[RE: ทำไมหูฟัง full size แบบ open back แพงจัง]
1. จริงๆคนที่ทำให้มันถูกได้ในวงการนี้คือจีนครับ ดูพวก IEM ก็ได้ สมัยก่อนตัวนึงคือของหรูมาก CX200 ตัวเริ่มต้นของ Sennheiser งี้ราคาปาไปเกือบๆ 2 พันกว่า ขณะที่ Earbud เริ่มต้น 300 บาทเองมั้ง
พอ IEM จีนมาทุบปุ๊ป ตอนนี้อินเอียร์ตัวละ 500 ต้องเสียงดีละ ไม่งั้นอยู่ไม่รอด
กลับกัน Headphone ฝั่งจีนไม่เน้นครับ เพราะบ้านเขาไม่มีใครชอบใส่ ราคาปัจจุบันนี้มันเลยไม่ลงมาซักที
ที่นึกออกว่าเสียงดีหน่อยก็มี Shure SRH440 แต่ราคาเดี๋ยวนี้ To the moon ไปแล้ว สมัยก่อนนู่นราคายังน่ารักอยู่
2. Open Back จริงๆเรื่องเสียงโปร่งมันก็ส่วนนึงครับ Soundstage กว้างก็เป็นเรื่องจริง (อธิบายได้ด้วยหลักการ)
ข้อดีคือพวกยี่ห้อถูกๆเสียงดีก็มีเช่น Samson, Superlux อาจจะมีโทนแหลมที่เสียดหน่อยตามสไตล์พวก Open back และเสียงไม่อุดอู้แบบ Closed back แน่ๆ
ข้อเสียคือ พวกนี้มันไม่มี Deep Bass ครับ ไอเสียงแบบสั่นตืออออออะไรแบบนั้นไม่มี หรือมีก็น้อยมากๆ
ถ้าเล่น Open Back อาจจะต้องเลือกไปเลยว่าจะเล่นถูกๆหน่อย เช่น Samson, SuperLux แต่ต้องโมเพิ่มเพราะพวกนี้เสียงแหลมจะเสียดมากๆ อาจจะต้องใช้แผ่นฟองน้ำช่วยไม่ก็แผ่นทิชชู่เอา แล้วก็แผ่นฟองน้ำติดมาจากโรงงานค่อนข้างห่วย ต้องลงเงินเพิ่มเปลี่ยนเอา
หรือถ้าจะไปแบบแพงเลยเช่น Sennheiser HD600, HD800 พวกนี้คือเทพขึ้นหิ้งขายมา 20-30 ปีละยังขายดีอยู่
Edit : พิมพ์ทิ้งไว้นานเกินไม่ได้ตอบ บังเอิญทำงานอยู่ ช่วยเสริมให้ว่าที่ด้านๆบนตอบมาก็โอเคแล้วครับ
แต่ Philips อันนั้นต้องไปลองฟังก่อน เพราะมันเหมาะกับเล่นเกมมาก เสียงโปร่งและแหลมดี แต่ฟังเพลงเสียงมันแปลกๆครับ ถ้าชอบก็โอเคไป
ส่วน Grado แนะนำไปลองฟังก่อนครับ อย่างน้อยครั้งนึงก่อนค่อยควักเงินซื้อ
ของผมโชคดีได้ยินของเพื่อนก่อนเลยเข้าใจว่าโทนเสียงมันประมาณนี้นะ ผ่านมา 11 ปีคิดถึงเสียงมันก็เลยสั่ง
โชคดีว่าสอยตัวสุดท้ายของร้านมั่นคงทันพอดี (SR60X) เหลือตัวละ 2300 บาทพอดี (ปกติมันตัวละ 3300)
แต่ไม่แนะนำให้ซื้อถ้าไม่เคยลองฟังครับ โทนเสียงมันคือถ้าชอบท่านก็รักอะ ถ้าไม่ชอบคือท่านจะเอาไปขายต่ออย่างเร็วมาก