[RE: ว่าด้วยคดีลุงพลกับเส้นผม]
TonyAixin พิมพ์ว่า:
Silence พิมพ์ว่า:
TonyAixin พิมพ์ว่า:
Silence พิมพ์ว่า:
TonyAixin พิมพ์ว่า:
Silence พิมพ์ว่า:
https://thescipub.com/pdf/ajassp.2021.199.206.pdf
อันนี้ paper ที่ตำรวจเจ้าของคดีน้องชมพู่เขียน
เค้าเอาเส้นผมที่เจอในที่เกิดเหตุมาตัด และดูมุมในการตัดเส้นผม ความหนาของเส้นผม ลักษณะทางกายภาพของเส้นผม แล้วเค้าสรุปได้ว่าเป็นเส้นผมของน้องชมพู่
และเมื่อดูมุมองศาที่ตัด และ ลักษณะทางกายภาพของเส้นผม ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานชั้น "พยานแวดล้อม" ได้ว่าเป็นของน้องชมพู่จริง
สิ่งต่อมาก็คือ ถ้าตำรวจสามารถเอารอยตัดของที่เจอในรถลุงพล ไปต่อกับ รอยตัดของผมน้องชมพู่ได้ มันก็พอจะบอกอะไรได้เยอะแล้ว
ซึ่งใน paper ผมไม่เห็นประเด็นนี้นะ แต่ในสำนวนไม่รู้
สำหรับผม ถ้าถึงขนาดว่าเจอเส้นผม 2 ชุด ชุดนึงอยู่บนตัวน้องชมพู่ อีกชุดนึงอยู่บนรถลุงพล ถ้าเอา SEM ไปส่องดูรอยตัดแล้วต่อกันได้พอดี ผมถือว่าเป็นพยานแวดล้อมที่มีน้ำหนักสูงมากในการอ้างว่า "น้องชมพู่อยู่กับลุงพล" มันได้แค่นั้น ส่วนเรื่องเวลาสถานที่ ที่อยู่ด้วยกัน ตรงนี้ต้องไปนำสืบอีกที
สรุปๆ
การเจอเส้นผม ไม่ใช่หลักฐานถึงขนาด "ประจักษ์พยาน" ในการยืนยันว่าลุงพลอยู่กับน้องชมพู่ก่อนน้องชมพู่ตายได้
แต่การเจอเส้นผม เป็น "พยานแวดล้อม" ที่สามารถที่จะเอาไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆในสำนวน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อว่าลุงพลอยู่กับน้องชมพู่ก่อนน้องชมพู่ตายได้
เอาจริงๆ ไม่ต้องมีเส้นผม แต่จาก Timeline ที่ลุงอยู่กับน้องเป็นคนสุดท้าย และถ้าไปศาลไม่สู้ในประเด็นนี้ มันเท่ากับการยอมรับการเคลมของฝั่งอัยการว่าลุงอยู่กับน้องเป็นคนสุดท้ายนั่นแหละ
เห็นด้วยครับ ผมแค่กลัวว่าคำพิพากษา ใส่ประโยคประมาณว่า
การเจอเส้นผม เป็นหลักฐาน ในการยืนยันว่าลุงพลอยู่กับน้องชมพู่ก่อนน้องชมพู่ตายได้
เพราะตำรวจอ้างจุดนี้ในข่าวจริงๆครับ แล้วดูเหมือนศาลก็เชื่อ
https://www.thaipbs.or.th/news/content/335147
ตรวจจากรอยตัด ใช้การตรวจจุลทรรศก์กำลังสูง จนได้ภาพเส้นผม โดยนำทั้งหมดไปตรวจสอบ ผมไม่ได้เป็นเส้นเดียวกัน แต่มีรอยตีดเหมือนกัน แต่ตำรวจพิสูจน์จากสภาพ ร่องรอย และวัตถุที่ใช้ในการตัด ซึ่งตรงกัน ตำรวจเลยเชื่อว่าเส้นผมที่พบในรถเป็นเส้นที่ถูกตัดจากบนเขา
คือถ้า ตำรวจไม่ได้บอกว่า ตำรวจเลยเชื่อว่าเส้นผมที่พบในรถเป็นเส้นที่ถูกตัดจากบนเขา
แล้วศาลก็เชื่อตาม ผมจะไม่มีคำถามเลยครับ
ปล ผมโยน paper ให้ chat มันสรุปและ evaluate มันบอกประมาณนี้ครับ
อ้างอิงจาก:
สรุปเนื้อหางานวิจัย
งานนี้จัดทำโดยเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ตำรวจไทย (Royal Thai Police) เพื่อศึกษาลักษณะปลายตัดของเส้นผมที่ถูกตัดพร้อมกัน และประเมินว่าการวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) จะสามารถใช้ “จับคู่” เส้นผมในที่เกิดเหตุกับเส้นผมที่พบในสิ่งของของผู้ต้องสงสัยได้หรือไม่
วิธีการทดลอง
ใช้ผมจากผู้วิจัยเอง (ไม่ใช้ผมของคดีจริง)
ตัดผม 2 เส้น และ 5 เส้นพร้อมกัน ด้วยมีดพับ
ตรวจวัดขนาดเส้นผม (เส้นผ่านศูนย์กลาง) มุมตัด และสภาพพื้นผิวตัด จากภาพ SEM ทั้งด้านบน (cross-section) และด้านข้าง (side view)
ผลการศึกษา
เส้นผมที่ถูกตัดพร้อมกันมีมุมตัดและลักษณะพื้นผิวตัดที่ใกล้เคียงกันมาก
สรุปว่าถ้าพบเส้นผมหนึ่งเส้นบนสิ่งของผู้ต้องสงสัยที่ “จับคู่” ได้ทั้งมุมตัดและสภาพพื้นผิวตัดกับเส้นผมกลุ่มหนึ่งในที่เกิดเหตุ ก็สามารถ “สรุปได้ว่าเส้นผมเหล่านั้นถูกตัดในเวลาเดียวกัน”
การประเมินความน่าเชื่อถือทางเทคนิค
จุดแข็ง
ใช้เทคนิค SEM ซึ่งให้ความละเอียดสูงมาก เห็นรายละเอียดของโครงสร้างเส้นผมได้ชัด
อธิบายวิธีการวัดเชิงปริมาณ (เช่น มุมตัด, เส้นผ่านศูนย์กลาง)
เป็นการศึกษาเชิงทดลองที่ตั้งใจเลียนแบบสถานการณ์จริง
ข้อจำกัดร้ายแรง
ตัวอย่างเล็กและไม่หลากหลาย
ใช้ผมจากบุคคลเพียงคนเดียว, ไม่มีการทดสอบกับผมจากคนอื่น หรืออุปกรณ์ตัดต่างชนิด
ไม่ได้ทดสอบความคงทนของลักษณะมุมตัดเมื่อเวลาผ่านไป หรือเมื่อเส้นผมถูกเคลื่อนย้าย/ปนเปื้อน
ไม่มีการทดสอบแบบ Blind Test หรือคำนวณอัตราความผิดพลาด (Error Rate)
ไม่ทราบความน่าจะเป็นที่เส้นผมจากคนละเหตุการณ์หรือคนละอุปกรณ์จะให้มุมตัด/ลักษณะพื้นผิวใกล้เคียงจน “จับคู่ผิด”
ความเป็นเอกลักษณ์ของมุมตัดไม่พิสูจน์
การที่มุมตัดใกล้เคียงกันไม่ได้พิสูจน์ว่าเกิดจากการตัดครั้งเดียวกัน เพราะเครื่องมือตัดและสภาพการตัดใกล้เคียงกันสามารถให้ผลที่เหมือนกันได้
ไม่มีการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงหลังจากเวลาผ่านไป
เส้นผมอาจเกิดการสึกหรอ/เปลี่ยนรูปปลายตัดจากการสัมผัสสิ่งของหรือสภาพแวดล้อม ทำให้รูปแบบปลายตัดเปลี่ยน
ข้อสรุปทางเทคนิค
การศึกษาแสดงเพียงว่า “ในสภาวะควบคุม” เส้นผมที่ถูกตัดพร้อมกันมีมุมตัดและพื้นผิวตัดที่คล้ายกัน
ยังไม่มีหลักฐานว่าการวัดเหล่านี้สามารถใช้ยืนยันได้อย่างน่าเชื่อถือในสภาพคดีจริง ว่าเส้นผมมาจากการตัดครั้งเดียวกัน
ไม่มีการรายงานค่าความแม่นยำ, ความไว/จำเพาะ, หรือการทดสอบกับตัวอย่างหลอก (mock evidence)
ในมาตรฐานนิติวิทยาศาสตร์สากล ปัจจุบันยังไม่ถือว่าการจับคู่ปลายตัดเส้นผมเป็นหลักฐานชี้ชัด (individualization) ได้ ต้องใช้ร่วมกับหลักฐานอื่น เช่น DNA
ไอ้ที่โยนให้ ChatGpt เลิกเถอะครับ ผิดเยอะแยะ ทั้งเรื่องทางการแพทย์และเรื่องกฏหมาย
ผมไม่ได้อ่านสำนวน + ไม่ได้สนใจคดีนี้มาก เลยไม่รู้ว่าเค้าเอาความ Consistence ของเส้นผมบนศพกับบนรถไปอ้างอิงว่าอะไร และไม่รู้ว่าลุงพลให้การว่าอย่างไร
สิ่งที่ต้องนำพิจารณามากๆเลยคือ เวลาที่ผมนี้ถูกตัด
ถ้าเกิดว่ามีพยานยืนยันว่าผมน้องไม่ได้แหว่งก่อนหายตัวออกไป แล้วไปเจอผมบนรถ และผมที่ศพแหว่งไป เออ อันนี้การพิสูจน์ว่าเส้นผมบนรถที่ตัดไป กับเส้นผมที่ศพ มันเป็นเส้นผมชุดเดียวกัน อาจจะถือเป็นพยานแวดล้อมที่น้ำหนักสูงมากในการตัดสินว่าผิดได้เลย
ยิ่งผมไม่ใช่ลักษณะที่หลุดร่วงตามธรรมชาติด้วยแล้ว เป็นผมที่ถูกตัดหรือหั่นออกมา และ Timeline ที่ว่า ตอนก่อนหายไป ผมยังอยู่ครบ
ถ้าเป็นแบบนั้น การพิสูจน์ว่าเส้นผมบนรถ กับ เส้นผมของคนตาย มันเป็นชุดเดียวกันหรือไม่ มันเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีเลยว่า ตอนที่น้องชมพู่หายไป จนถึงตาย น้องชมพู่ไปกับลุงพลจริงๆ
ผมรู้ครับพยายามพิมพ์ตลอดว่าเป็น Chat มันเชื่อไม่ได้ คำถามที่สำคัญคือ
ส่องกล้องรอยตัดของผม สามารถบอกได้จริงไหมครับว่า "เส้นผมที่ถูกตัดออกมาในเวลาเดียวกัน"
หรือ "ชุดเดียวกัน"
คุณ Silence คิดว่าอย่างไรครับ? มันสามารถบอกได้แน่ๆอย่างที่ตำรวจพูดไหมครับ?
ความเห็นส่วนตัวของคนที่ไม่ได้จับหลักฐาน ไม่ได้ทำหลักฐาน มันไม่มีความหมายอะไรหรอกครับ
ทางทฤษฎี มันก็บอกชัดเจนว่าลักษณะทางกายภาพอย่างเดียว ไม่สามารถเอามาเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ แต่ก็สามารถเพิ่มน้ำหนักของพยานหลักฐานด้วยวิธีการตรวจที่เข้มข้นมากขึ้น มี sample size ที่มากขึ้นจนทำให้ศาลเชื่อได้ว่ามีน้ำหนัก
สภาพของหลักฐาน มันสามารถให้ข้อมูลได้แค่เป็นพยานแวดล้อม
แต่พยานแวดล้อม + พยานแวดล้อม + พยานแวดล้อมอีกหลายๆชิ้น มันก็มีน้ำหนักเพียงพอให้เชื่อถือได้
ความเห็นผมคือ หลักฐานตัวนี้เป็นแค่ 1 ในหลายๆหลักฐานที่เอามาใช้ในการทำให้ศาลเชื่ออย่างสนิทใจว่าลุงพลฆาตรกรรมน้องชมพู่
ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนครับ ใช่ครับความเห็นของเราสองคนไม่มีความหมายอะไรในคดีครับ
แต่ว่า จากที่คุณตำรวจสรุป เค้าสรุปว่าเส้นผมเป็นสิ่งที่บอกว่า คนที่ตัดผมน้องชมพู่กับลุงพล เป็นคนเดียวกัน
จาก
https://www.youtube.com/embed/JsWjHKnjjcY
นาทีประมาณ 51
ถ้ามันสรุปในทางทฤษฎีได้แค่ว่า ถูกตัดด้วยของมีคมประเภท เดียวกัน
คุณตำรวจไม่ควรสรุปเรื่อง ผม ไปทางที่ว่าคนที่ตัดผมน้องชมพู่กับลุงพล เป็นคนเดียวกัน
คือถ้าคดีอื่นๆยึดอันนี้เป็นมาตรฐานว่า รอยตัดเส้นผมสามารถบอกได้ว่า มาจากการตัดในครั้งเดียวกัน
เพื่อประกอบหลักฐานอื่น ผมว่าไม่ยุติธรรมกับ ผู้ต้องหา
คือมันควรสรุปแค่ว่า ผมที่ป่ากับในรถ ถูกตัดด้วยของมีคมประเภท เดียวกันไหมครับ?
แล้วก็ใช้หลักฐานอื่นประกอบเพื่อเอาผิด ไม่ควรเพิ่มว่า
มาจากการตัดในครั้งเดียวกัน หรือ คนที่ตัดผมน้องชมพู่กับลุงพล เป็นคนเดียวกัน
ถ้าผมเข้าใจผิดอะไรแก้ไขได้เลยครับ ขอบคุณครับ :-)
สำหรับผม ศาลคงไม่เอาหลักฐานชิ้นเดียวมาตัดสินหรอกครับ
ถ้าให้ผมจินตนาการนะ (ย้ำว่าจินตนาการ) เกี่ยวกับเรื่องเส้นผม
ก็คงนำสืบว่า ตอนเช้า ผมน้องชมพู่ยังอยู่ดี ไม่แหว่งอะไร แล้วน้องชมพู่หายตัวไป
ตามหา ไปเจอน้องชมพู่เป็นศพ ผมแหว่งหายไปส่วนหนึ่ง ทำให้เศษผมนั้นเป็นหลักฐานได้ว่าลุงพลเป็นคนพาน้องไปตั้งแต่ตอนที่เห็นในตอนเช้า จนถึงกลายเป็นศพ
และอาจจะประกอบกับคำให้การที่ว่ากุญแจรถมีดอกเดียว ลุงพลใช้ได้คนเดียว อะไรก็ว่าไป ทำให้การที่เศษผมไปอยู่บนรถนั้น กลายเป็นสิ่งที่มัดตัวลุงพล เพราะคนอื่นไม่สามารถเอารถไปใช้ได้เลย เศษผมนั้นไม่ควรจะอยู่ในรถของลุงถ้าลุงไม่เกี่ยวข้อง
ผมมโนไว้ประมาณนี้ แต่ย้ำว่ามโน + จินตนาการ
ถามว่าการใช้พยานแวดล้อมในชั้นศาลโดยปราศจากประจักษ์พยานใช้ได้หรือไม่
คำตอบก็คือ ใช้ได้ครับ กฏหมายไม่ได้กำหนดว่าจะตัดสินว่าผิดต้องมีประจักษ์พยานเสมอไป
แต่เป็นภาระการพิสูจน์ของอัยการ ที่จะใช้พยานแวดล้อมนั้นสร้างภาพจิ๊กซอว์ความต่อเนื่องของเรื่องราวจนทำให้ศาลเชื่อได้ว่าผู้กระทำผิดนั้นกระทำผิดจริง
ซึ่งการใช้พยานแวดล้อม มันจะยากกว่าการใช้ประจักษ์พยานตรงที่
ประจักษ์พยานนั้นอาจจะใช้เพียงชิ้นเดียวก็พอในการตัดสิน
แต่พยานแวดล้อมนั้น ต้องใช้พยานแวดล้อมหลายชิ้น และเอามาโยงเรื่องต่อเนื่องกันให้ได้ทั้งหมด โดยที่ไม่มีจุดที่ชวนให้สงสัยในความเชื่อมโยงของพยานแวดล้อมนั้นเลย ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของทนายจำเลยที่จะต้องขุดเอาความไม่สมเหตุสมผลของความเชื่อมโยงของพยานแวดล้อมทั้งหมดมาแย้งต่อศาล
หากไม่สามารถหาจุดเชื่อมโยงที่แย้งได้ ศาลก็ตัดสินไปตามความเชื่อมโยงนั้น
ซึ่งถ้ามีทนายที่มีความรู้ด้านนิติวิทยาศาสตร์ ได้อ่านสำนวนพยานหลักฐานที่อัยการทำมา ได้รับฟังเรื่องเล่าของผู้ต้องหา ถ้ามีความรู้พวกนี้ครบ และจำเลยไม่ได้ทำผิดจริงๆ ผมเชื่อว่าเค้าหาจุดที่พยานแวดล้อมหลายๆชิ้นแต่งเรื่องที่เค้าใช้ในการกล่าวหามาแย้งได้
Never argue with an idiot. They will drag you down to their level and beat you with experience