ผมเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระนเรศวร

ส่วนใหญ่มันต้องอิง นะว่าบันทึกของเรา กับ ของเค้าตรงกันไหม

ถ้าตรงกัน ก็แสดงว่ามีความเป็นจริงสูง ซึ่งที่ผมได้อ่านมาเหตุการณ์ส่วนใหญ่ก็

บันทึกคล้ายๆกัน ตามที่ผู้เขียนได้อธิบายไว้ ซึ่งเค้าจะอิงกับทางพม่าตลอดว่าคล้ายคลึงกันไหม

เค้าก็ยกย่อง พระมหาอุปราชาของพม่าว่าเป็นคนดีคนหนึ่งนะถ้าจำไม่ผิด

อีกเรื่อง หนึ่งก็แอนนา แอนเดอะคิง ตอนฟ้าหญิงเสียก็ตรงกับบันทึกของไทยด้วยใช่ไหม

ซึ่งผมได้ดูหนัง ก็เสียดายที่ไทยไม่ให้เข้ามาถ่ายทำ เอาคนชาติไหนก็ไม่รู้มาพูดไทย ตลกชะมัด

หนังเรื่องนี้ผมว่าสนุกมาก และในหนังแสดงถึงพระปรีชาสามารถ การวางรากฐานให้กับประเทศ ของรัชกาลที่ 4 ด้วย

เสียดายที่ไทยห้ามนำมาฉาย ผมว่าเป็นหนังที่ผมชอบเรื่องหนึ่งดูหลายรอบมาก

ผมว่ายุคปัจจุปัน มองเรื่องคิดต่างไม่เหมือนในอดีดแล้วนะ ตอนนี้โลกเข้าสู่ยุคสากลแล้ว

คนอายุ 20 - 40 ปี เป็นกลุ่มคนที่เกิดมาคาบเกี่ยวระหว่างสังคมยุคใหม่ และเก่า

ส่วนใหญ่พร้อมที่จะรับฟังอยู่แล้ว

แต่ก่อนที่คุณจะคิดต่าง คุณก็ต้องมีเหตุผล และแสดงถึงข้อดี ในวิธีคิดนั้นๆด้วย

สังคม วัฒนธรรมมันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ดีก็ต้องช่วยกันอนุรักษ์ไว้

ยกตัวอย่างง่ายๆ อีกหน่อยบ้านเราอาจจะใช้ภาษาอังกฤษในการเรียน การสอนทั้งหมด

ไม่ใช่เอะอะ ก็ไปชมและบอกว่า พวกนั้นเป็นคนคิดต่าง ทำให้สังคมมองเค้าไม่ดี
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เนติวิทย์ อั้ม เนโกะ ผมมองว่าพวกนี้ ไม่ใช่พวกคิดต่างนะ

ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีก

ถ้าคิดต่างคือ การคิดที่ไม่เหมือนคุณแล้วคุณยอมรับได้ หรือสังคมยอมรับได้ไม่มีการโตแย้ง ไม่ได้เรียกว่าคิดต่างซักนิดครับ คิดต่างสังคมต้องไม่ยอมรับ บางส่วนหรือส่วนใหญ่สิ ถึงเรียกว่าคิดต่าง ถ้าสังคมยอมรับมันคิดต่างตรงไหน มันก็แค่คิดคล้ายๆ กันแต่ไม่เหมือนกัน

การคิดต่างหรือเสรีภาพทางการแสดงออกและความคิด ถ้ามันไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือ ผิดกฎหมายมันก็เพียงพอแล้ว จริงๆ เสรีภาพทางความคิด คือไม่มีกรอบเลย แต่เราอยู่กันในสังคมที่มีกรอบคือกฎหมาย เมื่อทำตามกรอบแล้ว มันก็สามารถทำได้ทั้งนั้นแหละครับ

ทำไมผมถึงบอกเช่นนี้ เพราะการคิดต่าง มันทำให้เกิดการ ต่อต้านจากสังคมทุกสังคมแหละครับ ลองดูประวัติศาสตร์สิ เลิกทาส เปลี่ยนระบอบการปกครอง เหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติเกิดจากการคิดต่างทั้งนั้นและอื่นๆ อีกมากมาย

แต่สังคมไทยไม่มีความอดทนอดกลั้นกับความแต่งต่าง ตังหาก ลองดูสิครับ ความรักยังต้องบังคับให้รักคนเดียวกันทุกคน ถ้าไม่รักถูกไล่ออกนอกประเทศ

การยอมรับการคิดต่างไม่ใช่สนับสนุน แต่เราเห็นตรงข้ามได้ แต่ก็ต้องปล่อยให้คนคิดต่างแสดงความเห็นของเค้าแบบตรงไปตรงมา เมื่อมันยังอยู่ในกรอบกฎหมาย หรือ ศีลธรรมที่ดีงามในสังคม เราก็แค่แสดงว่าเราไม่เห็นด้วย แต่ยอมรับฟังไว้แค่นั้นเอง

ชอบแหะ มาไม่ทัน
กระทู้ที่เยี่ยมดีจริงๆ

มีคำกล่าวว่า ถ้าไม่รู้ประวัติศาสตร์เท่ากับคุณตาบอดไปข้างนึง แต่ถ้าเชื่อประวัติศาสตร์ทั้งหมดคุณตาบอดทั้งสองข้าง

ประวัติศาสตร์เขียนเพื่อให้คนรักชาติ

พลาดมู้นี้ไปได้ยังไง ชอบมากๆ ได้ความรู้ มุมมองใหม่ๆเยอะมาก ยกเหตุผลมาคุยกัน แบบนี้สิแจ่ม

ไม่ใช่มาแขวะแบบเห่ยๆ แล้วก็จากไป ชอบมากๆ

ตอนแรกเห็นชื่อกระทู้แล้วไม่อยากกดเข้ามายุ่ง

มาเห็นตอนนี้ โอ้ เป็นอีกแนวคิดที่ดี ..

แม้แต่ สามก๊ก ก็เป็นเรื่องแต่งครับ

ที่จริงแล้ว โจโฉเป็นคนดี เล่าปี่เป็นคนสอพลอ

ผมอ่านอีกเล่มนึงมาเหมือนกัน

ท่านต้องศึกษาให้ดีนะท่าน ประเทศไหนก็แล้วแต่ถ้าเป้นผู้ชนะย่อมเขียนประวัติศาสตร์เข้าข้างตัวเอง ไม่มีใครหรอกที่เขียนว่าตัวเองไม่ดีเป็นผู้ร้าย ที่ท่านเอาลาว เขมร พม่า มาอ้างอิงว่าไม่ตรงกับของประเทศเหล่านั้น ไม่มีใครหรอกท่านจะเขียนให้ประเทศตัวเองเป็นผู้แผู้อันอัปยศอดสู หรือบางเรื่องที่ตัวเองทำไม่ดี ประวัติศาสตร์จึงเป็นหลักฐานจารึกของแต่ละประเทศไม่มีความเหมือนกันอย่่างแน่นอน
ฉะนั้นประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ มันก็คือประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นๆ ไม่มีใครจะมาลบหรือบันทอนไปได้หรอกท่าน

ประวัติศาสตร์อยู่ในมือคนเขียนว่าเลือกที่จะอยู่ในมุมไหน