เบี้ยประกันตกปีละ 40000+-แล้วแต่วงเงิน
ขับถ่ายของเหลวกรองก็ 5000+
พวกนั้นไม่เท่าไหร แต่ที่ต้องระวังคืออะไหล่หลังประกันหมด เพราะแพง มองรถ2ปีก็จะเป็นเบนซ์รุ่นใหม่ๆ จะมีจุดเปราะตามนี้
Cla มีคนในกรุัปเจอปัญหาเกียร์บ้างเพราะเป็นเกียร์ดูอัลครัช
ถ้าหมดประกันเปลี่ยนเบ็ดเสร็จ 320000 บาท
รู้สึกว่ารถของคนนั้นพึ่งวิ่งได้ 40000 กว่าโล
ส่วน c350e นี่ก็เรื่องโช๊คถุงลมหลังการหมดประกันถ้าเสียก็ใบละ 100000 มีสี่ใบและเรื่องแบตไฮบริดหลังหมดประกัน

รถมันไม่ได้defectทุกคันนะแค่เป็นส่วนที่ต้องระวัง
แต่เวลาจะซื้อต้องคิดว่าถ้าเราเจอเคสที่แยที่สุดเราจะจ่ายไหวไหม ถ้ารับได้ก็จัดไป

ต้องเข้าศูนย์เบนซ์ตลอด

ถ้าอู่ไม่เก่งทำระบบไฟเจ๊งแน่นอนครับ

รถเกิน 5 ปีนี่ ซ่อม แสน+ ต่อปีแน่นอน

รถ 1-3 ปี ซื้อมาก็ต้องระแวง กล่อง สมองกล ระบบไฟรวน สารพัด ต่อให้มีประกัน ก็แล้วมันเรื่องอะไรที่ต้องเสียเงินมาหล่อ แต่ต้องเรียกรถยกมาลากไปอู่

CDI CLS ตัว E หัวฉีดดีเซลทั้งหลาย หนีให้ไกลๆเลย เจอดีเซลบ้านเราเข้าไป ตันทุกคัน เปลี่ยนที 120k อัพ

แล้วก็ระบบไอเสีย บ้าบอคอแตก รวนระเบิดระเบ้อ

ยืนยันคำเดิม ไม่รวยจริง อย่างลอง

มีรถคันเดียว อย่าลอง

ปล. ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา งั้นความหรูหรารอท่านอยู่ จัดไปยาวๆ

ขอตอบเป็นข้อๆนะครับ

1. รถประมูลรถยึด ตามที่เคยไปประมูลตามตลาดต่างๆ พวกนี้รถดีดีหายากหน่อย ซึ่งมีมาก็เสร็จพวกเครือข่ายเต้นท์รถ ซึ่งผมเคยเจอประมาณว่า เราประมูลสู้เรื่อยๆ มันก็มีชายชุดดำ2-3 คน มาประกบข้างๆเรา และมองอารมณ์แบบข่มขู่เรา

2. ถ้าคุณรู้จักแหล่งอะไหล่และช่าง เบ๊นซ์ค่าซ่อมไม่ได้แพงกว่ารถยุโรปแบบน่ากลัวหรอกครับ ซึ่งรถ 1-3 ปี ยังใหม่อยู่ เปลี่ยนของเหลว กับยาง ตามอายุของมันก็จบแล้ว ยิ่งช่างดังที่ดีดีใน กทม เยอะแยะครับ ไม่ต้องเข้าศูนย์(แพงชห.)
ยกเว้น คุณจะเจอช่างฟันค่าซ่อมค่าอะไหล่ เพราะเห้นว่าคุณขับเบนส์ต้องมีเงินมาก กับรถที่ประวัติไม่ดีมาก่อน


ปล.เบ๊นส์รุ่นใหม่ๆ ผมว่าคนมักบ่นเรื่องปัญหาเรื่องระบบไฟครับ
ปล.2 ผมขับใช้ตัว e220 อยู่เลยพอตอบได้แค่ในบางส่วนนะครับ

ช่วงแรกๆ​ ถ้าใช้รถเฉลี่ยปีละ​ 3​ หมื่นโล​ เข้าศูนย์ทุก​ๆ​ 4​ เดือน​ ถ้าไม่มีอะไรเสียหรือต้องเปลี่ยนครั้งใหญ่ก็ตีไปครั้งละ​ 2​ หมื่น​ ปีนึง​ 6​ หมื่น​ เปลี่ยนยางตีไป​ 2​ หมื่น​ ประกันอีก​ 3-4 หมื่น​ คร่าวๆ​ คือจะตกประมาณเดือนละหมื่นครับ

หลังจาก​ 5​ ปีไปแล้วนี่แหละอะไหล่ต่างๆ​ จะเริ่มเสีย​ แต่ละชิ้นก็แพงๆ​ ทั้งนั้นถ้าเทียบกับรถญี่ปุ่น​ ของเทียบก็น้อย​ ลองคิดดูถ้าต้องเปลี่ยนโชคอัพ​ หัวฉีด​ หม้อ​น้ำ​ วาล์ว​ ปั๊ม​ สายพาน​ คอมแอร์​ ฯลฯ​ พร้อมๆ​ กัน​ ถ้ารถญี่ปุ่นอาจจะจบได้ในราคาห้าหมื่น​ แต่รถยุโรปอาจจะจบได้ที่ราคาห้าแสน​ ที่เราเห็นรถยุโรปปีเก่าๆ​ หลายคันยกเครื่อง+เปลี่ยนระบบเป็นญี่ปุ่นเพราะทนค่าอะไหล่ไม่ไหวนี่แหละครับ

เบนซ์มือ2 ไมล์หลักพันต้นๆ ก็มีนะครับ
แถมประกัน 1 ปี การตรวจสภาพรถก็
ปีละครั้ง หรือ 10000 โล ครั้งละประมาน
8000 - 1 หมื่น ครับ
สอบถามได้นะครับ พอแนะนำได้อยู่

เพื่อนผมประมูลเบนซ์เปิดประทุนมาจาก ป.ป.ส.ผมงงตรงประกันครอบคลุมทั้งคันแต่ไม่คลุมหลังคาผ้าใบ 555

ตกเท่าไหร่ครับสมมุติ มือ๑ คัน2.5-3ล้าน

ใจจริงอยากได้มากๆ 1 มันคือเบนซ์คันเล็ก ผมขับคันใหญ่ไม่ถนัดเลย 2ผมตัวเล็ก สูง169เอง ไม่อ้วนด้วย

แต่อ่านๆดูรุ่นนี้โดนดิสเครดิตเยอะเลย

เงินต้องเหลือๆอ่ะครับถึงจะเล่นพวกนี้ เจอค่าประกันต่อปี ค่าบำรุงต่างๆปีนึงน่าจะมีเป็นแสน
พวกรวยๆที่ขับรถแบบนี้เขาไม่มานั่งคิดหยุมหยิมอะไรแบบนี้นะ ซื้อมือ1 4-5ปีขายทิ้งเปลี่ยนรุ่นใหม่
อีกส่วนจะเป็นพวกมาซื้อมือสอง อยากลอง อยากโชว์เท่ห์ สักพักก็ขายทิ้งครับ ซื้อมือ1น่าจะคุ้มกว่า
ผมแนะนำถ้าไม่อยู่ในกลุ่มข้างต้น อย่าไปลอง ขับรถญี่ปุ่นแต่ตังเต็มกระเป๋าเท่ห์กว่าพวกรวยแต่เปลือกเยอะ

รถมือ 2 ผมว่าต้องดูดีๆ เลยนะครับ ตาดีได้ตาร้ายเสีย โอกาสโดนหลอกก็มี โอกาสได้ของถูกก็มี

ถ้าจะให้ชัวร์ควรซื้อกับคนรู้จักที่สนิทๆ ที่คิดว่าไม่หลอกเราและรู้สภาพรถจริงๆ

และต้องคำนึงถึงราคาด้วยครับ ราคารถอาจจะถูก ถ้าซื้อสด แต่ถ้าซื้อผ่อน ลองคำนวณดูว่า รวมดอกเบี้ย VAT แล้ว มันต่างจากราคามือ 1 มากมั้ย เทียบกับความเสี่ยงเรื่องสภาพรถที่เราไม่รู้ มันคุ้มกันรึป่าว

ขออนุญาตแย้งนิดนึงครับ รถเก่ายุโรปหาอะไหล่ยาก ตรงนี้ผมว่าอะไหล่ถูกกว่าหรือพอๆกับรถญี่ปุ่นเลยครับ และมีเยอะมากกกกกก ใส่ตู้มาจากญี่ปุ่น สภาพดีดีทั้งนั้นครับ เพราะว่างๆผมก็ขับรถ w124 e220 ตัวสมัยปี 95 ไปเดินเชียงกง บางนา จึงรู้ว่าอะไหล่มันไม่ได้แพงและหายาก ขอบคุณครับ

มันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนะ มือสอง

คนบ่นไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้บ่น(เพราะถอนตัวไม่ได้แล้ว)

ฮาๆ

ส่วนตัวจากที่มีเพื่อนขายอะไหล่ MB และได้ติดตามมาสักพัก ผมว่า MB มันไม่น่าใช้อะจุกจิกมากมาย

ขอบคุณที่แนะนำแหล่งอะไหล่ครับ ท่านหาแหล่งเองได้ของถูก

คนไม่รู้ เข้าอู่ โดนฟันเละครับ