แกไม่ได้เสพยาครับ เหล้าก็แทบไม่กิน

คือทำงานจนเครียด แล้วก็เริ่มเก็บตัว ไม่คุยกะใคร

จนเคมีในสมองมันเริ่มเพี้ยน

ถ้าทำงานออฟฟิศ ไม่ว่าจะเอกชน ราชการ รสก. ยังก็ต้องเจอความกดดันความเครียดหนีไม่ได้อยู่แล้ว ก็ควรต้องมีแหละ คหสต.

จากอาการที่ท่าน ChickenRun เล่ามา เข้าใจว่าเป็นอาการของโรคจิตเภท (schizophrenia) ครับ

ก็ถ้าproveได้ว่ามันมาจากการทำงานจริงๆก็น่าได้ยะครับ

Leave without pay ครับ ไปรักษาให้หายก่อน

น้องในทีมคนนึงเป็น เห็นว่าเป็นก่อนผมจะมาดูแลทีมนี้ ผมก็ไม่อะไรกะคนเป็นซึ่มเศร้านะถ้างานมันโอเค แต่งานมันไม่โอเคอะสิ โยนงานอะไรให้ไปทำก็ทำไม่ได้ ทำไม่ดี ใช้ไม่ได้ ต้องให้คนอื่นมาทำต่อ ทำแทน ง่ายๆก็ตัวถ่วงอะแหละ คนทำแทนมันก็ทำได้ระยะนึง ถึงจุดนึงทุกคนก็คงคิดในหัวว่า งานกุก็มี จะต้องมาทำแทนไอ้คนนี้ทำไม

เพอฟอมานซ์ตัวเองลดแล้ว เรา+คนอื่นในทีม ก็ลดลงไปด้วยอีก

คือน้องเขาก็กินยานะ เขาบอกว่ากินยาแล้วง่วง ซึม ไม่อยากทำอะไร มันเลยกระทบกะงาน พอ wfh + กินยา ก็นอนเลย เจ้านายเลยสั่งให้เข้ามาออฟฟิศสัปดาห์ละ 2-3 วัน เช้าวันที่นัดให้เข้าออฟฟิศก็มารอจะสอนงานดูงานว่าติดปัญหาอะไร ก็โทรมาบอกว่า กินยาละง่วง ตื่นสาย ขอไม่เข้า เอวัง

ไม่รับที่อ้างว่าติดนู่นติดนี่ทำให้งานช้างานเลทนะ บาน

ทุกวันนี้น้องเขาก็ยังทำงานอยุ่นะ แต่ก็โยนงานอะไรที่สำคัญให้ไม่ได้อะ ให้งานเลเวลเท่ากะเด็กจบใหม่ทำอะ

นี่ก็มีคุยกะเจ้านายเนืองๆ ตอนนี้ในอุตสาหกรรม หลายๆ บ ก็เลออฟคนแทบทุกที่ น้องคนนี้ก็เป็นข่ายจะโดน แต่เจ้านายก็กัวว่าตัดสินใจอะไรไปเด๋วเกิดเหตุอะไรมาก็รู้สึกผิดอีก

ส่วนตัวเลือกไม่รับ เพราะเราไม่อยากมาแบกรับตวามเสี่ยง ไหนจะต้องคอยเทคแคร์สอดส่องสังเกตอาการ

ถ้าเครียดกะงาน โพสระบายก่อนเกิดเหตุอะไรขึ้นมา ทัวร์ลงเหมือนเคสนี้ซวยอีก

ใช่คับ พี่สาวผมก็เป็น ทุกวันนี้ก็ยังไม่หายดี ต้องกินยาตลอด ขาดยาขึ้นมาอาการแย่มาก

จริงๆก้เอาเป็นผลตรวจรวมๆ mental heath คล้ายๆใบรับรองแพทย์ก้ได้นะครับ ต่อไปก้ใช้ใบรับรองแพทย์2ใบทั้ร่างกายและสภาวะทางจิตใจ

ก้แบ่งเป็นระดับให้มันชัดเจนตามความรุนแรงและระยะเวลาการรักษา ผมว่ามันดีกับทุกฝ่ายนะครับทั้งตัวนายจ้าง เพื่อนร่วมงาน และลูกจ้างเอง

ควรไปรักษาก่อนนะ กระทบเพื่อนร่วมงาน

คุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินคำนี้ครับ เป็นโรคจิตเภท

แต่ผมแยกไม่ออกว่ามันต่างกะซึมเศร้ายังไง

เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับเคมีในสมองเหมือนกันใช่ไหมครับ

ถ้ามันมีผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงานมันก็ต้องประเมินนะ

อย่างถ้างานที่จบด้วยตัวเอง ผมว่าไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้ามันต้องประสานหลายฝ่ายแล้วทำให้ติดขัดดันไปหมดก็ไม่ดีมั้ง


คือเข้าใจได้ว่าไม่สบาย แต่ถ้าทำให้งานมันมีปัญหาหรือเพื่อนร่วมงานมีภาระเพิ่มขึ้นยาวๆผมว่าก็พูดยาก


ถ้าผมเป็นเพื่อนร่วมงานเอาจริงๆแรกๆก็เข้าใจแต่ถ้าเราต้องคอยมารับภาระไปเรื่อยๆเพิ่มขึ้นๆบางทีมันก็ไม่ใช่มั้ง

แล้วแต่งานจริงๆ บางงานที่ต้องพบหมอจิตก่อนก็ไม่ควรรับคนซึมเศร้าเข้ามา

ทำไมคนใน SS โหดร้ายกันจังเลย
สุดท้ายแล้วมันก็ต้องประเมินสัมภาษณ์ก่อนอยู่ดีหรือเปล่า การไปปักธงแบบนี้
มันยิ่งทำให้คนที่เค้าเป็นอยู่แล้วเค้าแย่ขึ้นหรือเปล่า เค้ายิ่งมองเค้าเป็นปัญหาหนักกว่าเดิมหรือเปล่า?

ที่ทำงานผม มีผมเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว ที่ทำงานรับรู้ เจ้านายรับรู้ เค้าก็ถามว่าเค้าทำไรได้บ้าง
ผมก็บอกปกติได้เลยครับ อาจจะโชคดีที่ ที่ทำงานไม่ได้เป็น TOXIC environment ด้วย เลยไม่ได้กระตุ้นมาก
ทำงานได้ปกติ มีช่วงดิ่งและคึก สลับกันไปกินยาไปเรื่อยๆ แต่งานไม่เคยเสีย ทำได้ดี เพราะช่วงคึกนี้ไอเดียกระฉูดมากๆ จนตำแหน่งขึ้นมาเรื่อยๆ เงินเดือนโตทุกปี โบนัสครบ

อีกคนเป็นแพนิค ก็กินยารักษา ทำงานได้ปกติเหมือนกัน

สุดท้ายแล้วแค่ทุกคนเข้าใจกันและกัน สภาพแวดล้อมมันจะไม่แย่หรอก ไปกระตุ้นอะไรให้มันเกิดหรอก

เคยทำงานกับรุ่นพี่คนนึงบอกว่าเป็นซึมเศร้า ไม่รู้เป็นระดับไหนยังไงแต่ทำให้คนอื่นลำบากมาก ขี้เกียจ เอะอะปวดหัว ไมเกรน คือแกอาจจะป่วยจริง แต่ตัวแกไม่น่าเห็นใจเลย การกระทำต่างๆ

ปัญหาอีกอย่างในสังคมทุกวันนี้คือ มีคนใช้โรคซึมเศร้าเป็นยันต์กันภัย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจโรคนี้