[RE: หมดหวัง ท้อแท้ ชาว SS มีวิธีฮีลใจยังไงกันบ้างครับ]
มันอยู่ที่การมองเป้าในอนาคตมากกว่าว่าความพอใจเราอยู่ตรงจุดไหน
.
อย่างผมเนี่ย ผมไม่ได้มีเป้าหมายเหมือนชาวบ้าน สิ่งที่ผมวางไว้เป็นกรอบใหญ่ๆ คือ
.
1. ไม่อยากทำงานประจำ ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง
2. อยากมีเงินกิน ใช้ แต่ไม่ต้องถึงขั้นมีรถหรูๆขับ/ไปเที่ยวตจว.ตปท. ทุกเดือนหรือทุกปี/ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงเลี้ยงสาว ล่องเรือยอร์ชเหมือนไอ้พวกแก๊งค์เพื่อน CK ทำกัน
3. ไม่อยากมีธุรกิจส่วนตัวที่ต้องมัดขาตัวเองเอาไว้จนไปไหนไม่ได้
4. ไม่จำเป็นต้องรักษาพยาบาลในระดับโรงบาลเอกชนที่สบายไปหมด
.
ผมก็จะมานั่งประเมินตัวเองว่า โอเคเราจะเอาเงินที่ไหนมาปรนเปรอตัวเองล่ะ ถ้าต้องการแบบนั้น
- ผมเทรดหุ้นเป็นครับ ผมมีทุนในพอร์ทตอนนี้ก็ประมาณ 6 แสน ดังนั้นการจะเทรดให้ได้เงินหลัก 10,000-20,000 บาท/เดือน ตีคร่าวๆ ก็ประมาณ 2-3% ของทุน มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรกับการมีเวลาประมาณ 20 วัน ในการหาหุ้นซักตัวที่จะวิ่ง 2-3% เนี่ย มัน easy มาก เผลอๆ 2-3 วันแรกก็ได้แล้ว ที่เหลือคือถ้าอยากได้มากกว่า 20,000 ก็ทำเหมือนเดิมซ้ำอีก 2-3 รอบ วันไหนไม่มี หรือหาไม่เจอก็ไม่ทำอะไร ไว้พรุ่งนี้ค่อยหาใหม่
.
- ผมประกันความเสี่ยงด้วยการถ้าเงินเหลือ ผมก็จะเอาไปใส่พวกหุ้นปันผลที่จะจ่ายปันผลเฉลี่ย 5-12% ต่อปีเก็บเอาไว้เรื่อยๆ อย่างน้อยได้ปันผลเฉลี่ยปีละ 20,000-50,000 บาท/ปี พวกนี้เก็บไว้เป็นทุนสำรอง เผื่อค่าใช้จ่ายก้อน เช่น พวกประกันชีวิต ประกันรถ เปลี่ยนยางรถ เช็ครถรายปี ค่าใช้จ่ายจิปาถะที่มันต้องจ่ายเป็นก้อนปีละ 1-2 ครั้ง
.
- ผมทำประกันชีวิตเอาไว้ แต่เป็นประกันแบบตายแล้วคนข้างหลังได้ ค่าหัว 1 ล้าน ไม่รวมพวกพ่วงเช่นตรวจเจออะเร็ง โรคร้าย อุบัติเหตุ บลาๆ ที่ตายแบบพิเศษก็จะได้เพิ่มอีก ส่ง 20 ปี ตอนนี้ส่งมา 11 ปีละ ผมไม่ห่วงว่าจะไม่มีลูกหลานดูแลในอนาคต แค่บอกว่ามุงช่วยมาดูกุทุกเช้า ว่ากุยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า หรืออย่างน้อยๆ ไปหาซื้อข้าวอะไรก็ได้ง่ายๆ มาให้กุแดกในยามที่กุไปไหนคนเดียวไม่ไหวแล้วก็พอละ เดี๋ยวตายแล้วค่าหัวกุมุงเอาไปเลย กุให้ เดี๋ยวผมเชื่อว่ามันต้องมีลูกหลานหรือญาติเราซักคนงับข้อเสนอนี้อยู่แล้ว
.
- ผมเป็นคนกินง่าย อยู่ง่ายนะ ผมสามารถซื้อปลากระป๋องแพคนึง 10 กระป๋องแล้วกินติดต่อกัน 10 มื้อได้ ไม่ซีเรียส ผมกินอาหารเดิมๆ ซ้ำๆ ได้เป็นสัปดาห์ เพราะหลักๆ ผมสนใจแค่อิ่มแล้วไปลุยต่อจบ ดังนั้นเรื่องกินไม่ใช่เรื่องใหญ่
.
ผมเป็นลูกคนเดียว มีพ่อแม่เป็นข้าราชการ พ่อ-แม่ผมหย่ากัน ฝั่งพ่อผมไม่ห่วง เพราะรู้ว่าแกมีหนี้เยอะ แถมไปแต่งงานใหม่มีลูกกับเมียใหม่อีก 1 คน ถ้าแกตายแล้วผมจะไม่ได้อะไรจากแกก็ช่างมันเถอะ ผมอยู่กับแม่ แม่ผมไม่มีหนี้ ดังนั้นค่าหัวแม่ผมรวมทุกอย่างแล้วนะ สหกรณ์ ฌาปนกิจสงเคราะห์ ประกันชีวิตอะไรทั้งหลายแหล่ ตอนแกตาย ผมได้แน่ๆ ไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ดังนั้นผมมีเงิน 3 ล้านลอยอยู่ในอากาศรออยู่แล้ว(ถ้าผมไม่ตายไปก่อนแม่นะ) ผมเลยไม่ห่วงเรื่องเงินในอนาคตเลยครับ
.
ผมใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีงานทำเป็นหลักอะไร เพราะเน้นเทรดหุ้นให้ได้เดือนละ 10,000-20,000 บาทก็ถือว่าได้พอๆ กับพวกเด็กจบปริญญาตรีแล้ว แถมผมอยู่จังหวัดเล็กๆ ทางภาคเหนือ ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรเยอะแยะมากมาย อยู่กับแม่ หนี้ก็ไม่มี กับข้าวแม่ก็ทำเผื่ออยู่แล้ว ซื้อกินเองบ้างเป็นบางมื้อ ค่าใช้จ่ายในบ้านก็สลับกันจ่ายกับแม่ ผมเลยสามารถทำอะไรที่อยากทำ อยากลองได้เต็มที่ ผมเลี้ยงวัว เลี้ยงปลา มีสวนผลไม้ มีสวนผัก อยากทำอะไรอีกเยอะแยะ แต่ไม่ได้อยากทำเป็นธุรกิจใหญ่เพื่อขาย แต่ทำเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง เอาไว้กินไว้ใช้เอง แต่ถ้ามันเหลือก็ขาย เพราะผมชอบคิดเรื่องให้ทุกอย่างมันวนในตัวของมันเอง จุดเริ่มต้นคือน้าให้ดูแลสวนมะยงชิด เราเห็นว่าทุกปีมันต้องซื้อขี้วัวมาใส่ไม่ต่ำกว่า 200 กระสอบ แถมต้องซื้อปุ๋ยมาใส่อีก ต้องปรุงดินทุกๆ 3-5 ปี ผมก็แก้ด้วยการทำไมต้องซื้อขี้วัว ทำไมเราไม่เลี้ยงวัวแล้วเอาขี้มันมาใช้แทนล่ะ ก็ไปซื้อวัวมาเลี้ยง ตอนนี้ไม่ต้องซื้ออีกแล้ว แถมดินก็ไม่ต้องปรุง เพราะรู้แล้วว่า ช่วงหน้าฝนก็แค่เอาขี้วัวมาสุมทับกับเศษหญ้า เศษใบไม้ สลับกันไปมาเป็นกองสูงๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้พอพ้นหน้าฝนเข้าสู่หน้าหนาว ขี้วัวและเศษใบไม้พวกนั้นก็จะย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยหมักที่สามารถเอาไปใช้ปลูกพืชผักแทนดินได้เลย ไม่ต้องไปขุดดินให้ยากอะไรอีก แค่เอาปุ๋ยหมักพวกนี้ไปกองเรียงกันขึ้นเป็นแปลงปลูกได้เลย เข้าหน้าหนาวก็สามารถปลูกผักได้เยอะแยะมากมาย ฤดูหนาวเป็นฤดูที่ปลูกอะไรก็งาม ดังนั้นหน้าหนาวบ้านผมจะประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องกับข้าวไปได้มหาศาลมากๆ แถมบางทีงามเกินมันเหลือ เหลือก็เอาไปให้ปลาและวัวกิน พอหมดหน้าหนาว เข้าสู่เดือนมีนาคมมะยงชิดก็สุกพอดี มะยงชิดเมื่อก่อนกิโลละ 150-200 บาท ล่าสุดเหลือกิโลละ 80 บาท(ราคาปีที่แล้ว) แต่สวนผม 1 ไร่มีประมาณ 60 ต้น ปลูกมาเกือบๆ 25 ปีแล้ว แค่มีนาคมเดือนเดียวขายมะยงชิดได้ราวๆ 5-70,000 บาท ก็ทำให้มีเงินใช้สบายๆ ไปถึงกลางปีแล้ว ล่าสุดเมื่อ 3 ปีก่อนผมตัดสินใจปลูกมะม่วงอกร่อง ไม่ได้เยอะ แค่ 10 ต้น ปลูกเอาไว้กิน แต่คิดว่าอีกหน่อยถ้าผ่านไปซัก 5-10 ปีทั้ง 10 ต้นคงโตพอจะให้เก็บได้ต้นละ 15-25 กิโลสบายๆ รวมๆ ก็ 150-250 กิโล/ปี ราคาขายเฉลี่ยก็ กิโลละ 30-40 บาท ก็น่าจะได้ประมาณ 5-6,000 บาท เก็บได้ช่วงเดือนพฤษภาคม ดังนั้นอนาคตเดือนพฤษภาคมผมก็จะมีเงินให้ใช้เพิ่มอีก
.
ที่ร่ายยาวมาอาจจะไม่เกี่ยวอะไรกับหัวข้อสนทนา แต่ผมแค่จะบอกว่า ให้มองเป้าใหญ่ระยะยาวไว้ก่อนว่าอยากไปอยู่จุดไหน แล้วที่เหลือค่อยมาคิดว่าจะไปยังไง ทางที่ 1 ไปแล้วเฟล ช่างมัน ไปทางที่ 2 ต่อ ถ้าเฟลอีกก็ไปลองทางที่ 3 4 5 ไปเรื่อยๆ หลักสำคัญคือ ช่างมัน.. ไม่ต้องสนใจ เบื่อก็ไปหาไรทำก่อน ไม่อยากทำงานก็ไม่ต้องทำ ไปใช้ชีวิตเสเพลให้เต็มที่เอาจนเบื่อ ค่อยกลับมาทำงานใหม่ก็ได้ ปกติผมก็แบบนั้นแหละ แม่ผมก็บ่นว่าทำไมไม่ทำการทำงานให้มันเป็นหลักเป็นแหล่ง ทำแต่อะไรก็ไม่รู้ไร้สาระเต็มไปหมด มันเรื่องปกติของผู้ใหญ่ที่จะเป็นห่วง แต่ถ้าเรามีเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้ว ใครจะว่าอะไรก็ช่าง แต่เรารู้อยู่แล้วว่ามันงอกเงยมาตรงจุดไหนบ้าง ไม่มีอะไรที่ทำแล้วไม่เห็นผลหรอก มันอาจจะเห็นผลน้อยจนคนอื่นมองว่าไม่คุ้มค่า แต่ระยะยาวยังไงเดี๋ยวมันจะมากขึ้นเองไม่ต้องเป็นห่วง เพราะอย่าลืมว่าแทบทุกคนบนโลกมักจะมองที่ความสำเร็จเป็นหลัก แต่ไม่ได้มองว่าระหว่างทางมันต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
อำนาจ ความเชื่อ ความรัก คือ 3 สิ่งที่ตรรกะมนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ ดังนั้นอย่าถามว่าทำไมกับเรื่องพวกนี้