การไม่ไปวัด ทำบุญ มันผิดนักหรือ ?
อาร์ท ฟรีคิก พิมพ์ว่า:
armeros พิมพ์ว่า:
อาร์ท ฟรีคิก พิมพ์ว่า:
Spoil
armeros พิมพ์ว่า:
อาร์ท ฟรีคิก พิมพ์ว่า:
Spoil
armeros พิมพ์ว่า:
อาร์ท ฟรีคิก พิมพ์ว่า:
ทำบุญมี 3 วิธีครับ คือ
1.ทาน 2.ศีล 3.ภาวนา
ตัวผมเองไม่ค่อยได้เข้าวัดทำบุญตักบาตรเท่าไร แต่ผมเน้นถือศีล 5 ซึ่งมันได้บุญเหมือนกัน
แต่เมื่อพ่อแม่ผมให้ทำบุญตักบาตร ใส่ซองผ้าป่า ปิดทองฝังลูกนิมิตร ผมก็ทำ ไม่ได้ทำเพราะหวังได้บุญ แต่ทำเพื่อให้พ่อแม่สบายใจครับ
และที่ทำบุญผมไม่ได้หวังขึ้นสวรรค์ แต่หวังนิพพาน
ผมจะบอกท่านว่าอะไรที่ทำแล้วพ่อแม่สบายใจทำไปเถอะครับ ถ้ามันไม่ได้ลำบากอะไรมาก เป็นการตอบแทนบุญคุณท่าน
ตอบโคตรหล่อสึดๆ
ป.ล.ที่พ่อแม่อยากให้เราทำบุญ เพราะเป็นห่วงเรานั่นแหละอยากให้มีบุญกุศลติดตัวเรา มีชีวตที่ดี เจริญก้าวหน้า
ถือศีล ๕ นี่มันตอไม้ครับ เสมอตัว ไม่ได้ทำอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ถ้าจะบอกว่าถือศีล ๕ แล้วหวังนิพพานนี่ อันนี้คงยาก นอกจากจะทำบุญด้วยการภาวนา
ขอโทษครับที่ผมพูดไม่เคลียร์
ที่ผมเข้าใจคือ การถือศีล 5 เป็นพื้นฐานในการไปสู่นิพพานครับ เป็นปัจจัยหนึ่งไปสู่นิพพาน
ความตั้งใจจริงๆของผม คือ เป็นพระโสดาบันในชาตินี้ และถึงนิพพานในอนาคตครับ
ตามที่ผมเข้าใจ คือ ละสังโยช 3 ให้ได้ โดยมีศีล 5 เป็นพื้นฐานครับ
อนุโมทนาในความตั้งใจครับ
ท่านภาวนาอย่างไรเพื่อให้ละสังโยชน์ ๓ ได้ครับ ?
ผมไม่ได้ภาวนาเลยครับ ถือศีล 5 อย่างเดียว
วิธีละสังโยชน์ 3 ที่ผมเข้าใจ คือ
1.ภาวนาให้จิตเข้าถึงไตรลักษณ์
2.ศรัทธาพระรัตนตรัย
3.ถือศีลให้บริสุทธิ์
ผมขอถามท่านกลับ เรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ 3 เพื่อเป็นพระโสดาบันครับ ผมอยากรู้วิธีปฏิบัติแบบ 1 2 3 4 ... ต้องทำยังไงบ้างครับ หรือท่านใดรู้ช่วยตอบด้วยครับ
ตั้งใจดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ต้องตั้งใจศึกษาแนวทางมากกว่านี้หน่อยครับ
คำตอบ ก็อยู่ในสิ่งที่ท่านเขียนมาแล้วไงครับ ท่านไม่ได้ภาวนาเลย แต่แนวทางที่ท่านทราบคือต้องภาวนา แล้วมันจะไปละสังโยชน์ได้ไงอะครับถ้าไม่ภาวนา ผมล่ะงงใจ
ต้องทำยังไงครับ ช่วยแนะนำหน่อยครับ
ต้องวิปัสนากรรมฐาน สมถะกรรมฐาน ถือศีล 5 หรืออะไรยังไง ผมอยากรู้จริงๆ เอาเป็นแบบ ต้องทำยังไงข้อ 1 2 3 4
ผมยังศึกษาไม่มากพอจริงๆ
สังโยชน์ 10 แค่จบ สักกายทิฏฐิ ตัวเดียวก็พอ แล้วครับ มันคือความเห็นเป็นตัวเป็นตนในสิ่งต่างๆ หรือเรียกว่าหลงรู้ก็ได้ครับ เราเห็นเป็นอะไรต่างๆเพราะเราไปให้ค่าความหมายกับสิ่งนั้นเอง สมมุติเราเรียกสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าส้ม แต่คนอื่นเรียกมันมะนาว สรุปไม่มีใครเรียกถูกหรือผิด เพราะแต่ละคนให้ค่าความเห็นความหมายในสิ่งนั้นแตกต่างกัน มันสมมุติอุปโลกขึ้นมาใช้เฉยๆ ดั้งเดิมแท้มันไม่มีชื่อหรือค่าอะไรตั้งแต่แรก เป็นแค่ธาตุธรรมต่างๆตามธรรมชาติ เราหลงให้ค่าตีความกันเอง
แล้วถามว่างั้นเงินก็ไม่ต้องใช้เลยดิ เอาไปแจกให้หมด
อันนี้ไว้อุปโลกสมมุติไว้ใช้มีได้ ไม่ได้ไปหลงยึดติดหรือจริงจังกับมัน มีแบบพอดีๆ
แล้ว ที่บอกให้ ฝึกสติ สมาธิ ปฏิบัติธรรมล่ะ
ถามว่าเอาอะไรไปฝึก เมื่อมันไม่ใช่อะไรอยู่แล้วตั้งแต่แรกแค่ธาตุธรรมอุปโลก ที่ทำๆกันอยู่เรียกว่า อัตตาซ้อนธรรม หรือการหลงเอาตัวไปปฏิบัติ ไม่ต้องฝึกก็มีกันอยู่แล้วทุกคน
การใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนก็เป็นการปฏิบัติธรรมในตัวอยู่แล้ว ยืน เดิน นั่ง นอน ยืน เคลื่อนไหวต่างไป ก็มีสติ สมาธิ ปัญญาแบบพอดีๆ ไว้เหมาะสมกับงานนั้นๆ
ท่านไม่ได้มาสอนให้เราทำเอานะครับ ท่านสอนให้ปลงให้วางของมันเอง ไม่ต้องเอาตัวไปซ้อนทำ ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็มีแค่ชั่วคราว ถึงจุดหนึ่งมันก็เปลี่ยนแปลงของมันเองอยู่แล้วตามธรรมชาติ
จะไปปฏิบัติให้เป็นโสดาบันนี่เรียกหลงนะครับ ไม่มีใครเป็นอะไรได้จริงหรอกครับ
อริยะก็แค่ชื่อเรียกสมมุติเฉยๆ ไม่ได้มีค่าความหมายเป็นจริงจังเหมือนอย่างโลกๆเค้ากล่าวไว้