ชีวิตเราไม่ได้เป้นเส้นตรงขนาดนั้นหรอกครับ
บางคน เก็บได้ 10 ปี แม่เป็นมะเร็ง
ใจคอท่านจะไม่ถอนเงินหลักล้านมาช่วยแม่เลยเหรอ
บางคน เก็บได้ 2 ปี รถชน พิการ
เงินที่ควรเก็บเดือนละ 5 หมื่น จะต้องเอามาใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล
บางคนเก็บได้ 5 ปี อยากแต่งเมีย ขอเมียไป 2 ล้านเป็นค่าสินสอด 10 ล้านซื้อบ้านดีๆสวยๆ
มีลูกอีก 2 คน ค่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่
ปัจจัยชีวิตมันเยอะแยะกว่าการคำนวนอยู่แล้ว
แต่คนไม่เริ่มเลย น่าสงสารกว่าเยอะ พวกที่เริ่มแล้วไม่ถึงแบบที่คุณว่า ยังดีกว่า ไม่เริ่มแล้วถ่มถุยคนอื่นไปอีก
ผมให้กำลังใจคนเริ่มเก็บเงินและลงทุน ต่อให้เริ่มเดือนละ 500 เดือนละ 1 พัน อย่าหมิ่นเงินน้อยคนอื่นครับ

เอาสูตรไปใช้คำนวน -> ใช้ได้จริงทุกกรณี
เอาไปใช้เเล้วรวยจริงไหม -> return ต้องไม่เป็นลบและควรจะคงที่หรือมากขึ้นทุกปี

ข้อมูลในอดีตไม่ได้บอกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ทั้งหมดเป็นเพียงความน่าจะเป็นซึ่งเราควรจะมีการกระจายความเสี่ยงไว้ตามที่เราเห็นสมควร

สุดท้ายเเล้วมันก็อยู่ที่การเลือกอยู่ดี

คือถ้าทนได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างตลาด-20%ติดกัน3ปีก็ทนได้ ได้กำไรก็ไม่เอาออกมาปล่อยทบต้นไป
ก็จะได้10%ใช่ไหมครับ

ที่ผ่านมา 150 ปี ใช่ครับ แต่อนาคตสุดแล้วแต่ความคิดแต่ละท่านครับ ไม่มีใครมองออด 100%

เข้าใจครับ แต่ประเด็นคือพอเราลงเงินจริงแล้วเจอสถานะการณ์จริงตอนมันลง มีกี่คนที่ใจนิ่ง แล้วจะมีซักกี่คนที่จะไม่กังวัล

ลองจินตราการถ้าท่านลงทุนปี 2000-2003 , 2007-2008 ,2022 ลงปุ๊บเงินติดลบดิ่ง จะมีซักกี่คนที่ทนเห็นเงินตัวเองลบได้ ตรงข้ามบางคนโชคดีเข้าตลาดขาขึ้นแบบผม รึคนเข้าช่วง 2009 คงชิลๆเพราะเข้าปุ๊บกำไรยาวๆนานๆ จะลงก็ไม่เข้าทุน แจ่คนที่เข้าเนื้อไปแล้วแหละจะ Cut ไหมนั่นแหละครับ อีกอย่างเหมือนก่อนหุ้นเมกาไม่ได้ลงทุนง่ายแบบปัจจุบันด้วยครับ

จริงมันมีอีกแบบ reverse fear เช่นกัน กลัวว่าตลาดแพงเกินไม่กล้า DCA กลัวดอย แล้วตลาดก็พุ่งๆๆๆๆขึ้น

ถ้ากดตามสูตรมันก็ได้นั้นแหละครับ

แต่ชีวิตจริงมันมีตัวแปรเยอะ ลำพังแค่ความต่อเนื่องของจำนวนเงินลงทุนและผลตอบแทนก็คุมได้ยากมากๆแล้ว

มันก็ทำได้แค่ลงมือทำให้ดีที่สุดแล้วผลตอบแทนจะเป็นไงค่อยไปลุ้นเอาอีกที

ใช่ครับ พอลงทุนจริงๆมันมีหลายตัวแปรทำให้เรากลัว เซียนหลาบๆคนเลยเชียร์ว่า DCA บางส่วนเพระาเราไม่รู้อนาคตแล้วกักอีกส่วนไว้ ช้อนตอนวิกฤต

half truth

8% ต่อปี ใจต้องนิ่งมากนะ

แล้วตลาดหุ้นไทยตอนที่ช่วง 1990-2020 นี่โตเท่าไหร่ครัยและโอเคไหมครับ

ออมเป็นเงินสดนี่โคตรซื่อบื้อเลยนะครับ ขอเตือน เวลาผ่านไปซื้อไรได้

นึกถึงตอนบาทเดียวซื้อก๋วยเตี๋ยวได้

แย่ที่สุดของการลงทุนคืนต้องได้มากกว่า 14-15%

น้อยกว่านี้ซื้อทอง หรือศึกษาเรื่องเงินเถอะ

ในทางทฤษฎีมันจริง 100% ครับ เพราะเป็นหลักคณิตศาสตร์ แต่ในชีวิตจริงมันทำได้ยาก

ลองนึกภาพคุณต้องเก็บเงินทุกเดือน 50K เป็นเวลา 30 ปี ห้ามถอน ห้ามเอาออกไปใช้

ดอกเบี้ยที่ได้ต้องเอาไปลงทุนเพิ่มอย่างเดียว จะมีซักกี่คนที่ทำได้

5 ปีอาจจะยังไม่เห็นผลเท่าไหร่ครับ ดอกเบี้ยทบต้นมันจะทรงพลังตอนปีท้ายๆ 20+ ปี แต่วัดเรื่องวินัยการเงินเราได้

ท่านต้องคิดแบบนี้ก่อนว่า

คนรวย 100 ล้าน 1000 ล้าน อาจจะมีแค่ 0.01% ของโลกนี้

ซึ่งหมายถึงว่า 10,000 คน จะมี 1 คนที่รวย

แปลว่า คนปกติทั่วไปที่ท่านเจอทุกวัน จะไม่ใช่คนที่รวยครับ ก็คือคนส่วนใหญ่

และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความรู้เรื่องการเงิน

หมอ หมอฟัน นักบิน เค้าเก่งครับ เค้าเก่งในสายอาชีพเค้า แต่ไม่ได้การันตีว่า ทุกคนจะเก่งเรื่องการเงิน

ดังนั้น ไม่แปลกครับ ที่ท่านบอกว่า ทำไมไม่ค่อยเจอคนที่รวยๆหลัก 100 ล้าน

เพราะ 10,000 คนที่ท่านเจอ ท่านจะเจอคนที่ไม่ได้รวยระดับนั้น 9,999 คนครับ

ส่วนการลงทุนถามว่า พลังดอกเบี้ยทบต้นมันได้จริงมั้ย ถ้าตามทฤษฎีมันก็ได้จริงครับ

มันเป็นคณิตศาสตร์ เหมือน 1+1=2

แต่ชีวิตจริง มีน้อยคนมาก ที่จะทำได้ เพราะขาดวินัย ในการทำอย่างสม่ำเสมอ

ท่านคิดว่า จะมีกี่คน เก็บเงินเดือนละ 50,000 ทุกเดือน ไปตลอด 25 ปีได้

มันก็จะมีเรื่องเข้ามาให้ใช้เงิน เช่น เดือนนี้อยากได้มือถือ จะซื้อบ้านใหม่ ซื้อรถใหม่ พ่อป่วย แม่ป่วย

ญาติยืม อยากไปเที่ยว ของมันต้องมี ค่าเทอมลูก ค่านู่นนี่นั่นของลูก

จาก 50,000 ก็จะลดลงไป ซึ่งยิ่งถ้าไม่มีวินัยในการใช้เงิน ก็อาจจะไม่เหลือเก็บ

ดังนั้น การที่คุณจะเอาเงินมาลงทุน คุณต้องกันเงินออกมาก่อน ว่าจะเอามาลงทุนเดือนละเท่าไหร่

ให้ไม่กระทบชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ ได้เงินเดือน 70,000 กันมาลงทุน 50,000 ทำได้ไม่กี่เดือนหรอกครับ

แต่ถ้ากลับกัน ได้เงิน 70,000 กันเงินออกมาซัก 20,000 บาท ตัดอัตโนมัติทุกวันเงินเดือนออก

แล้วอีก 50,000 คุณก็ไปบริหารต่อ ว่าจะเอาไปทำอะไรบ้าง กินเท่าไหร่ ผ่อนบ้านรถเท่าไหร่ เงินฉุกเฉินเท่าไหร่

ดังนั้น การที่จะทำได้ มันอยู่ที่ การวางแผนการเงิน ซึ่งไม่ได้รวมแค่รายรับรายจ่ายนะครับ

จะมีการโอนย้ายความเสี่ยงด้วย เช่น ทำประกันสุขภาพ

เงินสำรองฉุกเฉิน 3 เดือน - 1 ปี

เงินสำหรับจ่ายหนี้ ไม่เกินกี่ % ของรายได้

เงินสำหรับใช้จ่ายฟุ่มเฟือยบ้าง ไม่ใช่อยู่แบบไม่ซื้ออะไรเลย แฟนชวนไปเที่ยวก็บอกเสียดายตังค์

ดังนั้น ต้องกลับมาทำ รายรับรายจ่าย ล่วงหน้า ซัก 12 เดือน วางแผนล่วงหน้าไปว่า เราจะมีจ่ายอะไรบ้างเดือนไหน

ถึงจะรู้ว่า ควรเก็บเดือนละเท่าไหร่ครับ

หลักๆมันอยู่ที่สภาพคล่องครับ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน

ถ้าท่านมีรายได้เดือนละ 1,000,000 เก็บ 50,000 รู้สึกยังไงครับ ชิวๆใช่มั้ย

แต่ถ้าท่านรายได้ 70,000 เก็บ 50,000 อันนี้หนักแล้ว

ลองดูสัดส่วนรายได้กับเงินออมที่ทำให้ชีวิตท่านมีความสุขด้วย และ มีเงินออมด้วยดีกว่าครับ