เอาจุดที่รถไฟฟ้ายังสู้รถสันดาปไม่ได้นะ ถ้าแก้พวกนี้ไม่ได้ก็มาแทนรถสันดาปไม่ได้

1. การเติมพลังงาน รถไฟฟ้าอย่างไวสุดๆก็ต้องมี ครึ่งค่อนชั่วโมง ส่วนรถน้ำมัน 2-3 นาทีจบ จังหวะเร่งด่วนใครจะมารอ

แถมจุดชาร์จก็หาได้ยากกว่า

2. น้ำท่วมคือจบเห่ ถ้าน้ำเข้าแบตคือแทบจะเรียกว่าซื้อคันใหม่ยังดีกว่าซ่อมเพราะราคาไม่หนีกัน

3. ราคาขายมือสอง ถ้าแบตเสื่อมสภาพ ราคาแทบจะหายไป 80-90% ต่อให้เลขไมล์น้อยก็ตาม

ผมมีปัญหากับแบตอย่างเดียว มันเสียยาก แต่มันเป็นความเสี่ยงที่น่ากลัว ราคาเหมือนเปลี่ยนรถใหม่

แล้วมลพิษขยะแบตเตอรี่ระยะยาว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่ากังวลมาก

ส่วนใหญ่ น่าจากความไม่พร้อมของบริษัทรถ ที่เน้นขาย ซึ่งจะมีปัญหาด้านบริการ การซ่อมหรืออะไหล่ที่ควรจะต้องมี.

ถ้าด้านการขับขี่ผมถือว่าดีกว่า ทั้งออฟชันที่มีมา สะดวกต่อใช้งาน ถ้าระยะทางที่ใช้ไม่เป็นปัญหาต่อเดินทาง มันดีเลยละ

ถ้าราคาประกันชั้น1ก็จะแพงมาก (หรือใช้แค่ชั้น2 ราคาก็ถือโอเคอยู่นะ) แต่จะมีความเสี่ยงที่ถนนบ้านเรามันมีหลุม บ่อ เสี่ยงกับเสียหายของแบตใต้ท้องรถ


ปล.ถ้าราคาน้ำมันบ้านเรา มันถูกกว่านี้ รถใข้น้ำมันราคาถูกกว่าได้ อาจจะไม่สนใจรถไฟฟ้าเลยนะ

รอรถไฟฟ้ามาแข่งแบบ​ F1 คนน่าจะสนใจกันเยอะขึ้น

ถนนบ้านเราไม่ตอบโจทย์ เสี่ยงที่แบตจะพังได้ง่ายๆ

คนซื้อรถแต่ละคนย่อมมีเหตุผลและเงื่อนไขของตัวเองครับ ซื้อรถคันนึงไม่ใช่ถูกๆ เป็นหนี้ระยะยาว ก็ต้องเลือกที่มันเหมาะกับตัวเอง อย่างผม ใช้รถค่อนข้างเยอะ ไปต่างจังหวัดค่อนข้างบ่อย ดังนั้น การขับรถไฟฟ้า "ในตอนนี้" จึงไม่ตอบโจทย์ ถ้าจะมองว่า ซื้อก่อนประหยัดก่อน ก็เข้าใจได้ แต่ผมยังอยากให้เทคโนโลยีมันอยู่ตัวกว่านี้ก่อน พวกบริการหลังการขายก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ต้องพิจารณา ค่าประกันอีก ระยะเวลาในการซ่อมอีก

ผมไม่ได้มีเงินเหลือจนสามารถมีรถหลายๆ คันได้ ดังนั้น คันเดียวที่ต้องมีในการใช้ชีวิตจึงควรจะตอบโจทย์ของผม ซึ่งตอนนี้คือไฮบริด ไม่ใช่ไฟฟ้า แต่ถ้าหลังจากนี้ไปสัก 3-5 ปี แล้วต้องควักเงินซื้อรถคันใหม่ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นรถไฟฟ้าครับ

จริงๆผมชอบนะ อยากได้ Tesla ไม่ก็ BYD Sealion 7

แต่ไม่คิดจะซื้อมาใช้เพราะ แถวบ้านผมน้ำท่วมบ่อยทั้่งๆที่อยู่กลางกรุงเทพ แล้วหมู่บ้านผมอยู่ข้างคลองสายหลักที่ใช้ผันน้ำไปออกเจ้าพระยาเลย ฝนตกหนักๆทีนึงหน้าหมู่บ้านกับในซอยก็ท่วมครึ่งล้อละ ส่วนตรง รร. ลูกผมก็เป็นซอยแคบๆ น้ำท่วมบ่อยเช่นกัน เลยไม่สะดวกในการใช้งานเท่าไร

ไม่มีเงินซื้อทิ้งแบบที่หลาย ๆ คนพูดว่าใช้ห้าปีก็คุ้มแล้ว ถึงเวลาก็ซื้อคันใหม่ สำหรับผมรถมันควรมีอายุการใช้งานที่ยาวนานเนื่องจากมันเป็นสินทรัพย์ราคาสูงสำหรับตัวผมที่มีรายได้น้อย ๆ เก็บเงินห้าปีซื้อสดหรือผ่อนก็คงไม่ไหว

ชอบนะ แต่ข้อจำกัดเยอะมาก ยังไม่เหมาะกับผม

เอาจริงๆนะค่ายรถกับประกันน่าจะฮั้วกันเรื่องแบต แพงสุดไม่เกิน30-40%ของรถ แต่มันไม่ยอมลดกันมากกว่า จนกว่าจะมีคนมาแฉ

ไม่ได้ไม่ชอบ แค่คอนดิชั่นของที่ผมใช้มันไม่ตรงกับที่ผมต้องการจากรถไฟฟ้า จุดที่ใหญ่ที่สุดคือการที่ผมต้องขับรถออกต่างจังหวัดบ่อยๆ แล้วผมไม่อยากเสียเวลารอเสียบชาร์จที่ปั๊ม ไม่ต้องนับว่าหัวชาร์จไม่ว่าง เทียบกับเอารถไปจ่อหน้าหัวจ่ายไม่เกิน 5 นาทีนี่ผมยอมจ่ายค่าน้ำมันเพื่อซื้อเวลาดีกว่า

อยากใช้รถ ev

ติดที่ว่าหน้าบาง ไม่อยากทำตัวเองให้กลายเป็นคนโง่ ในสายตาคนอื่น

แงๆ ใจบาง หน้าบางอ่าาพี่

ใช้รถนานเกิน 10ปี+ ไปไฟฟ้ากลัวพังก่อน วิ่งน้อยไม่กลัวค่าน้ำมัน
คิดแบบง่าย คันเก่าซื้อ 550k ใช้มา 15ปี ขายได้ 110k
คิดค่ารถเป็นคชจ.แค่เดือนละ 2พันกว่าบาท รวมซ่อมนิดหน่อยตก 2พันห้า
คันต่อไปคงอาจจะเริ่มดูไฮบริด แต่อีกนานกว่าจะได้เปลี่ยน
ยังไงก็คงไม่ไปไฟฟ้า แต่ไปนั่งก็ชอบความเงียบตอนวิ่งแค่นั้นเลย

ชอบรถไฟฟ้า แต่ไม่ชอบรถจีน ครับ

Ecosystem ในประเทศพังไม่เหลือซาก ส้รางกันมา 20-30 ปี เจอ 0% ไปก็หงายแล้ว ยังขอลด excise ด้วยการทำ CKD ปลอมๆอีก

พวกเสาวกชอบบอก ถ้าไม่มีรถจีน ญป จะเอาเปรียบเราไปอีกนาน บลาๆๆ
แหกตาดูบ้างฮะ 10 บริษัทที่เสียภาษีมากที่สุด เป็นรถยนต์ ญป ไปแล้ว 3 ราย
แล้วมี Tier 1-2-3 อีกกี่บริษัท จ้างงานเท่าไร เสียภาษีกันอีกเท่าไร

ถ้าจะด่า รถญี่ปุ่นแพง ไปด่าโครงสร้างภาษี ที่นัดรถเป็นของฟุ่มเฟือย ทั้งๆที่ขนส่งสาธารณะ ไม่ดีนู่น

แล้วที่เค้าลดๆมาแข่งนี่ ไม่ใช่เค้ามี margin ให้ลดนะ เค้าเข้าเนื้อ
แล้วเค้าจะเข้าเนื้อไปอีกนาน มั้ย แล้วถ้าเค้าปิดล่ะ ? พังทั้งระบบนะ

หรือจะให้เศรษฐกิจ เดินด้วยท่องเที่วอย่างเดียวจริงๆ ?

ปล. ไม่ได้อยู่ บ.ญี่ปุ่น แต่รำคาญพวกอวยจีนมาก
รัฐบาบก็ส้นตีนเช่นกัน Malaysia / Indonesia เค้าแก้ลำ FTA 0% หมกแล้ว
เหลือไทยยังนั่งเกาตูดอยู่


[img]

[/img]

พูดแบบไม่โลกสวย ไม่พระเอก แต่อย่างทุนนิยม ผมผู้บริโภค ผมได้ "ผลประโยชน์" จาก FTA 0% ผมเชียร์ครับ

ปล. ทำการบ้านข้อมูลหน่อย มาเลย์ อินโดเค้าไม่มีแก้นะ ของเค้าภาษี FTA 10% มาตั้งแต่ effective date