[RE: ทำไมต้องเอาทหารออกมาพ่นน้ำยาด้วย]
Spoil
eGinninG พิมพ์ว่า:
FokuchzRedDevil พิมพ์ว่า:
[b]eGinninG พิมพ์ว่า:
FokuchzRedDevil พิมพ์ว่า:
Spoil
HunJungSun พิมพ์ว่า:
FokuchzRedDevil พิมพ์ว่า:
eGinninG พิมพ์ว่า:
บางทีก็เหนื่อยใจจริงๆคล้ายๆเคสของ CP พอไม่ทำอะไรเลยก็บ่นพอทำก็บ่น
อยากให้เข้าใจตอนนี้นะครับ อะไรที่ช่วยกันได้คนละไม้คนละมือเอาเท่าที่เราทำได้ก็ทำไปเถอะครับ
มาห่วงผลอะไรตอนนี้ ทุกวันนี้ผมซื้อข้าวแจกยามแจกแม่บ้าน มันก็ไม่ช่วยให้เหตุการณ์มันน้อยลงหรอกครับ
แต่อย่างน้อยมันก็ได้ช่วย ใครไม่อุ่นใจผมอุ่นใจครับมาพ่นหน้าบ้านผมเลยยิ่งดี ตอนนี้เรื่องการสร้างขวัญ
กำลังใจในยามที่ผู้คนวิตกกังวลเนี่ยดีที่สุดแล้วครับ
สรุปคือไม่มีประโยชน์ แถมยังอาจสร้างผลกระทบจากการแพร่เชื้อกระจายวงกว้าง มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาให้ข้อมูลชัดเจน คุณคิดว่าเอาไม้กวาดมากวาดพื้นมันฆ่าเชื้อโรคได้อย่างไรหรอครับ เผลอ ๆ อาจเป็นการ spread เชื้อจากขยะให้ลอยฟุ้งในอากาศ
คุณคิดว่าการที่ทหารเอามือจับ mask ด้วยมือเปล่าส่งให้ประชาชน มันได้ประโยชน์อะไรหรอครับ นอกจากอาจ spread เชื้อจากมื้อทหารไปยังประชาชน
[b]
ผมคิดว่าถ้าไม่ใช่หน้าที่ ถ้าไม่มีความรู้อย่างเพียงพอ วิธีที่จะเซฟบุคลากรทางการแพทย์ เซฟทรัพยากรชาติที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ "คืออยู่นิ่ง ๆ ครับ"
เขาคงไม่ออกมาพ่นเฉยๆ โดยไม่รู้อะไร หรือกรมควบคุมโรคไม่แนะนำขั้นตอนต่างๆ หรอกครับ
อ้างอิงจาก:
ด้านพล.ต.กันตพจน์ เศรษฐารัศมี ผบ.พล.ม.2 รอ. ได้นำกำลังพล ฉีดพ่นล้างสารพิษ บริเวณพื้นที่ แนวถนน พระรามที่ 1 จากแยกปทุมวัน - แยกราชประสงค์ ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร โดย มีกำลังจาก ม.1 รอ.,ม.1 พัน.1 รอ.ร่วมกับ สำนักงานเขตปทุมวัน และ เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ปทุมวัน
ขณะที่ทหารจาก ม.พัน.4 พล.1 รอ. ได้นำรถน้ำผสมสาร BKC ฆ่าเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย บริเวณโดยรอบและสะพานลอย ของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บนสกายวอล์ค สถานีรถไฟฟ้า และใช้ รถนำ M 51 รถน้ำผสมสาร BKC ปล่อยน้ำยาลงบนถนน และทำความสะอาด รวมระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร
โดยระหว่างปฏิบัติงานอยู่นั้จะมีรถกระจายเสียง ทำความเข้าใจ ให้ความรู้เริ่องน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อไวรัส โควิด19 คือ BKC (benzalkonium chloride) หรือ Sanisol เป็นสารทำความสะอาดที่ใช้ฆ่าเชื้อต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ได้เป็นอย่างดี และเป็นหนึ่งในสารทำความสะอาดที่ทางสิงคโปร์แนะนำว่าให้ใช้ได้ในการกำจัดโคโรนาไวรัส โดยความเข้มข้นที่แนะนำคือ 0.05% ซึ่งเป็นระดับความเข้มข้นน้อยสุดที่กำจัดไวรัสได้ และยังคงปลอดภัยต่อการใช้งาน การระเหยออกจากพื้นที่ ใช้เวลาไม่เกินครึ่ง ชม. (ฉีดพ่นเป็นละอองฝอย)
สาเหตุที่เลือกใช้สาร BKC เพราะสามารถออกฤทธิ์ได้ที่ความเข้มข้นต่ำ ซึ่งสามารถผสมน้ำได้ในปริมาณมาก เหมาะกับการสนับสนุนภารกิจการชำระล้างพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ไม่เหมาะกับการนำมาใช้ชำระล้างร่างกาย ซึ่งในส่วนของการชำระล้างร่างกาย แนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์ 70%
ทั้งนี้ สารอื่นๆ ที่สามารถใช้ในการฆ่าเชื้อโคโรนาไวรัสได้ตามแนวทางของสิงคโปร์ และความเข้มข้นที่ต้องเตรียมเพื่อให้ฆ่าเชื้อได้ เช่น โซเดียมไฮโปคลอไรท์ (NaOCl) ซึ่งเป็นส่วนผสมในไฮเตอร์สำหรับผ้าขาว 0.05-0.5% Chloroxylenol ซึ่งเป็นส่วนผสมในเดทตอล 0.12%
เป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานทุกท่านครับ ไม่ว่าจะเจอเสียงบ่นเสียงด่า ก็ยังก้มหน้าก้มตา ปฏิบัติงานเป็นแนวหน้าเพื่อคนไทยต่อไป #สู้ต่อไปครับ
Credit :
https://www.thaipost.net/main/detail/60233
ที่พูดไม่ได้จะด่าแต่ผมกลับเป็นห่วงถึงสถานการณ์ทีเกิดขึ้นครับ
คุณคิดว่าทหารมีความรู้มากแค่ไหนในการออกปฏิบัติการแต่ละครั้ง
การเอามือจับ mask ด้วยมือเปล่าแพ็คให้กับประชาชน หรือแม้แต่คนที่ควรรู้มากที่สุดอย่างท่านนายกแถลงข่าว 4 นาที เอามือจับ mask ลงเท่าที่ผมนับทั้งหมดคือ 20 ครั้ง
ผมว่าอันนี้เป็นเครื่องพิสูจน์อยู่แล้วครับ โดยเฉพาะคนที่ไม่ชินกับ mask ยิ่งใส่ก็ยิ่งรำคาญ
ผมทำงานเป็นบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล ยังเผลอเอามือจับหน้า จับตาออกจะบ่อยหลังสัมผัสคนไข้ คุณคิดว่าบุคคลทั่วไปทำความสะอาดที่ต้องลงไปเสี่ยง จะไม่เอามือมาจับหรอครับ
หมอยังติดเชื้อเลยครับ ขนาดป้องกันอย่างดี ถ้าทหารกลับไปติดกันในกรมกองเองนี่ ไม่อยากจะคิดครับ
ผมมีทั้งเพื่อนทั้งรุ่นน้องที่ปัจจุบันเป็นแพทย์ใหญ่ตามรพ.ใหญ่ๆ ไม่เห็นมีใครออกมาบ่นเลยครับว่าเคสการฉีดถนนมันมีปัญหาทำให้เชื้อยิ่งกระจาย มีแต่บอกว่าช่วยอะไรได้ให้ช่วยกัน ถ้าคุณเป็นบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลจริง คุณไม่ควรมีความคิดแบบนี้เลยนะครับ ผมสงสารเพื่อนๆผมมาก วันๆนอนไม่ถึง 3 ชมอะไรที่ลดภาระได้ก็ต้องช่วยๆกันครับ จะแค่เล็กน้อยก็ตาม
มันมีเรื่องหน้าบ่นกว่านี้เกี่ยวกับการบริหารจัดการ จนเค้ามองข้ามประเด็นนี้ ซึ่งประเด็นซอยย่อยที่ต้องพูดก็มีอีกเยอะแยะ หมอโรงพยาบาลชุมชนหน้าด่านโทรมาคุยกับผมโน่นนี่นั่น ซึ่งเรื่องแบบนี้ก็พูดไม่ได้เดี๋ยวหาว่าเฟคนิวอีก เรื่องแบบนี้มันก็เป็นประเด็นที่สำคัญกว่า และโครตสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่าประเด็นนี้จะไม่สำคัญ และถ้ารณรงค์ที่จะทำให้ถูก ย่อมดีกว่า
ผมก็ยิ่งงงอยู่ดีครับ หมอโรงพยาบาลชุมชนหน้าด่าน มันคือเคสรอบนอกที่ไม่ใช่แหล่งระบาดใหญ่สุดในตอนนี้นะครับ วิธีปฎิบัติต่างกันมันก็ถูกแล้วไงครับ เมื่อกี้ผมพึ่งถามโทรเพื่อผมที่เป็นหมออยู่รพ.รามา ด้วยความสงสัย
เรื่องนี้เขาก็บอกว่า ศูนย์บริหารโควิด-19 ที่ปัจจุบันรวบนายแพทย์มากมายก็เป็นคนเสนอเห็นชอบนโยบายนี้เองครับ ถ้าคุณบอกแบบนี้แสดงว่าคุณหมอทั้งคณะผิดหรอครับ
ผมเถียง Topic เรื่องปัจจุบันครับ เรื่องนี้ผมไม่เถียง เพราะข้อมูลที่ผมได้รับก็มาจากปากเปล่าหมอหน้าด่าน อย่างที่ว่าไม่มี evidence เปิดเผยแน่ช้ัดผมจะไม่พูด
เรื่องแนวทางการบริหารโควิด คุณรู้มากแค่ไหนหรอครับ ปัจจุบันเอา
ไข้ 37.5+ กับอาการติดเชื้อทางทางเดินหายใจ + กับประวัติการ contact หรือเดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงมาใช้ ถึงจะส่ง Covid test
แต่ผู้ติดเชื้อ 10% ไม่มีไข้นะครับ
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2002032?query=recirc_curatedRelated_article&fbclid=IwAR00oiNGw3RJZTRRgOceiUAP7bqBtBoGHG_Ttos_1gzEQnoSskBxgIs2wcg
แล้วตอนนี้ติดเชื้อเป็นพัน กลุ่มเสี่ยงคือใครหรอครับ แต่แนวทางด้านบนยังเหมือนเดิมนะครับ บอกว่ามันติดส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่โรงพยาบาลชุมชน แต่ตอนนี้มัน spread ทั้งประเทศละครับ
ไม่เป็นไรครับ ผมเชื่อและมั่นใจในภาครัฐครับ