...หลากหลายลีลาของฟ้าผ่า...
ฟ้าผ่าเกิดจากการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าในบรรยากาศ โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเมฆฝนฟ้าคะนอง นอกจากนี้ยังอาจเกิดในพายุฝุ่น พายุหิมะ และฝุ่นควันในการระเบิดของภูเขาไฟ รวมทั้งเมฆนิมโบสเตรตัส (กรณีสุดท้ายนี้เกิดยากมากๆ) บทความนี้เชิญชวนคุณผู้อ่านชมรูปแบบต่างๆ ของฟ้าผ่าที่น่ารู้จักไว้โดยใช้ภาพและคำอธิบายสั้นๆ โดยย่อดังนี้
1. ฟ้าผ่าแบบแตกกิ่งก้านสาขา (forked lightning)
ภาพฟ้าผ่าแบบนี้น่าจะอยู่ในใจของคนส่วนใหญ่ แนวเส้นหลักคือเส้นทางที่ประจุไฟฟ้าเชื่อมต่อระหว่างจุดเริ่มต้นเช่นฐานเมฆ กับจุดสิ้นสุดที่ฟ้าผ่าเช่นพื้นดิน ส่วนกิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงออกไป คือเส้นทางที่ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่แต่ไปไม่ถึงจุดสิ้นสุด
2. ฟ้าแลบ (sheet lightning)
หากสายฟ้าอยู่ในก้อนเมฆหรือถูกเมฆบดบัง เราก็จะมองเห็นเพียงแค่แสงสว่างวาบเท่านั้น
3. ฟ้าผ่าจากเมฆสู่เมฆ (cloud-to-cloud lightning)
หากประจุไฟฟ้าถูกปลดปล่อยจากเมฆก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่ง สายฟ้าก็จะเป็นสะพานเชื่อมเมฆ ๒ ก้อนนั้น ดูเผินๆ จะเหมือนเส้นฟ้าผ่าลอยอยู่กลางอากาศ
4. ฟ้าผ่าจากเมฆสู่อากาศ (cloud-to-air lightning)
เกิดจากประจุไฟฟ้าถูกปลดปล่อยจากเมฆสู่อากาศ โดยส่วนใหญ่เป็นประจุไฟฟ้าบวกที่ออกจากบริเวณด้านบนของเมฆฝนฟ้าคะนอง (ส่วนด้านล่างก็อาจเกิดขึ้นได้บ้าง) ฟ้าผ่าแบบนี้มักมีพลังงานน้อยกว่าฟ้าผ่าจากเมฆสู่พื้นดิน
5. ฟ้าผ่าแบบบวก (positive lightning)
เกิดจากประจุไฟฟ้าบวกถูกปลดปล่อยจากยอดเมฆลงสู่พื้นดิน ฟ้าผ่าแบบนี้อาจผ่าลงจุดที่อยู่ห่างไกลจากเมฆออกไปได้หลายกิโลเมตร
6. ฟ้าผ่าพุ่งขึ้น (upward lightning)
เกิดจากประจุไฟฟ้าบวกพุ่งออกจากเสา ยอดตึก กังหันลม หรือโครงสร้างที่มีความสูง มักเกิดภายหลังจากเกิดฟ้าผ่าแบบบวกนำมาก่อน โดยฟ้าผ่าแบบบวกจะทำให้สนามไฟฟ้าในบริเวณดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ประจุไฟฟ้าบวกเคลื่อนที่สูงขึ้นไปตามเสา (หรือโครงสร้างอื่นๆ ที่กล่าวมา) ได้ง่ายยิ่งขึ้น
7. ฟ้าผ่าความร้อน (heat lightning)
หากฟ้าผ่าอยู่ไกลออกไปมาก เราจะไม่ได้ยินเสียง แต่อาจเห็นแสงสีส้มๆ แดงๆ เนื่องจากโมเลกุลของอากาศและฝุ่นละอองกระเจิงแสงสีอื่นไปในทิศทางอื่นเกือบทั้งหมด
8. ฟ้าผ่าแบบริบบิ้น (ribbon lightning)
เส้นสายฟ้าที่เราเห็นเป็นเส้นเดียวนั้น แท้จริงแล้วมีประจุไฟฟ้าวิ่งลง-วิ่งขึ้นหลายรอบในเส้นเดียวกัน เนื่องจากอากาศบริเวณเส้นดังกล่าวแตกตัวเป็นประจุ ทำให้มีความต้านทานไฟฟ้าต่ำกว่าอากาศโดยรอบอย่างมาก
หากมีลมพัดแรงในแนวระดับก็จะทำให้อากาศที่แตกตัวและเส้นสายฟ้าขยับไปตามทิศทางลมด้วย ผลคือเราจะเห็นเส้นฟ้าผ่าเป็นแถบกว้างหรือมีหลายเส้นขนานกัน
9. ฟ้าผ่าแบบลูกปัด (bead lightning)
เส้นสายฟ้าในฟ้าผ่าแบบนี้มีลักษณะขาดเป็นท่อนๆ ทำให้ดูคล้ายลูกปัดซึ่งร้อยอยู่กับเส้นเชือก มีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น beaded lightning chain lightning pearl-neclace lightning เป็นต้น
10. ไฟของเซนต์เอลโม (Saint Elmos Fire)
ในเมฆฝนฟ้าคะนองซึ่งเติบโตเต็มที่ ประจุไฟฟ้าบวกส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณยอดเมฆ ส่วนประจุไฟฟ้าลบจะอยู่บริเวณฐานเมฆ ประจุไฟฟ้าลบที่ฐานเมฆจะเหนี่ยวนำสิ่งต่างๆ ที่อยู่ต่ำกว่าให้มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก ดังนั้นที่ปลายเสาธงของเรือจะมีประจุไฟฟ้าบวกมาออกันอยู่จำนวนมาก
หากประจุไฟฟ้าดังกล่าวถูกปลดปล่อยออกมาก็จะเห็นแสงสว่างสีฟ้าหรือสีฟ้าอมม่วงเกิดขึ้น เรียกว่า ไฟของเซนต์เอลโม (ฝรั่งถือกันว่าเซนต์เอลโมเป็นนักบุญผู้ปกป้องนักเดินเรือ)
น่ารู้ด้วยว่าปลายปีกเครื่องบินก็เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เช่นกัน
11. ฟ้าผ่าแบบลูกกลม (ball lightning)
มีรายงานและเกร็ดเรื่องเล่าจำนวนมากกล่าวถึงลูกทรงกลมสว่างซึ่งพบทั้งในและนอกบ้าน บ้างก็ว่าลูกกลมนี้มีขนาด ๒-๓ เซนติเมตร บ้างว่าใหญ่พอๆ กับลูกบาสเกตบอล ลูกกลมนี้ดูเหมือนจะไม่มีความร้อน แต่หากไปสัมผัสเข้าก็ทำให้สิ่งนั้นไหม้ได้
ปรากฏการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนาในทางวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันยังไม่มีทฤษฎีใดเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ที่มา :
http://www.sarakadee.com/