BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4, 5
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: ทูตซ้ายเม้งก่า
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2017
ตอบ: 2953
ที่อยู่: KS
โพสเมื่อ: Wed Mar 10, 2021 20:58
[RE]เป็น อ. มหาลัยตอนอายุ 35 ถือว่าช้าไปไหมครับ
meenama พิมพ์ว่า:
Metalmann 109 พิมพ์ว่า:
meenama พิมพ์ว่า:
Metalmann 109 พิมพ์ว่า:
meenama พิมพ์ว่า:
Metalmann 109 พิมพ์ว่า:
Spoil
sandwhale พิมพ์ว่า:
Metalmann 109 พิมพ์ว่า:
SาพณาสูS พิมพ์ว่า:
Metalmann 109 พิมพ์ว่า:
SาพณาสูS พิมพ์ว่า:
ตามหัวมู้เลยครับ เป็นตอน 35 ดีกรีโท และคงต้องโดน ม.
บังคับต่อเอกแน่ๆ ถ้าไม่นับเรื่องความก้าวหน้าในตำแหน่ง เพื่อนๆ ว่า เป็น อ. มหาลัย ตอนอายุเท่านี้คิดว่าไงครับ  


ขอตอบตามประสบการณ์ที่ทำอยู่นะครับ

ถ้าเป็นในเรื่องของความก้าวหน้าทางตำแหน่งทางวิชาการ ก็ถือว่าช้าไปครับสำหรับวุฒิ ป.โท เพราะต้องใช้เวลาอีก 5 ปีถึงจะขอ ผศ. ได้และในช่วงเวลานั้นท่านก็ต้องทำวิจัย สอน และอาจจะต้องเรียนต่อเอกเพื่อความเจริญก้าวหน้าตามสายงาน ก็จะเหนื่อยหน่อยครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นความก้าวหน้าในสายงานนี้ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง แข่งขันกับตัวเองเป็นหลักครับ

งานวิจัย ทุนวิจัย ก็น้อยและยากขึ้นๆ แต่งานวิจัยก็ต้องทำ ผลงานก็ต้องมี เงินเดือนก็ไม่เยอะ สอนก็ต้องสอน งานอื่นก็ต้องทำ สวัสดิการก็ไม่สู้จะดีเหมือนราชการ ทุกอย่างที่พูดไปคืออยากจะบอกว่า ถ้าท่านรักงานสอน งานถ่ายทอดจริง รักที่จะทำงานวิจัยจริง ท่านก็จะอยู่ได้แบบมีความสุขในการทำงานที่ท่านรัก แต่ถ้าท่านไม่ชอบสอน ไม่ชอบงานวิจัย ท่านจะรู้สึกอึดอัดและเป็นทุกข์มากกับเนื้องาน และระบบในปัจจุบัน

ในมุมมองผม การเป็นอาจารย์ มันเหมือนกับเป็นการลงทุนนะครับ ในช่วงแรกๆของการเป็นอาจารย์คุณจะแทบมองไม่เห็นกำไรเลย เงินไม่เยอะ(ยกเว้นท่านจะสอนแบบถล่มทลายให้ตายกันไปข้างนึง) ต้องรับผิดชอบทั้งงานสอน งานวิจัยก็ต้องทำ เงินทุนวิจัยก็หายาก นิสิตที่ดีดีที่จะมาช่วยทำวิจัยก็หายาก แต่ถ้าท่านอดทนจนผ่านจุดนั้นมาได้ และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในวงการของสาขาของท่านให้เป็นที่รู้จัก ในอนาคตท่านก็จะสบายครับ งานสอนก็สอนไม่ต้องเยอะ(เน้นวิจัยมากขึ้น) มีทีมวิจัย มีงานที่ปรึกษาตามโรงงาน มีงานบรรยาย in-house training ล้วนแล้วแต่เป็นการออกดอกออกผลจากการที่ท่านลงทุนไปตอนช่วงแรกๆ ครับ

ผมใช้เวลา set up ในช่วงแรกกว่าจะมีทีม กว่าจะเริ่มเก็บดอกเก็บผลอย่างที่พูดไป ก็ประมาณ 5 ปีครับ (จากวุฒิ ป.เอกนะครับ)

ถ้าอยากจะคุย อยากทราบรายละเอียดมากกว่านี้ ก็หลังไมค์มาคุยกันได้ครับ ยินดีให้คำแนะนำครับ


 


ขอบคุณครับท่าน คือ ถ้า 35 (ควรจะ)จบเอกก็น่าจะไม่ตึงเท่าไหร่ใช่มั้ยครับ สำหรับอาจารย์ ตอนนี้ส่วนใหญ่แต่ละที่คือสัญญาปีต่อปีก่อนแล้ว +3 +5 ไปเรื่อยๆ ใช่มั้ยครับ  


ตอนผมจบมาก็ตอนอายุ 33 ครับ (บรรจุตอน 26 ในวุฒิ ป.โท ก่อนได้ทุนไปเรียนต่อครับ) ก็ถือว่าไม่ช้าเกินไป แต่อย่างที่บอกละครับว่า งานทางสายนี้จะเจริญก้าวหน้าหรืออยู่กับที่ มันขึ้นอยู่กับตัวเองล้วนๆครับ

การต่อสัญญามันขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัยครับ มีกฎไม่เหมือนกันครับ แต่ยังไงก็ต้องมีการต่อสัญญาละครับ รายละเอียดตรงนี้ผมไม่แม่นนะครับ เพราะของผมได้สัญญาแบบตลอดจนถึงเกษียรอายุครับ (ตำแหน่งทางวิชาการถึงเกณท์ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดนะครับ)


 


รศ แล้วสินะครับ  
 


ครับใช่ครับ ที่จริงกำลังจะยื่นขอต่อไปอีกละครับ แต่กฎขอตำแหน่งวิชาการอันใหม่มันบ้าระห่ำมากไปหน่อย เลยจะรอดูท่าทีไปก่อนซักพักก่อน ตอนนี้ก็เลยไล่ตีพิมพ์ผลงานไปเรื่อยๆสะสมไว้ก่อนโดยเน้นที่ impact factor สูงๆ และก็ดู percentile ของ journal ให้สูงๆเกิน 85 ไว้ก่อนนะครับ
 


ขอเสียมรรยาทนิดนะครับ ขอถามอายุได้ไหม ท่านไวมาก  


ไม่ไวหรอกครับ ผมอายุ 47 แล้วครับ อันที่จริงควรจะส่งขอ ศ. ได้ไวกว่านี้เยอะครับ ถ้าไม่มีเถลไถลไปเรียนโน้นเรียนนี่ต่ออีก (ผมเรียนโท MBA และก็โทจิตวิทยาอีกนะครับ เลยเสียเวลาไปอีกเยอะเลย 5555) แล้วเอาเวลามาแต่งตำราตอนขอ รศ. ป่านนี้ก็ขอ ศ. ได้นานแล้วละครับ เรื่องงานวิจัย และงานตีพิมพ์ของผมไม่มีปัญหาครับ แต่ปัจจุบันกฎใหม่ในการขอ ศ. มันหลุดโลกไปหน่อย ต้องเอางานตีพิมพ์ระดับเรียกว่าสูงมากๆ ซึ่งอยากจะบอกว่าสำหรับในประเทศไทยการตีพิมพ์ในระดับวารสาร percentile 85 (A) หรือ 95 (A+) นั้นถ้าไม่ใช่สายแพทย์ ทำได้ยากมากครับ (ผมอยู่ทางสายวิศวกรรมครับ)

มันย้อนแย้งกันเยอะครับในเรื่องกฎระเบียบกับความเป็นจริง งานวิจัยส่วนมากก็จะมาจากเด็ก โท เอก ซึ่งก็ต้องตีพิมพ์เพื่อจบการศึกษา แต่การกำหนดการตีพิมพ์ที่สูงขนาดนั้น โดยใช้งานของเด็ก โท หรือ เอก ที่ทำงานวิจัยในประเทศไทยมันก็เป็นได้ยากมากครับ แค่เรื่องเครื่องมือทางด้านวิศวกรรมเมื่อเทียบกับต่างประเทศ มันก็เทียบกันไม่ได้แล้วละครับ ไหนจะทุนวิจัยอีก โน้นนี่นั้น เยอะแยะครับ โดยปกติถ้าจะตีพิมพ์ให้เด็กโท เอก จบการศึกษา ผมจะเลือก journal ที่ไม่แรงมาก เน้นเอาที่ให้เด็กจบก่อน โดยเนื้อของงานจะไม่เอาทั้งหมดมาตีพิมพ์นะครับ

เห็นมีการท้วงกันเรื่องกฎใหม่นี้ แต่ผมไม่ได้ตามข่าวว่าไปถึงไหนกันแล้ว มีการแก้ไขหรือยัง ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยมุ่งแค่เรื่องตีพิมพ์สะสมไปเรื่อยๆก่อนนะครับ แต่เน้นที่ journal ที่มี percentile 85 ขึ้นไปครับ
 

สู้ ๆ ครับ ถ้ามี ศ. มาเล่น ss เท่ห์ไปเลย ผมน้องท่านสิบกว่าปีเลยครับ แต่ก็พยายามเดินสายนี้ให้ไวที่สุด หวังว่าจะไปถึงระดับท่านได้บ้าง ตอนนี้ยังเป็นรองท่าน 1 ขั้นครับ ผมเป็นคนมีข้อเสียเยอะไปหน่อย ทำหลายอย่างมากเกินไป เลยออกนอกลู่นอกทางตลอด โดยเฉพาะต้องดูแลน้อง ๆ นี่แหละตัวดีเลย หลายคนด้วย 555 ผมชอบเที่ยว สังสรรค์ ปาร์ตี้ มีครบหมด ซึ่งดูแล้วคงไปไม่ถึงระดับท่านหรอก 555 ยังไงมีอะไรผมรบกวนปรึกษานะครับ  


ก็สู้ละครับ เอาให้มันสุดในสายงานครับ และมันก็เป็นเป้าหมายที่ผมวางเอาไว้ จะได้ไม่มีอะไรค้างคาใจในชีวิต นอนตายตาหลับนะครับ 5555

ด้วยความยินดีครับ ถ้าท่านต้องการจะปรึกษาอะไร สามารถหลังไมค์มาได้เลยครับ โดยเฉพาะในเรื่องของการเขียนหนังสือ/ตำรา ในระดับ รศ. ครับ มีข้อแนะนำหลายอย่างเลยครับ อาจารย์รุ่นน้องหลายคนก็วนเวียนมาปรึกษาผมบ่อยๆครับ

ท่านอยู่สายไหนละครับ ถ้าเป็นสายวิทยาศาสตร์ สายวิศวะเหมือนกันก็จะแนะนำได้ตรงหน่อย แต่ถ้าเป็นสายสังคมศาสตร์ อันนี้ผมก็แนะนำได้ไม่เต็มปากนะครับเพราะมันก็ต่างกันเยอะ
 

ขอบพระคุณอย่างสูงครับอาจารย์ ผมวิทย์ครับ ยังไงจะขอปรึกษานะครับหลังไมค์  


ด้วยความยินดีครับ สามารถ inbox มาคุยกันได้ครับ เผื่อสาขาใกล้เคียงกัน จะได้ช่วยเหลือกันได้ครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะเทศบาล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2017
ตอบ: 440
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Mar 10, 2021 22:48
[RE: เป็น อ. มหาลัยตอนอายุ 35 ถือว่าช้าไปไหมครับ]
Metalmann 109 พิมพ์ว่า:

ไม่ไวหรอกครับ ผมอายุ 47 แล้วครับ อันที่จริงควรจะส่งขอ ศ. ได้ไวกว่านี้เยอะครับ ถ้าไม่มีเถลไถลไปเรียนโน้นเรียนนี่ต่ออีก (ผมเรียนโท MBA และก็โทจิตวิทยาอีกนะครับ เลยเสียเวลาไปอีกเยอะเลย 5555) แล้วเอาเวลามาแต่งตำราตอนขอ รศ. ป่านนี้ก็ขอ ศ. ได้นานแล้วละครับ เรื่องงานวิจัย และงานตีพิมพ์ของผมไม่มีปัญหาครับ แต่ปัจจุบันกฎใหม่ในการขอ ศ. มันหลุดโลกไปหน่อย ต้องเอางานตีพิมพ์ระดับเรียกว่าสูงมากๆ ซึ่งอยากจะบอกว่าสำหรับในประเทศไทยการตีพิมพ์ในระดับวารสาร percentile 85 (A) หรือ 95 (A+) นั้นถ้าไม่ใช่สายแพทย์ ทำได้ยากมากครับ (ผมอยู่ทางสายวิศวกรรมครับ)

มันย้อนแย้งกันเยอะครับในเรื่องกฎระเบียบกับความเป็นจริง งานวิจัยส่วนมากก็จะมาจากเด็ก โท เอก ซึ่งก็ต้องตีพิมพ์เพื่อจบการศึกษา แต่การกำหนดการตีพิมพ์ที่สูงขนาดนั้น โดยใช้งานของเด็ก โท หรือ เอก ที่ทำงานวิจัยในประเทศไทยมันก็เป็นได้ยากมากครับ แค่เรื่องเครื่องมือทางด้านวิศวกรรมเมื่อเทียบกับต่างประเทศ มันก็เทียบกันไม่ได้แล้วละครับ ไหนจะทุนวิจัยอีก โน้นนี่นั้น เยอะแยะครับ โดยปกติถ้าจะตีพิมพ์ให้เด็กโท เอก จบการศึกษา ผมจะเลือก journal ที่ไม่แรงมาก เน้นเอาที่ให้เด็กจบก่อน โดยเนื้อของงานจะไม่เอาทั้งหมดมาตีพิมพ์นะครับ

เห็นมีการท้วงกันเรื่องกฎใหม่นี้ แต่ผมไม่ได้ตามข่าวว่าไปถึงไหนกันแล้ว มีการแก้ไขหรือยัง ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยมุ่งแค่เรื่องตีพิมพ์สะสมไปเรื่อยๆก่อนนะครับ แต่เน้นที่ journal ที่มี percentile 85 ขึ้นไปครับ
 


เกณฑ์การขอตำแหน่งทางวิชาการที่ไทยมันบ้าระห่ำแบบนั้นเพราะพวกผู้บริหารเค้าอยากยกระดับรศ.กับศ.ของไทยให้เทียบเท่ากับระดับสากลโดยไม่ได้ดูศักยภาพและค่าตอบแทนที่ไทยไงครับ

ผมเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย Top 50 ของโลก (จาก QS) สอน/ทำวิจัยเกี่ยวกับ data science ใน business school ผมจะถึงเวลาต้องขอ tenure (เทียบเท่ากับขอรศ.ที่ไทย) ปีหน้านี้แล้ว เกณฑ์การขอก็คือต้องมี paper ใน UTD24 list (list ของ journal ที่มีทั้งหมด 24 journal ทั้งหมดเป็นระดับ A++) อย่างน้อย 4 paper ส่วนเกณฑ์การขอ Full Prof. (เทียบเท่ากับขอศ.ที่ไทย) คือต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวเองเป็นอันดับ 1 ในโลกใน specific field of research ของตัวเองครับ

ผมเคยได้ยินมาว่าที่ไทยพยายามเอาเกณฑ์พวกนี้ไปบังคับใช้กับการขอตำแหน่งทางวิชาการในประเทศ โดยไม่ได้ดูเลยว่าทรัพยากรและระบบสนับสนุนต่างๆมันเอื้อกับอาจารย์มากแค่ไหน ผมมีเพื่อนร่วมรุ่นป.โท (ผมจบ MBA ที่ไทย) ที่จบเอกที่ไทยและเป็นอาจารย์ที่ไทยก็เลยเห็นข้อแตกต่างค่อนข้างมากทั้งเรื่องค่าตอบแทน ทุนวิจัย ผู้ช่วยวิจัย ฯลฯ เห็นแล้วก็ได้แต่เห็นใจอาจารย์จบใหม่ที่ไทยครับ

ก่อนผมจบเอกผมก็เคยอยากกลับไปเป็นอาจารย์ที่ไทย (ไฟแรง อยากกลับไปช่วยพัฒนาบุคลกร ช่วยพัฒนาประเทศ ) แต่พอเห็นระบบวิชาการที่ไทยแล้วรู้สึกเลยว่าชาตินี้อาจจะไม่ได้กลับไปทำงานวิชาการที่ไทยแล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย thecentury303 เมื่อ Wed Mar 10, 2021 22:49, ทั้งหมด 1 ครั้ง
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: ทูตซ้ายเม้งก่า
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2017
ตอบ: 2953
ที่อยู่: KS
โพสเมื่อ: Thu Mar 11, 2021 05:59
[RE: เป็น อ. มหาลัยตอนอายุ 35 ถือว่าช้าไปไหมครับ]
Spoil
thecentury303 พิมพ์ว่า:
Metalmann 109 พิมพ์ว่า:

ไม่ไวหรอกครับ ผมอายุ 47 แล้วครับ อันที่จริงควรจะส่งขอ ศ. ได้ไวกว่านี้เยอะครับ ถ้าไม่มีเถลไถลไปเรียนโน้นเรียนนี่ต่ออีก (ผมเรียนโท MBA และก็โทจิตวิทยาอีกนะครับ เลยเสียเวลาไปอีกเยอะเลย 5555) แล้วเอาเวลามาแต่งตำราตอนขอ รศ. ป่านนี้ก็ขอ ศ. ได้นานแล้วละครับ เรื่องงานวิจัย และงานตีพิมพ์ของผมไม่มีปัญหาครับ แต่ปัจจุบันกฎใหม่ในการขอ ศ. มันหลุดโลกไปหน่อย ต้องเอางานตีพิมพ์ระดับเรียกว่าสูงมากๆ ซึ่งอยากจะบอกว่าสำหรับในประเทศไทยการตีพิมพ์ในระดับวารสาร percentile 85 (A) หรือ 95 (A+) นั้นถ้าไม่ใช่สายแพทย์ ทำได้ยากมากครับ (ผมอยู่ทางสายวิศวกรรมครับ)

มันย้อนแย้งกันเยอะครับในเรื่องกฎระเบียบกับความเป็นจริง งานวิจัยส่วนมากก็จะมาจากเด็ก โท เอก ซึ่งก็ต้องตีพิมพ์เพื่อจบการศึกษา แต่การกำหนดการตีพิมพ์ที่สูงขนาดนั้น โดยใช้งานของเด็ก โท หรือ เอก ที่ทำงานวิจัยในประเทศไทยมันก็เป็นได้ยากมากครับ แค่เรื่องเครื่องมือทางด้านวิศวกรรมเมื่อเทียบกับต่างประเทศ มันก็เทียบกันไม่ได้แล้วละครับ ไหนจะทุนวิจัยอีก โน้นนี่นั้น เยอะแยะครับ โดยปกติถ้าจะตีพิมพ์ให้เด็กโท เอก จบการศึกษา ผมจะเลือก journal ที่ไม่แรงมาก เน้นเอาที่ให้เด็กจบก่อน โดยเนื้อของงานจะไม่เอาทั้งหมดมาตีพิมพ์นะครับ

เห็นมีการท้วงกันเรื่องกฎใหม่นี้ แต่ผมไม่ได้ตามข่าวว่าไปถึงไหนกันแล้ว มีการแก้ไขหรือยัง ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยมุ่งแค่เรื่องตีพิมพ์สะสมไปเรื่อยๆก่อนนะครับ แต่เน้นที่ journal ที่มี percentile 85 ขึ้นไปครับ
 


เกณฑ์การขอตำแหน่งทางวิชาการที่ไทยมันบ้าระห่ำแบบนั้นเพราะพวกผู้บริหารเค้าอยากยกระดับรศ.กับศ.ของไทยให้เทียบเท่ากับระดับสากลโดยไม่ได้ดูศักยภาพและค่าตอบแทนที่ไทยไงครับ

ผมเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย Top 50 ของโลก (จาก QS) สอน/ทำวิจัยเกี่ยวกับ data science ใน business school ผมจะถึงเวลาต้องขอ tenure (เทียบเท่ากับขอรศ.ที่ไทย) ปีหน้านี้แล้ว เกณฑ์การขอก็คือต้องมี paper ใน UTD24 list (list ของ journal ที่มีทั้งหมด 24 journal ทั้งหมดเป็นระดับ A++) อย่างน้อย 4 paper ส่วนเกณฑ์การขอ Full Prof. (เทียบเท่ากับขอศ.ที่ไทย) คือต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวเองเป็นอันดับ 1 ในโลกใน specific field of research ของตัวเองครับ

ผมเคยได้ยินมาว่าที่ไทยพยายามเอาเกณฑ์พวกนี้ไปบังคับใช้กับการขอตำแหน่งทางวิชาการในประเทศ โดยไม่ได้ดูเลยว่าทรัพยากรและระบบสนับสนุนต่างๆมันเอื้อกับอาจารย์มากแค่ไหน ผมมีเพื่อนร่วมรุ่นป.โท (ผมจบ MBA ที่ไทย) ที่จบเอกที่ไทยและเป็นอาจารย์ที่ไทยก็เลยเห็นข้อแตกต่างค่อนข้างมากทั้งเรื่องค่าตอบแทน ทุนวิจัย ผู้ช่วยวิจัย ฯลฯ เห็นแล้วก็ได้แต่เห็นใจอาจารย์จบใหม่ที่ไทยครับ

ก่อนผมจบเอกผมก็เคยอยากกลับไปเป็นอาจารย์ที่ไทย (ไฟแรง อยากกลับไปช่วยพัฒนาบุคลกร ช่วยพัฒนาประเทศ ) แต่พอเห็นระบบวิชาการที่ไทยแล้วรู้สึกเลยว่าชาตินี้อาจจะไม่ได้กลับไปทำงานวิชาการที่ไทยแล้ว  
 


ตอนผมจบเอก Prof ผมที่เยอรมันดึงผมไว้ทำ PostDoc ต่ออีกเพราะท่านไม่อยากให้ผมกลับ อยากให้ทำงานวิจัยและทำงานกับเขาต่อ ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่อยากจะกลับไทยเหมือนกันละครับ ผมก็อยู่ทำ PostDoc ต่ออีกจนหยดสุดท้ายที่จะอยู่ได้ตามเงี่อนไขทุน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไทยอยู่ดีครับ เพราะติดทุน ไม่อยากให้พ่อ-แม่ที่เซ็นค้ำเดือดร้อน

กลับมาทำงานที่ไทย ก็มองโลกในแง่ดีครับว่ามันก็เป็นสีสันในชีวิต มีความท้าทายในชีวิตไปอีกแบบ จากที่เคยมีเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงานวิจัยพร้อม มีเงินทุนวิจัยพร้อม (โดยเฉพาะสายงานของผมมันต้องการเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง/ทดสอบ) กลับต้องมาเริ่มจากศูนย์ เครื่องมือไม่พร้อม เครื่องมือล้าสมัย เงินทุนวิจัยก็น้อย แต่จะเอาผลลัพธ์แบบอลังการ (จ้างร้อยแต่จะเอาล้าน) ก็ต้องอดทน คิด ทำ สร้าง และก็ค่อยๆ build up ทีมวิจัยขึ้นมาทีละน้อยๆ จาก resource ที่จำกัด ใช้สมองคิดหลายตลบกว่าตอนที่ผมทำวิจัยอยู่ที่เยอรมันเยอะมากมายครับ 5555 แต่ก็สนุกดี มันดีครับ ถ้าเราทำมันจนสำเร็จ มีผลงาน มีตีพิมพ์ มีชื่อเสียงอยู่ในวงการวิชาการ มีลูกศิษย์ทั้งตรี โท เอก ที่จบกันไป ช่วยพัฒนาและให้ความรู้กับภาคอุตสาหรรมในไทย ทั้งหมดมันก็เป็นความภาคภูมิใจไปอีกรูปแบบนึงครับ

ตอนนี้ผมก็เริ่มที่จะทำงานวิจัยทางด้าน data science เหมือนกันครับพวก ANN, Deep learning (มี Finite element ด้วยครับ) โดยเอาข้อมูลที่ได้จากการทดลองที่เคยทำกันมาเอามาเล่นโดยเปรียบเทียบกับ math model ครับ ก็เริ่มที่จะทำการทดลองลดลง เพราะอายุเยอะละและก็เริ่มเหนื่อยที่จะต้องหาเงินทุน และก็เครื่องมือต่างๆ เด็กโท เอกที่เข้ามาใหม่ ก็จะเน้นให้การทดลองลดลง แต่มาเล่นกับข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลมากขึ้น ละครับ

แก้ไขล่าสุดโดย Metalmann 109 เมื่อ Thu Mar 11, 2021 06:01, ทั้งหมด 1 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4, 5
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel