนิกชน ผมอาจจะไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมดกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งถ้าถามความเห็นส่วนตัวของผม ผมจะงดออกเสียง แต่วันนี้ผมมาในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชน ซึ่งผมจะรับร่างตามสิ่งที่ประชาชนเรียกร้อง เพราะผมเป็นผู้แทนราษฎรไม่ใช่ผู้แทนศาสนาครับ"

บลาๆๆ ราวๆนี้คงจบสวยกว่า แต่อย่างว่า ผมเก่งหลังเกม ณ เวลานั้นจริงๆผมอาจจะคิดไม่ทันก็ได้

พระเจ้าสร้างมาแค่2เพศ ตามความเชื่อแค่นั้น

คริสตชนก็มีหน้าที่ประกาศความเชื่อไปตามหลักคำสอนของศาสนา

ส่วนตัวผมบัตรปชชเป็นคริสต์ แต่ก็ไม่ได้เคร่งครัด ไม่ได้เชื่อหรืิยึดเหนี่ยวศาสนาสักเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้มีปัญหากับข้อกฎหมายที่ว่า

ในความคิดผมกฎเรื่องนี้ในศาสนา มันใช้ไว้ปกครองผู้คนมากกว่า ด้วยความที่เมื่อสมัยอดีตมีสงครามอยู่ตลอด สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่จำเป็นคือ "แรงงานหรือทรัพยากรมนุษย์" ครับ ศาสนาหลายศาสนาถึงยกเรื่องห้ามมีเพศสัมพันธ์ในเพศเดียวกันเอง เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมในตอนนั้น เนื่องจากไม่สามารถทำให้เกิดทรัพยากรมนุษย์มาเป็นแรงงานได้

ผู้ปกครองเลยใช้ศาสนาเป็นตัวกำหนดทิศทางซะมากกว่า ซึ่งพอมีระบบการปกครอง กฎหมายที่ชัดเจนขึ้น ศาสนาเลยปรับตัวกลายเป็นเรื่องขนบความเชื่อควบคู่ระบบการปกครองไป

ซึ่งหากค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในแหล่งกำเนิดแต่ละศาสนา คำสอนต่างๆจะสอดคล้องกับการใช้ชีวิตตามแต่ภูมิประเทศนั้นๆอยู่เหมือนกัน แต่ต่อมาเมื่อเข้ายุคใหม่ เมื่อศาสนากลายเป็นคำสอนความเชื่อ มันก็ยังมีกฎหรือข้อกำหนดใหม่ๆผุดขึ้นมาเรื่อยๆหรือแตกแขนงเป็นนิกายอื่นๆนั่นแหละ

เคสนี้พลาดเต็มๆ คุณมาเป็นผู้แทนประชาชาไม่ใช่ผู้แทนศาสนาครับ คุณอยากเป็นผู้แทนทางศาสนาก็ไปเป็นผู้แทนในคริสตจักรสิ หรือสำนักพุธสิ ไม่ได้เกี่ยวกับการยอมรับศาสนาความเชื่อที่ต่างกันอะไรเลยนะ สภาดำเนินด้วยตรรกะไม่ใช่ความเชื่อครับ

ของอิสลามถูกห้ามจากคัมภีร์อัลกรุอ่านอยู่แล้วครับ จะให้เปลี่ยตามยุคสมัยคงไม่ได้ครับ

ไม่งั้นจะถือว่าเปลี่ยนคำสอนจากคัมภีร์อัลกรุอ่านเลย(ตกศาสนาเลยนะครับบิดเบือนคำสอน)

ถ้าตามหน้าประวัติศาสตร์ก็จะมียุคท่านนบีลูฏ(ลองเสิร์จคำว่า "นบีลูฏ" อ่านได้เลยครับ) ประชาชาติของท่านถูกลบออกจากหน้าแผ่นดิน(พลิกแผ่นดิน) หายไปทั้งหมดเลย เพราะมีการรักร่วมเพศในตอนนั้น

สำหรับอิสลามร้ายแรงจริง ๆ นะครับ

โลกมันไปไกลแล้ว อะไรที่มันเก่าและไม่ดีก็ควรจะเปลี่ยนบ้าง มนุษย์มีสมอง มีวัฒนาการมากกว่าสัตว์ ก็พิจารณากันเอาแล้วกันเน้อ

ทำไมผมว่าพุธก็มีความ sexist อยู่นะ เช่นข้อห้ามการบวช กระเทยไม่น่าบวชได้(ถ้าผมเข้าใจถูกนะ) หรือแม้แต่ระหว่างภิกษุณีกับภิกษุที่ภิกษุณีข้อห้ามยุบยับเยอะกว่า จะบวชได้ต้องมีพระอุปัชฌาย์ทั้งชายหญิง ขณะที่ภิกษุมีแค่พระอุปัชฌาย์ชายก็พอ ถึงมีเหตุผลนู่นนี่นั่นอะไรก็ตาม มันฟังดูเหมือนข้ออ้างมากกว่า

เอาตามที่ผมฟังบังโตบ่อยๆ

ที่เจ้าของมู้บอกพระเจ้าสร้างมาแบบนั้น มันไม่ใช่ครับ

ศาสนาเค้าจะบอกว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างครับ สร้างแค่ผู้หญิงกับผู้ชายเท่านั้น
พวกเพศอื่นๆที่เกิดขึ้น คือความอุตริวิตถารไปเองของมนุษย์ ซึ่งเป็นบาปหนัก

แล้วปกติคนอื่นๆตอนเกิดร้องฉันเป็นชายเป็นหญิงหรือเปล่า?