evilcat พิมพ์ว่า:
byrd.tt พิมพ์ว่า:
evilcat พิมพ์ว่า:
และยังไม่รวมว่าคนรุ่นใหม่หลายๆคนฟุ่มเฟือยใช้ของแพงกินของแพง เที่ยวรัวๆอีก
อันนี้ยิ่งไปใหญ่เลย คนรุ่นใหม่ที่คุณบอกว่าฟุ่มเฟือย = มีกำลังจับจ่าย -> ไม่ได้แปลว่าเค้าเป็นคนจนนิครับ แล้วผมก็ไม่เคยเห็นคนกลุ่มนี้ออกมาเรียกร้องเรื่องจ่ายภาษีน้อยลงหรือให้คนรวยมาช่วยเค้าเลยนะ เค้ามีแต่ขอให้รัฐจัดการบิรหารภาษีให้ดีขึ้นต่างหาก
อ่อ การใช้ของแพง กินแพง เที่ยว พวกนี้เค้าเรียกซื้อประสบการณ์ครับ คนอีกยุคอาจจะเน้นเก็บเงิน ลงทุนกับสินทรัพย์ แต่คนรุ่นใหม่เค้าไม่ได้ value สิ่งเหล่านั้นครับ เค้าเอาเวลาไปเรียนรู้ชีวิตครับ
แล้วคุณเคยเห็นไหมคนรุ่นใหม่บางคนที่โทษไปมั่วไหมอะต้องไปรีดภาษีคนรวยมาช่วยมันทั้งๆที่มันยังพยายามไม่มากพอจะมาขอความช่วยเหลือซะงั้น
ผมไม่อยากจะอธิบายละนะ ผมเหนื่อย แต่คุณจับประเด็นมั่วซั่วไปหมดเลยอ่ะ นี่เหมือนคุยกับคนสมองช้ายังไงไม่รู้
1. สมควรจะรีดภาษีคนมีเงินมากกว่านี้มั้ย ? เยส ผมเห็นด้วย ผมเสียภาษีเกือบๆจะฐาน 35% แล้ว ผมยังคิดเลยว่าเราเก็บภาษีน้อยเกินไป ถ้าเราอยากเป็นรัฐสวัสดิการ เก็บเท่านี้มันไม่พอ รวมถึง VAT ด้วยที่เก็บน้อยไป มันควรจะเก็บมากกว่านี้
2. การใช้ภาษีให้เกิดประโยชน์ก็เกิดปัญหา อันนี้เป็นปัญหาเรื่องคอรัปชั่นที่รัฐต้องแก้ ก็เป็นอีกเรื่องนึง รวมถึงต้องเอาคนเข้าสู่ระบบการเสียภาษีให้ถูกต้องมากขึ้นด้วย เพราะไอ้คนมีรายได้สูงห4.ลายคน ก็มีอีกเยอะที่ไม่ใช่กลุ่มคนที่เสียภาษี (แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวบ้าง ฯลฯ)
3. คนที่บ่นว่าต้องรีดภาษีคนรวยมาช่วยเพิ่ม ผมเองก็คนกลุ่มนั้นเหมือนกัน (ให้กลับไปดูข้อ 1) เพราะอะไรก็ดูข้อ 1 เหมือนกัน
4. ถ้าคุณไปศึกษาโมเดลรัฐสวัสดิการแบบยุโรป เค้าช่วย 99% ของคนของเค้าครับ จะขี้เกียจเค้าก็ช่วย ก็ไม่อยากทำงานเค้าก็ช่วย เพราะนั่นคือคนในชาติ ผมมีเพื่อนผมที่มันเหนื่อย มันลาออกมาเฉยๆ รับเงินเดือนละ 1200 EUR ไปเรื่อยๆ หายเหนื่อยก็กลับไปทำงานใหม่ เพราะมันจ่ายภาษีมาแล้ว + คนรวยช่วยจ่ายภาษี support มา ฉะนั้นต่อให้คุณจะบอกว่าไอ้คนรุ่นใหม่ของคุณมันเป็นคนขี้เกียจ ไม่ขวนขวาย ฯลฯ รัฐก็มีหน้าที่ต้องช่วยครับ แต่จะมากน้อย นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐแล้ว
5. ไอ้คนที่บ่น"บางคน"ที่คุณพูดถึง มันคือ general consensus ของคนในประเทศนี้หรอครับ หรือมันมี significant number หรือ significant value ที่ควรค่ากับการให้เวลารับฟังหรือครับ