เดาว่าเป็นโรคหลงผิดครับ ซึ่งไม่ได้เกิดจากอาการหลอนยาครับ เพราะแม่ผมอยู่ๆก็เป็นทั้งๆที่ไมไ่ด้เสพยา แต่เกิดจากการโดยกดดันเรื่องอะไรซักอย่างในจิตใจ ซ้ำๆย้ำๆจนคิดว่าเป็นเรื่องจริงในสมอง ทานยาเรื่อยๆอาการดีขึ้นครับ

ส่วนตัวนะ เอามาเป็นเกณฑ์แน่นอนครับ เป็นหัวหน้าใครจะอยากเอาตัวเองไปเสี่ยง คือทำงานมันต้องเจอแรงกดดันอยู่แล้วไม่มากก็น้อย เหมือนจะเอาระเบิดเวลามาไว้กับตัวทำไม

ถ้าจะรับมันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอะ เช่นได้สิทธิทางภาษีพิเศษ ได้โค้วต้าคนมาทำงานเพิ่มหรือนับคนนี้เป็นแค่ 0.5 คน

โรคซึมเศร้ามีหลายกลุ่มหลายสาเหตุ ที่บ้านผมมีคนเป็น 2 คน เมียกับพ่อผม ทั้งคู่เป็นกลุ่ม Perfectionist (ขั้นรุนแรงยาเต็มกราฟ)

พ่อเป็มกลุ่มผมทำงานได้ขอให่เลิกไม่ยอมเลิกทำงานด้วย
เมียเป็นขั้นที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้กลัวผิดพลาด

ตัวผมเองไม่ได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องโรคทางจิตเวชโดยตรง แต่ได้มีอ่านผ่านตาอยู่บ้าง จากคำถามท่านก็ลองไปหาอ่านทวนความจำนิดหน่อยจากลิงก์นี้ครับ https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC5605248/#:~:text=Depression%20is%20now%20recognized%20as,quality%20of%20life%2C%20and%20suicide.

เท่าที่เข้าใจคือสองโรคนี้ต่างกันที่รูปแบบของอาการ คือถ้าเป็นซึมเศร้าจะเป็นการทำงานกับอารมณ์เป็นหลัก เช่น รู้สึกไม่อยากทำงาน เปื่อยๆ รู้สึกไร้ค่า ชีวิตไร้ความหมาย แต่ถ้าเป็นโรคจิตเภทจะบวกความไม่มั่นคงทางอารมณ์เข้ามาด้วยที่ทำให้เกิดความงุ่นง่าน (paranoid) หรือการเห็นภาพหลอน (hallucination)

จากในลิงก์นั้นบอกว่าสาเหตุมาจากทั้งเรื่อง genetic แล้วก็สภาพแวดล้อมเลยครับ อย่างซึมเศร้านี่เค้าอธิบายว่าเป็น “smoking gun evidence” of historical childhood trauma แปลคร่าวๆก็คือ โรคซึมเศร้านี่เป็นหลักฐานชั้นของการมีบาดแผลในใจในวัยเด็กนั่นแหละ ส่วนฝั่งจิตเภทเองก็ใช้คำกล่าวว่า "Trauma, neglect and social adversity are now well-established risk factors for schizophrenia" ก็คือบาดแผลในใจ การถูกทอดทิ้ง แล้วก็ความลำบากในสังคมเป็นความเสี่ยงชั้นดีของการเป็นโรคจิตเภทเลย

จะเห็นได้ว่านอกจากเรื่องทาง genetic แล้ว ประเด็นเรื่องสภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดทั้งสองโรค แล้วทิ้งท้ายไว้อีกนิดว่าสามารถเป็นทั้งสองโรคพร้อมกันได้ แล้วจะมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายมากขึ้นด้วยครับ

ขอบคุณสำหรับความรู้ แล้วแหล่งอ้างอิง ด้วยครับท่าน