ข่าวนี้น่าจะทำให้คนกำลังจะซื้อ ชะลออกไปก่อน ทีนี้ยิ่งหนักเลย

คนที่เงินพอแบบปริ่มๆ ก็กัดฟันเปลี่ยนรถ ฐานะแย่ลงอีก
ฐานะรัฐก็แย่ลงอีก เปนหนี้เพิ่ม
เดี๋ยวก็มาเพิ่มภาษี คนไทยก็แย่ลงอีก

ผมก็ยังงง เชิงโครงสร้างเข้าใจได้ ว่าถ้ามาจากจีน ยังไงก็ได้ยอดได้เปรียบเรื่องต้นทุน เพราะมันต่อยอดจากนโยบายรถ EV จีน อันนี้เข้าใจ

แต่ท่าน Vaganza บอกอยู่ว่าไม่สนจีน จะเอา Japan only ยอดขาย 1 คัน ก็ถูกวิ่งไปที่ ยกตัวอย่าง Honda ถูกไหม แล้วค่ายจีนเกี่ยวข้องตรงไหน

คนที่ไม่ชอบรถจีนก็เยอะ ยอดขายรถ ญี่ปุ่น หรือ ยุโรป มันก็เพิ่มขึ้นนี่นา ถ้าทำราคาให้ขายได้

จะเกี่ยวกับโครงสร้างบิดเบี้ยวยังไง ถ้าเอารถเก่าแลกรถใหม่ คิดเป็นสูตรจำนวนเติบโตคนใช้รถก็ เพิ่ม 1 ลด 1 = 0

แต่ถ้าบอกภาพรวม อันนี้เข้าใจยู่แล้วว่าจีนได้ประโยชน์จากนโยบายที่ผ่านมา(ไม่รวมอันนี้)

อย่างที่บอกไปครับ บิดเบือนตลาดที่ผมบอกคือ

โดยปกติแล้วในเศรษฐศาสตร์มันจะมีสิ่งที่เรียกว่า demand-supply law ครับ สมมุติถ้าสิ่งของราคา 100 บาท จะมีความต้องการสินค้า x ค่า

แล้วถ้าราคาสินค้าลดลง เช่น ราคาเหลือ 90 บาท ความต้องการ(demand) สินค้าจะเพิ่มขึ้น สมมุติเป็น y โดยที่ y มากกว่า x แน่ๆ

สิ่งที่บิดเบือนตลาดอยู่ คือ สมมุติราคารถไฟฟ้าจีนจริงๆอยู่ที่ค่าหนึ่งคือ 1,000,000 แต่นโยบายอุดหนุนจากเงินภาษี 150,000 ทำให้รถไฟฟ้าจีนขายได้ราคาต่ำกว่าเป็นจริงคือ 850,000 ซึ่งราคาที่ถูกลงทำให้ demand ของสินค้ามันเพิ่มขึ้น นี่คือการบิดเบือน เพราะในราคาจริงคือ 1,000,000 จะมี demand ที่น้อยกว่าราคา 850,000 แต่ที่มันถูกลงเพราะเอาเงินภาษีไปจ่ายให้พวกบริษัทรถจีนครับ ทำให้ demand มันไม่ถูกต้องตามที่ควรจะเป็นที่ควรจะอยู่ที่ 1,000,000 บาท

แต่กลับกันรถที่ผลิตในไทยไม่ได้อะไรอุดหนุนเลย เพราะงั้นนโยบายในข่าวที่ออกมา (ผมไม่ได้พูดถึงการตัดสินใจคุณ Vaganza แต่พูดถึงโครงสร้าง ที่คุณ Vaganza "ถามว่าทำไม") มันเป็นการเร่ง demand ของอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่มีฝ่ายที่ได้เปรียบจากการบิดเบือนของตลาดอยู่

(การบิดเบือนตลาดคือการแทรกแซงราคา ไม่ว่าจะทำให้ถูกขึ้นหรือแพงขึ้นกว่าความเป็นจริง จากนโยบาย โดยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดที่ต้องแข่งขันกันผ่านนวัตกรรมและการตลาดของเอกชนที่ต้องแข่งกันเอง)

โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว ด้วยประโยคนี้

ขอยกตัวอย่างแบบคณิตศาสตร์เพิ่มนะครับ

สมมุติ
อัตรายอดขายรถสันดาปผลิตในประเทศคือ X คันต่อปี ที่ราคา A (ราคาปกติไม่มีอุุดหนุน)
อัตรายอดขายรถ EV นำเข้าจากจีนคือ Y คันต่อปี ที่ราคา B (ราคาปกติไม่มีอุดหนุน)

ซึ่งในนั่นคือในสถานการ์ณการแข่งขันปกติโดยไม่มีการบิดเบือนราคาใดๆ

-------------------

แต่เมื่อมีนโยบายรถ EV ทำให้ราคารถ EV นำเข้าจีนถูกบิดเบือนให้ถูกลง (โดยการใช้ภาษีไปอุดหนุน) สมมุติอุดหนุนราคา 10% กลายเป็นราคาขายให้ผู้บริโภคคือ 0.9B และ Demand หรืออัตรายอดขายก็จะเพิ้่มขึ้นตามกฏ demand-supply law สมมุติกลายเป็น 1.1Y

สถานการณ์ในตอนนี้จึงเป็น
อัตรายอดขายรถสันดาปผลิตในประเทศคือ X คันต่อปี ที่ราคา A (ราคาปกติไม่มีอุุดหนุน)
อัตรายอดขายรถ EV นำเข้าจากจีนคือ 1.1Y คันต่อปี ที่ราคา 0.9B (ราคามีอุดหนุนภาษี 0.1B)

--------------

และถ้ามีนโยบายตามข่าวเกิดขึ้นจริง มันจะไปเร่ง demand ให้เยอะขึ้นกว่าไม่มี สมมุติถ้ามีนโยบายนี้จะเร่ง demand เป็น 1.1เท่า เมื่อเทียบสถานการณ์ที่ไม่มีนโยบายนี้

สมมุติตัวเลขว่านโยบายนี้จะลดราคาไป 10% และเพิ่ม demand ได้ 10% ก็จะทำให้

อัตรายอดขายรถสันดาปผลิตในประเทศคือ 1.1X คันต่อปี ที่ราคา 0.9A (ราคาปกติไม่มีอุุดหนุนภาษี ev แต่มีอุดหนุนนโยบายตามข่าว 0.1A)
อัตรายอดขายรถ EV นำเข้าจากจีนคือ (1.1*1.1)Y หรือ 1.21Y คันต่อปี ที่ราคา 0.8B (ราคามีอุดหนุนภาษี ev 0.1B และอุดหนุนนโยบายตามข่าวอีก 0.1B)

--------------

นั่นจึงที่มาเป็นที่ผมตอบว่าทำไมบริษัทจีนจะได้ประโยชน์จากนโยบายตามข่าว เมื่อรวมกันกับนโยบาย ev จีนเดิม จากตัวเลขที่สมมุติให้เห็นภาพรวม เขาจะสามารถมี demand เพิ่มขึ้นถึง 21% จากเดิมที่เขาควรจะขายได้จากราคาจริงๆของเขา

ไหนๆก็ถกกันแล้ว
จีนได้ประโยชน์จากโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ ตามที่คุณอธิบายเรื่อง Demand
ญี่ปุ่น ยุโรป หรือชาติอื่นๆ ได้ประโยชน์จากโครงการนี้ด้วยไหมครับ

ได้ครับ เพราะรถสันดายปก็ยังมีความต้องการอยู่ แต่รถ ev จีนได้ผลประโยชน์มากกว่า โดยขึ้นกับ gearing ของนโยบายเงินอุดหนุนรถ ev

สมมุติว่านโยบายในข่าวจะทำให้ demand เพิ่มขึ้น 10%

1.กรณีที่นโยบายรถ ev ทำให้ demand มากขึ้นจากปกติ 5% คือ 1.05 เมื่อรวมกับนโยบายนี้จะเป็นได้ demand เพิ่มขึ้น 1.05*1.10 = 1.155 หรือเพิ่มมา 10.5% จาก 1.05 เป็น 1.155 จากนโยบายนี้(ในขณะที่รถยนต์สันดาปเพิ่ม 10%)

2.กรณีที่นโยบายรถ ev ทำให้ demand มากขึ้นจากปกติ 10% คือ 1.10 เมื่อรวมกับนโยบายนี้จะเป็นได้ demand เพิ่มขึ้น 1.10*1.10 = 1.21 หรือเพิ่มมา 11% จาก 1.10 เป็น 1.21 จากนโยบายนี้(ในขณะที่รถยนต์สันดาปเพิ่ม 10%)

3.กรณีที่นโยบายรถ ev ทำให้ demand มากขึ้นจากปกติ 15% คือ 1.15 เมื่อรวมกับนโยบายนี้จะเป็นได้ demand เพิ่มขึ้น 1.15*1.10 = 1.265 หรือเพิ่มมา 11.5% จาก 1.15 เป็น 1.265 จากนโยบายนี้(ในขณะที่รถยนต์สันดาปเพิ่ม 10%)

4.กรณีที่นโยบายรถ ev ทำให้ demand มากขึ้นจากปกติ 20% คือ 1.20 เมื่อรวมกับนโยบายนี้จะเป็นได้ demand เพิ่มขึ้น 1.20*1.10 = 1.32 หรือเพิ่มมา 12% จาก 1.20 เป็น 1.32 จากนโยบายนี้(ในขณะที่รถยนต์สันดาปเพิ่ม 10%)