SevenTHPacK พิมพ์ว่า:
James Bourne พิมพ์ว่า:
SevenTHPacK พิมพ์ว่า:
James Bourne พิมพ์ว่า:
poorponce พิมพ์ว่า:
ไม่เกี่ยวว่ามันจะหนักกว่านี้เยอะ หรืออะไรก็ตาม บริบทมันขึ้นอยู่กับผู้ที่ถูกล้อ หรือ โดนเอาไปเล่นเป็นมุข
ถ้าเขาไม่โอเค คุณจะบอกว่า joke คุณทำคนขำทั้ง hall แต่คนโดนไม่ขำด้วยแถมรู้สึกแย่
คุณคิดว่ามันน่าเล่นไหมละ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะวัฒนธรรม หรืออะไรก็ตาม กาลเทศะ บริบทในการเล่นสำคัญมาก
อันนี้มันก็แค่ง่ายๆ คือเจ้าตัวเขาไม่โอเค ทำไมต้องหาเคสอื่นมาบอกว่ามันหนักกว่า
อันนี้คือความรู้สึกของเจ้าตัวล้วนๆเลย ส่วนเรื่องการกระทำของ วิลล์ ก็เป็นอีกเรื่องนึง ว่าตัดสินใจไม่ดี
หรือเอาอารมณ์เข้าว่า อะไรก็ว่าไป
สิ่งที่คนอื่นเขาพยายามอธิบายกัน คือเขาบอกว่า
"คริส มันไม่รู้ตั้งแต่แรกว่ามุกนี้จะทำให้เจด้าหน้าเจื่อนไม่โอเคขนาดนั้น"
จริงอยู่ที่ว่า โอเค หรือไม่โอเค มันอยู่ที่ว่าเจ้าตัวที่โดนล้อ โดนแซวรับได้ไหม
แต่ ณ เวลานั้น ตอนที่ปล่อยมุกไป มันยังไม่มีตัวชี้วัดไงครับว่า เจด้าไม่โอเค
เขาถึงไปเปรียบเทียบว่าที่ผ่านๆ มา ในบริบทของสังคมอเมริกัน การเป็น comedian เล่น joke บนเวที มันยังมีให้เห็นบ่อยครั้งที่ล้อตรงๆ แรงๆ กว่านี้ แล้วทุกคนรับได้ หรือถ้าคนดูรับไม่ได้ ก็โห่ใส่คนเล่นไป
คือถ้าก่อนเล่นมุกนี้ เจด้าหรือวิลล์เคยพูดออกสื่อว่าไม่โอเคที่มีคนแซว แล้วคริสรู้แล้วยังจะเล่นอีก อันนี้คือผิดกาลเทศะ
หรือถ้ามุกที่คริสมันเล่น มันไป offensive แบบตรงๆ เช่น แบบที่คนไทยเราชอบล้อคนหัวล้านประมาณว่า
"เอาหวีไหม เอาที่คาดผมไหม อ้าว ไม่ได้ใช้นี่นา ไม่มีผม" แบบนี้มันถึงดูทุเรศและแรง
แต่ในมุมของคริส การแซวว่ารอดูเจด้า เล่นหนัง G.I.Jane 2 นะ ซึ่งหนัง G.I.Jane ภาพลักษณ์ของตัวละครหญิงในเรื่องมันเป็นฮีโร่ด้วยซ้ำ ไม่ใช่บททุเรศ
ดังนั้นประเด็นมันคือในมุมของคริส และคนอื่นๆ เขามองว่าคริสไม่ได้ตั้งใจบูลลี่ ย่ำยีเจด้า แต่มันไม่คาดว่าเจด้าจะเจื่อนกับเรื่องนี้ และวิลล์จะลุกมาตบมันขนาดนี้
ไม่เข้าใจครับ ถ้าจะบอกว่าคริสรู้หรือไม่รู้ แล้วมันต้องเป็นภาระของ วิลกะเมียที่เค้าจะต้องโดนหรอครับ
เขาทำงานนี้เขาต้องยิ่งตระหนักเลยว่าควรแซวใครได้บ้างไม่ใช่หรือครับ
แล้วทำไมต้องหาข้ออ้างต่างๆนาๆเพื่อที่จะแซวคนอื่นได้ล่ะครับ
จากประโยคท้ายที่ท่านว่า "แล้วทำไมต้องหาข้ออ้างต่างๆ นานาเพื่อที่จะแซวคนอื่นได้ล่ะครับ"
แสดงว่าในความเห็นของท่านแล้วนั้น โลกนี้ ไม่ควรมีการแซวกันและกันเลยไม่ว่ากรณีใดๆ ใช่ไหมครับ
สำหรับผม ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่โอเคร ก็ไม่ควรครับ มันมีอีกหลายวิธีที่จะสร้างอารมณ์ขันได้
เข้าใจว่าท่านอาจจะมองว่าไม่แรง แต่เคสนี้วิลถึงขั้นเดินไปตบ ท่านว่ามันแรงสำหรับวิลไหมล่ะครับ
ถ้าตามที่ท่านว่าว่า "ถ้าอีกฝ่ายเขาไม่โอเค ก็ไม่ควรครับ"
มันก็จะย้อนกลับไปถึงข้อความผมข้างต้นนั่นแหละครับว่า
"คริส มันไม่รู้ตั้งแต่แรกว่ามุกนี้จะทำให้เจด้าหน้าเจื่อนไม่โอเคขนาดนั้น"
พอนึกภาพออกไหมครับ ว่าผมแค่กำลังอธิบายบริบทของสิ่งที่เกิดขึ้นตามมุมของบริบทคนอเมริกันไงครับ
ไม่ว่าเราจะพูดอะไรก็ตาม จะพูดธรรมดา จะตักเตือน จะสอนคนอื่น จะแซว จะแซะอะไรก็ตามแต่
เราไม่มีทางรู้แน่ชัดๆ 100% ว่าเมื่อพูดไปแล้วเขาโอเคหรือไม่โอเค
ยกเว้น ทุกครั้งก่อนจะพูดอะไร เราไปขออนุญาตเขาส่วนตัวก่อนทุกครั้ง
ซึ่งในโลกความเป็นจริง มันเกิดขึ้นแทบไม่ได้เลย
ดังนั้นโดยปกติที่คนทั่วไปใช้กัน คือ เราประเมินจากบริบท จากมาตรฐานสังคมที่ผ่านมา
เช่นว่า เออ เคยมีคนพูดประมาณนี้ แล้วส่วนใหญ่มันโอเค แต่ถ้าพูดแบบนี้แรงไปสำหรับมาตรฐานสังคม
อาจจะมีการเจาะจงลงลึกลงมาอีกเป็นรายบุคคลว่าคนๆ นั้น เคยรับได้กับคำพูดประมาณไหน
ทีนี้บริบทคนอเมริกัน ที่ผ่านมา ถ้าท่านดูออสการ์ประกาศรางวัลตลอด พิธีกรออสการ์ทุกปี ย้ำว่าทุกปี
ล้วนเตรียมเรื่องมาแซวดารานักแสดงผู้ร่วมงานทั้งนั้น บางมุกอาจจะด้นสด บางมุกเตรียมมาจากบ้าน
ไม่เคยมีปีไหนที่ไม่มีคนถูกแซว
ดังนั้นในบริบทของสังคมอเมริกันเขาเลยไม่ได้มองว่าที่คริสแซวเรื่อง G.I.Jane แรงเกินไป
เพราะอย่างที่ผมบอก G.I.Jane ไม่ใช่หนังที่เลวร้าย มันเชิดชูความเป็นฮีโร่หญิงนักสู้ของอเมริกันด้วยซ้ำ
ส่วนประโยคท้ายที่ท่านว่า
"เข้าใจว่าท่านอาจจะมองว่าไม่แรง แต่เคสนี้วิลถึงขั้นเดินไปตบ ท่านว่ามันแรงสำหรับวิลไหมล่ะครับ"
จริงๆ ผมอยากแก้ให้ถูกต้องหน่อย คือ ในความเห็นที่ผมเขียนไป ไม่ใช่มุมมองผมครับ
ผมไม่มีความเห็นส่วนตัวว่าแรงไม่แรง
ผมแค่อธิบายว่าคนอเมริกันมองว่าไม่แรงครับ
ที่บอกได้ว่าคนอเมริกันมองว่าไม่แรง ก็ค่อนข้างเป็น fact เพราะกระแสส่วนใหญ่ออกมาทางนั้น
ส่วนที่ถามว่าแรงสำหรับวิลไหม อันนี้ผมตอบได้ว่า มันคงแรงสำหรับวิล
แต่ประเด็นที่ผมกำลังอธิบายคือ "คริสมันไม่รู้ว่าแรงสำหรับวิล เพราะบริบททั่วไป ของมาตรฐานสังคมอเมริกันทั่วไป การแซวกันประมาณนี้ไม่ได้แรงเกินไป"
ความเห็นผมที่พอจะใส่เพิ่มไปได้ก็คือ ผมคิดว่าสำหรับวิล เขารู้สึกแรง เพราะเขาอาจจะโดนแซวจากเหตุการณ์อื่นๆ มาก่อนหน้านั้น แล้ววันนั้นมันคือการจุดชนวนเท่านั้นเอง
อารมณ์เหมือน เราออกจากบ้านมาในวันที่เฮงซวยสุดๆ โดนเลิกจ้าง มีคนทวงหนี้ เพื่อนที่ยืมเงินไปไม่คืน แฟนบอกเลิก ตกรถ ทำกระเป๋าตังค์หาย ฯลฯ มันประดังประเดเข้ามาหลายอย่าง จนพอมาเจอเพื่อนแซวอะไรไม่เข้าหู
ก็ระเบิดลง ตูมเลย จนเพื่อนคงงงว่า เฮ้ย ทำไมโมโหขนาดนี้วะ