https://www.whatphone.net/news/all-in-one-apple-event-2022/

เริ่มงาน Apple Event ด้วยการเปิดตัว iPhone 13 และ iPhone 13 Pro สีใหม่ 2 สีคือสีเขียวอัลไพน์สำหรับ iPhone 13 Pro และสีเขียวสำหรับ iPhone 13 โดยจะเปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าในวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม และจะเริ่มวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคมในราคาเดิม โดยรวมแล้ว iPhone 13 Pro จะมีสีทั้งหมดให้เลือกรวม 5 สี และ iPhone 13 จะมีสีทั้งหมดให้เลือก 6 สี
 

https://www.iphonemod.net/iphone-se-3-a15-5g-apple-event-peek-performance.html

ไฮไลท์

มี 3 สีเหมือนเดิม คือ ขาว ดำ แดง
ชิป A15 Bionic แบบเดียวกับ iPhone 13
CPU 6-core GPU 4-core
เร็วกว่า iPhone 8 = 1.8 เท่า, เร็วกว่า iPhone 6s = 3 เท่า
Neural Engine รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Live Text
ดีไซน์เดิม จอ LCD 4.7”
ใช้กระจกหลังเครื่องเหมือน iPhone 13
กันน้ำ IP67
รองรับ 5G
แบตเตอรี่ใช้ได้นานขึ้น
กล้องหลัง 12MP มี Deep Fusion / Smart HDR
มีฟีเจอร์สไตล์ภาพถ่ายเหมือน iPhone 13
ราคาเริ่มต้นที่ 15,900 บาท
สั่งล่วงหน้าได้ตั้งแต่เวลา 9:00 น.​ ของวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม
วางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม

จอภาพขนาด 4.7 นิ้ว มาพร้อมปุ่มโฮมและ Touch ID
จอภาพ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 pixel ใช้กระจกแบบเดียวกับ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 ใช้
iPhone SE 3 ยังสามารถทนน้ำ ทนฝุ่นที่ระดับ IP67 มาพร้อมปุ่มโฮม, Touch ID ซึ่งเป็นทางเลือกที่ง่าย เป็นส่วนตัว และปลอดภัย ในการล็อกอินเข้าสู่แอป อนุมัติการซื้อจาก App Store และอีกมากมาย



มาพร้อมขุมกำลัง ชิป A15 Bionic
ชิป A15 Bionic ได้เปิดตัวครั้งแรกพร้อมกับ iPhone 13 และในวันนี้เข้ามาอยู่ใน iPhone SE 3 อีกหนึ่งรุ่น

ประสิทธิภาพ CPU 6-core (คอร์ประสิทธิภาพสูงจำนวน 2 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงานสูงจำนวน 4 คอร์) ทำให้ iPhone SE เร็วกว่า iPhone 8 สูงสุดถึง 1.8 เท่า พร้อม Neural Engine ที่รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ตัว iPhone SE 3 เช่น Live Text

ซึ่งการใช้ชิป A15 Bionic ยังช่วยให้ใช้งานแบตเตอรี่ได้นานขึ้น อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่ารุ่นก่อนหน้า และ iPhone รุ่น 4.7 นิ้วที่เก่ากว่า

เล่นวีดีโอนานขึ้นกว่ารุ่นเดิม 2 ชม.
เล่นวีดีโอนานสุด : 15 ชม.
เล่นผ่านสตรีมนานสูงสุด : 10 ชม.
ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที รองรับการชาร์จไร้สาย Qi



กล้องพลังจากชิป A15 Bionic
ระบบกล้องของ iPhone SE 3 จะใช้ขุมพลังจากชิป A15 Bionic โดยมีกล้องหลังความละเอียด 12 เมกะพิกเซล(ƒ/1.8) ประกอบด้วย HDR อัจฉริยะ 4, คุณสมบัติ “สไตล์ภาพถ่าย”, Deep Fusion และโหมดภาพถ่ายบุคคล




รองรับ 5G
5G ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี พร้อมการอัปโหลดและดาวน์โหลดที่เร็วขึ้น ความหน่วงต่ำลง และประสบการณ์ที่ดี ในหลายที่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น การโทร FaceTime ในคุณภาพสูงขึ้นระดับ HD หรือแม้แต่ในตอนที่ใช้ข้อมูลเซลลูลาร์และไม่ได้ผ่าน Wi-Fi5

หรือ การดูภาพยนตร์หรือรายการทีวีแบบ HDR ไปพร้อมๆ กันกับเพื่อนขณะโทร FaceTime และยังมีโหมด “ข้อมูลอัจฉริยะ” ที่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อย่างชาญฉลาดโดยการปรับความเร็วของ iPhone มาอยู่ที่ LTE เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วระดับ 5G




มาพร้อมกับ iOS 15
iPhone SE 3 มาพร้อมกับ iOS 15 ที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่น การโทร FaceTime ก็ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้นด้วยระบบเสียงตามตำแหน่ง และโหมดภาพถ่ายบุคคลใหม่

SharePlay มอบวิธีการใหม่สำหรับผู้ใช้ในการแชร์ประสบการณ์ร่วมกันให้ผู้ใช้ขณะพูดคุยกับเพื่อนๆ ด้วย FaceTime และมีโหมดโฟกัสใหม่ที่ช่วยลดสิ่งรบกวนสมาธิ รวมถึงการแจ้งเตือนโฉมใหม่ และคุณสมบัติ “ข้อความในรูปภาพ”



ราคาและการจำหน่าย
ราคาจำหน่าย iPhone SE 3 มีดังนี้

64GB ราคา ฿15,900
128GB ราคา ฿17,900
256GB ราคา ฿21,900
 

https://www.iphonemod.net/apple-launch-pad-air-5-in-event-peek-performance.html


ไฮไลท์

หน้าจอ 10.9” Liquid Retina HD
ดีไซน์เดิม เหมือน iPad Air 4
หน้าจอเต็มขอบ ไร้ปุ่มโฮม
ชิป M1 เร็วกว่า iPad Air 4 60%
สแกนนิ้ว (Touch ID) ที่ปุ่มด้านบน
กล้องหน้า 12MP เลนส์ Ultra-Wide
รองรับฟีเจอร์ Center-Stage
มี 5 สี ม่วง น้ำเงิน ชมพู สตาร์ไลท์ ม่วง เขียว สเปซเกรย์
รองรับ 5G ในรุ่น Cellular
รองรับ Apple Pencil 2
รองรับ Magic Keyboard และ Smart Keyboard folio
พอร์ต USB-C
ความจุ 64GB / 256GB เหมือนเดิม


iPad Air 5 กับประสิทธิภาพอันก้าวกระโดดด้วยชิป M1
Apple จับชิป M1 มาใส่ไว้ใน iPad Air 5 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับแอปและเวิร์กโฟลว์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลหนัก ๆ พร้อมทั้งยังประหยัดพลังงานทำให้มีแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน



ดีไซน์แบบเดิม แต่มีสีใหม่
iPad Air 5 ยังคงใช้ดีไซน์ตัวเครื่องเหมือนกับ iPad Air 4 ซึ่งก็คือดีไซน์แบบหน้าจอทั้งหมด พร้อมจอภาพ Liquid Retina 10.9″ และ Touch ID ที่ปุ่ม Power ที่ด้านบนตัวเครื่อง
หน้าจอมีความสว่างถึง 500 นิต พร้อมด้วยการเคลือบสารกันแสงสะท้อน ขอบเขตสีกว้างแบบ P3 การแสดงผลแบบ True Tone และการเคลือบหน้าจอแบบป้องกันแสงสะท้อน ลำโพงสเตอริโอแนวนอนมอบเสียงสเตอริโอที่มีมิติเสียงกว้าง (เหมือน iPad Air รุ่นเดิม)
iPad Air 5 ใหม่ใช้มาในตัวเครื่องหลากหลายสีสันได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์ สีสตาร์ไลท์ สีชมพู สีม่วง และ “สีน้ำเงิน” ที่เป็นสีใหม่



อัปเกรดกล้องหน้า
iPad Air 5 ได้รับการอัปเกรดกล้องไปใช้กล้องหน้าแบบอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP ที่รองรับคุณสมบัติ “จัดให้อยู่ตรงกลาง” หรือ ฟีเจอร์ Center Stage ที่จะแพนตามการเคลื่อนไหวของผู้ใช้โดยอัตโนมัติเพื่อจัดให้ผู้ใช้อยู่ในเฟรมเสมอ
ดังนั้น หารประชุมออนไลน์ หรือการเข้าร่วมคลาสเรียนออนไลน์ ก็ช่วยให้ประสบการณ์การเชื่อมต่อที่น่าสนใจยิ่งขึ้น
กล้องหลังเป็นเลนส์ไวด์ ความละเอียด 12MP สามารถถ่ายภาพที่คมชัดและวิดีโอระดับ 4K ได้ สามารถสแกนเอกสาร และเพลิดเพลินกับประสบการณ์ AR ได้ด้วย



การเชื่อมต่อรวดเร็ว รองรับ 5G
เชื่อมต่อได้เร็วกว่าที่เคย เพราะ iPad Air 5 รองรับ 5G ที่ความเร็วสูงสุดถึง 3.5Gbps จะดาวน์โหลดหรืออัปโหลดระหว่างการเดินทางก็ทำได้ลื่นไหลกว่าเดิม
iPad Air 5 ยังรองรับ Wi-Fi 6 ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงไฟล์ การสำรองข้อมูล การสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน ไปจนถึงการชมภาพยนตร์กับครอบครัวก็ไม่มีสะดุด หากเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ความเร็วสูง
พอร์ต USB-C เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า จึงสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สูงสุด 10Gbps ต่อวินาที ดังนั้น การอิมพอร์ตรูปภาพและวิดีโอขนาดใหญ่จึงรวดเร็วมากขึ้น จะเชื่อมต่อกับกล้อง อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอก และจอภาพความละเอียดสูงสุดถึง 6K ก็ทำได้


ราคาและการวางจำหน่าย

ราคา iPad Air 5 รุ่น Wi-Fi (ราคาไทย)

ความจุ 64GB ราคา ฿20,900
ความจุ 256GB ราคา ฿25,900

ราคา iPad Air 5 รุ่น Wi-Fi + Cellular (ราคาไทย)

ความจุ 64GB ราคา ฿25,900
ความจุ 256GB ราคา ฿30,900

 

https://www.iphonemod.net/apple-launch-m1-ultra-new-chip-for-mac-studio.html

เชื่อมชิป M1 Max 2 ตัวเข้าด้วยกัน โดยใช้เรียกว่าเทคโนโลยีที่เรียกว่า Ultra Fusion
เป็นเทคโนโลยีการผลิตชิปแบบ 5nm
Bandwidth ความเร็ว 2.5 TB/s
CPU 20-core เร็วกว่า M1 = 8 เท่า
Core ประสิทธิภาพ 16-core จัดการพลังงาน 4-core
GPU 64-core
Neural Engine 32-core
Unified Memory 128GB
มี Media Engine
ใช้พลังงานน้อยกว่า 65%


ชิป M1 Ultra ใน Mac Studio
ชิป M1 Ultra ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ที่ชื่อ UltraFusion (สถาปัตยกรรมการบรรจุชิปแบบเฉพาะที่ Apple พัฒนาขึ้นเอง) ในการเชื่อมต่อแผงวงจรชิป M1 Max จำนวน 2 ตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นชิป 1 ชิ้นที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
ด้วยเทคโนโลีการเชื่อมต่อชิปแบบ UltraFusion ทำให้มีแบนด์วิดท์ความหน่วงต่ำระหว่างโปรเซสเซอร์ที่สูงถึง 2.5TB/s
ชิป M1 Ultra มาพร้อม CPU แบบ 20-core, GPU แบบ 64-core และ Neural Engine แบบ 32-core รองรับงาน 3D และการเรนเดอร์ระดับเทพ ด้านงานวิดีโอสามารถแปลงวิดีโอเป็นไฟล์ ProRes ได้เร็วขึ้นสูงสุด 5.6 เท่า เมื่อเทียบกับ Mac Pro
ประกอบด้วยทรานซิสเตอร์ 1.14 แสนล้านตัว ามารถปรับแต่งหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงและความหน่วงต่ำของชิป M1 Ultra ได้สูงสุดถึง 128GB
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ Mac Studio ซึ่งเป็นสินค้าตัวแรกที่ใช้ชิป M1 Ultra มีประสิทธิภาพที่เหนือชั้น ทำงานกับเรขาคณิต 3D ที่สลับซับซ้อน การเรนเดอร์ฉากขนาดมหึมา และการเปิดวิดีโอ 8K พร้อม ๆ กันหลายสตรีมก็ทำได้สบาย



ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน
ชิป M1 Ultra มาพร้อม CPU แบบ 20-core โดยมีคอร์ประสิทธิภาพสูง 16 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงานสูง 4 คอร์ จึงมีประสิทธิภาพขณะทำงานแบบหลายเธรดสูงกว่าชิปของเดสก์ท็อป PC แบบ 16-core ที่เร็วที่สุดที่มีขายในท้องตลาดกว่า 90% แม้จะใช้พลังงานเท่ากัน และใช้พลังงานน้อยกว่า PC ทั่วไปที่มีประสิทธิภาพเท่ากันกว่า 100 วัตต์
สำหรับงานที่เน้นกราฟิกหนัก ๆ อย่างการเรนเดอร์ 3D และการประมวลผลภาพที่ซับซ้อนนั้น ชิป M1 Ultra ก็มี GPU แบบ 64-core ซึ่งใหญ่กว่าชิป M1 ถึง 8 เท่า จึงมีประสิทธิภาพเร็วยิ่งกว่า GPU ระดับสูงสุดใน PC แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 200 วัตต์

มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำเพิ่มขึ้นเป็น 800GB/s มากกว่าชิปเดสก์ท็อป PC รุ่นล่าสุด 10 เท่า สามารถปรับแต่งหน่วยความจำแบบรวมได้สูงสุด 128GB

Neural Engine แบบ 32-core ในชิป M1 Ultra สามารถประมวลผลได้สูงสุด 22 ล้านล้านรายการต่อวินาที มาพร้อมมีเดียเอนจิ้น (Media Engine) ที่มีความสามารถเหนือกว่าชิป M1 Max ถึง 2 เท่า จึงสามารถเข้ารหัสและถอดรหัสวิดีโอ ProRes ได้เร็วมาก

สามารถเล่นวิดีโอ ProRes 422 ระดับ 8K ได้สูงสุดถึง 18 สตรีมพร้อมกัน

สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพภายนอกได้หลายจอ มีตัวควบคุมแบบ Thunderbolt 4 ในตัว และยังมีระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุด รวมถึง Secure Enclave รุ่นล่าสุดของ Apple ยังมาพร้อมระบบการบูทที่ปลอดภัยซึ่งยืนยันด้วยฮาร์ดแวร์ และเทคโนโลยีป้องกันการเจาะช่องโหว่ขณะรันไทม์

ชิป M1 Ultra รองรับ macOS Monterey พร้อมทำงานและใช้ประโยชน์จาก CPU GPU และ Neural Engile ได้เต็มที่



 

https://www.iphonemod.net/apple-launch-mac-studio-studio-display-peek-performance.html

ไฮไลท์ Mac Studio

ดีไซน์ตัวเครื่องอลูมิเนียม กว้าง 7.7” สูง 3.7”
มีพัดลมภายใน เพื่อระบายความร้อน
มีพอร์ต Thunderbolt 4 = 4 พอร์ต
มีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อ Ethernet ความเร็ว 10 Gigabit
มี USB-A = 2 พอร์ต
HDMI = 1 พอร์ต
ช่องต่อหูฟัง 3.5
รองรับ Wi-Fi 6 / Bluetooth 5
ที่ด้านหน้ามีพอร์ต USB-C = 2 พอร์ตใน แต่ใน M1 Ultra ได้ Thunderbolt 4 = 2 พอร์ต
ต่อจอ Pro Display XDR ได้ 4 จอ
CPU เร็วกว่า Mac Pro 60%
GPU เร็วกว่า Mac Pro 80%
Unified Memory สูงสุด 128GB
รองรับการเปิดไฟล์ 8K Prores 422 ได้ 18 สตรีมพร้อมกันลฃStudio Display

Mac Studio
ดีไซน์ของ Mac Studio ใช้วัสดุตัวเครื่องอะลูมิเนียมแบบชิ้นเดียวอัดรีดขึ้นรูปเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสในขนาดเพียง 19.7 ซม. และสูงเพียง 9.5 ซม. จึงกินพื้นที่น้อยมากและวางอยู่ใต้จอภาพส่วนใหญ่ได้อย่างลงตัว
นอกจากนี้ Mac Studio ยังมีระบบควบคุมความร้อนในดีไซน์ที่ล้ำสมัย ประกอบด้วยตัวเป่าลมสองด้าน ช่องอากาศไหลเวียนที่วางไว้อย่างแม่นยำ และรูที่เจาะไว้ทั้งด้านหลังและด้านล่างของตัวเครื่องกว่า 4,000 รูที่ช่วยให้อากาศไหลผ่านส่วนประกอบภายในและสามารถระบายความร้อนให้กับชิปประสิทธิภาพสูง ทำงานได้เงียบกริบ แม้จะต้องรับมือกับเวิร์กโหลดหนัก ๆ


พลิกโฉมประสิทธิภาพแบบไม่เคยมีมาก่อนใน Mac เดสก์ท็อป
Mac Studio กำหนดนิยามใหม่ให้กับเดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูง ครบเครื่องทั้งขุมพลังและการประหยัดพลังงาน มาพร้อมชิป M1 Max และ M1 Ultra (ชิปใหม่ ) สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับขุมพลังและความสามารถในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในรูปทรงที่วางบนโต๊ะได้สบาย

ด้านชิปที่แรงที่สุดในตอนนี้ที่อยู่ใน Mac Studio อย่าง ชิป M1 Ultra ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากชิป M1 Max และใช้สถาปัตยกรรม UltraFusion เชื่อมต่อแผ่นวงจรของชิป M1 Max สองตัวเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น System on Chip (SoC) และมีทรานซิสเตอร์ถึง 1.14 แสนล้านตัว มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา


ประสิทธิภาพของ Mac Studio พร้อมชิป M1 Max

CPU เร็วกว่า iMac รุ่น 27 นิ้ว ที่เร็วที่สุดที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์แบบ 10-core สูงสุด 2.5 เท่า
CPU เร็วกว่า Mac Pro พร้อมโปรเซสเซอร์ Xeon แบบ 16-core สูงสุด 50%
กราฟิกเร็วกว่า iMac รุ่น 27 นิ้ว สูงสุด 3.4 เท่า และเร็วกว่า Mac Pro ที่มาพร้อมการ์ดกราฟิกรุ่นยอดนิยมเกิน 3 เท่า
แปลงวิดีโอได้เร็วกว่า iMac รุ่น 27 นิ้ว สูงสุด 7.5 เท่า และเร็วกว่า Mac Pro แบบ 16-core สูงสุด 3.7 เท่า





ประสิทธิภาพของ Mac Studio พร้อมชิป M1 Ultra

CPU เร็วกว่า iMac รุ่น 27 นิ้ว ที่เร็วที่สุดที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์แบบ 10-core สูงสุด 3.8 เท่า
CPU เร็วกว่า Mac Pro พร้อมโปรเซสเซอร์ Xeon แบบ 16-core สูงสุด 90%
CPU เร็วกว่า Mac Pro แบบ 28-core สูงสุด 60%
กราฟิกเร็วกว่า iMac รุ่น 27 นิ้ว สูงสุด 4.5 เท่า และเร็วกว่าการ์ดกราฟิกสำหรับ Mac ที่เร็วที่สุดที่มีจำหน่ายในปัจจุบันสูงสุด 80%
แปลงวิดีโอได้เร็วกว่า iMac รุ่น 27 นิ้ว สูงสุด 12 เท่า และเร็วกว่า Mac Pro แบบ 28-core สูงสุด 5.6 เท่า
Mac Studio พร้อมชิป M1 Ultra ซึ่งมาพร้อมมีเดียเอนจิ้นที่ทรงพลัง สามารถเล่นวิดีโอ ProRes 422 ระดับ 8K ได้ถึง 18 สตรีมพร้อม ๆ กัน โดย Apple เคลมว่าไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนในโลกทำได้



พอร์ตการเชื่อมต่อหลากหลายครบครัน
ด้านหลังของ Mac Studio มีพอร์ต Thunderbolt 4 จำนวน 4 พอร์ต สำหรับเชื่อมต่อกับจอภาพและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง
พอร์ต 10Gb Ethernet
พอร์ต USB-A จำนวน 2 พอร์ต
พอร์ต HDMI
ช่องสัญญาณเสียงระดับโปรสำหรับหูฟัง
รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.0

Mac Studio ยังมีพอร์ตด้านหน้าให้ใช้งานได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น อย่างพอร์ต USB-C จำนวน 2 พอร์ต ซึ่งรองรับ USB 3 ที่ 10Gb/s สำหรับชิป M1 Max และรองรับ Thunderbolt 4 ที่ 40Gb/s สำหรับชิป M1 Ultra ทั้งยังมีช่องใส่การ์ด SD ด้านหน้าให้อิมพอร์ตรูปภาพและวิดีโอได้ง่าย

 

https://www.iphonemod.net/apple-launch-mac-studio-studio-display-peek-performance.html


ดีไซน์ของ Studio Display
Studio Display มาในดีไซน์แบบหน้าจอทั้งหมด ขอบจอแคบและตัวเครื่องเรียบหรูที่ทำจากอะลูมิเนียมทั้งหมด และภายในรูปทรงที่บางเฉียบนั้นก็อัดแน่นไปด้วยคุณสมบัติสุดล้ำมากมาย อีกทั้งยังมีฐานตั้งในตัวให้ผู้ใช้ปรับความเอียงของจอภาพได้สูงสุด 30 องศา
นอกจากนี้เพื่อตอบโจทย์ที่แตกต่างกันไปของพื้นที่ทำงานแบบต่างๆ Studio Display ยังมีตัวเลือกฐานตั้งที่ปรับความเอียงและความสูงได้ พร้อมแขนยึดแบบถ่วงน้ำหนักที่ช่วยให้จอภาพรู้สึกเหมือนแทบจะไร้น้ำหนักขณะปรับ หรือหากต้องการความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น ก็สามารถเลือกเป็นอะแดปเตอร์ตัวยึด VESA ที่รองรับการใช้งานทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง



จอ 27″ ความละเอียด 5K
จุดเด่นของ Studio Display คือหน้าจอ Retina 5K ขนาด 27 นิ้ว ที่มีมากกว่า 14.7 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยความสว่าง 600 นิต รวมถึงการรองรับขอบเขตสีกว้างแบบ P3 และสีสันมากกว่า 1 พันล้านสี ทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวาครบถ้วนทุกรายละเอียด และยังรองรับการแสดงผลแบบ True Tone ด้วย
สามารถเลือกกระจกจอเป็นแบบ Nano-texture เหมือน Pro Display XDR โดยที่กระจก Nano-texture จะทำให้เกิดการกระเจิงของแสง ซึ่งช่วยลดแสงสะท้อนได้ดียิ่งขึ้น ถ่ายทอดภาพที่มีคุณภาพโดดเด่น



กล้องและระบบเสียงเต็มอารมณ์
Studio Display มีชิป A13 Bionic เป็นขุมพลัง ด้านความบันเทิงและการใช้งาน มาพร้อมกล้องและระบบเสียงที่ล้ำหน้า เพราะมีกล้องอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP รองรับฟีเจอร์ (Center Stage) เพื่อจัดให้ผู้ใช้อยู่ตรงกลางเฟรมเสมอ
Studio Display มาพร้อมชุดไมโครโฟน 3 ตัว คุณภาพระดับสตูดิโอที่มีระดับเสียงรบกวนต่ำมากเพื่อการโทรและการบันทึกเสียงที่ชัดใส

และยังมีลำโพง 6 ตัวที่คมชัด ซึ่งเป็นระบบเสียงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยสร้างมาสำหรับ Mac เพื่อประสบการณ์การฟังที่เหนือชั้น รวมถึงวูฟเฟอร์แบบตัดแรงสั่น 4 ตัวที่ช่วยลดความผิดเพี้ยนของเสียง ทำให้ได้เสียงเบสที่หนักแน่น ในขณะที่ทวีตเตอร์ 2 ตัวให้เสียงกลางที่เที่ยงตรงและเสียงสูงที่ใสสะอาด
นอกจากนี้ลำโพงยังรองรับระบบเสียงตามตำแหน่ง (Spatial Audio) สำหรับเพลง และวิดีโอที่มาพร้อม Dolby Atmos จึงสามารถสร้างประสบการณ์การรับชมที่สมจริงระดับโรงภาพยนตร์ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันจึงเรียกได้ว่า Studio Display มีกล้องและระบบเสียงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในจอภาพเดสก์ท็อป



พอร์ตเชื่อมต่อ
พอร์ต USB-C จำนวน 3 พอร์ตที่มีความเร็วสูงสุด 10Gb/s สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วง ตัวจัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์เครือข่ายความเร็วสูงเข้ากับจอภาพ
พอร์ต Thunderbolt จำนวน 1 พอร์ต ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อ Studio Display และอุปกรณ์ทั้งหมดที่ต่อพ่วงอยู่กับ Mac ด้วยสายเส้นเดียวได้ และสายเส้นเดียวกันนี้ยังจ่ายไฟ 96 วัตต์ให้กับ MacBook
สามารถเชื่อมต่อ Studio Display กับ MacBook Pro ได้สูงสุด 3 จอ
ยังมี Magic Keyboard พร้อม Touch ID, Magic Trackpad และ Magic Mouse มีตัวเลือกใหม่ในสีเงิน/ดำที่เข้ากันอย่างลงตัวกับดีไซน์ของ Studio Display ให้ลูกค้าซื้อแยกต่างหากได้



ราคาและการวางจำหน่าย
Mac Studio วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ ฿69,900 ยังไม่ทราบวันเปิดให้สั่งซื้อ
 

◦ Mon Jan 10, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2101751
◦ Thu Jan 13, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2102877
◦ Mon Jan 17, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2104440
◦ Fri Jan 21, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2106053
◦ Tue Jan 25, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2107621
◦ Fri Jan 28, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2108635
 

◦ Tue Feb 01, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2110187
◦ Fri Feb 04, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2111286
◦ Thu Feb 10, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2113257
◦ Thu Feb 17, 2022
http://www.soccersuck.com/boards/topic/2115863