รีวิวFinal Fantasy VII Rebirth[No Spoil]
จากการเล่นแบบเร่งเอาให้จบรอบแรกประมาณ 45 ชม. ช่วง10ชม.แรกมีจังหวะที่พยายามเล่นเก็บรายละเอียดพอสมควร
ไม่ว่าจะเป็นมินิเกม Side Quest หรือออกสำรวจตามจุดต่างๆในพื้นที่ประมาณ 2 เมืองแรก
จากนั้นเดินเรื่องหลักยาวๆเต็มที่เพื่อหวังจะหลบสปอย ซึ่งหลังจากเล่นจบก็ต้องพูดตามตรงว่ามึน
จากคนที่เล่นทั้งภาคOriginal Crisis Core Remakeและดูหนังอย่างAdvent Childrenมาก่อน
ไม่แนะนำให้คนที่จะเล่นภาคRebirthเล่นแค่Remakeก่อนแล้วจับRebirthต่อเลย ไม่งั้นท่านจะงงมาก
เพราะจะมีฉากที่ตัดสลับกันไปมาค่อนข้างมาก แล้วจะไม่เข้าใจว่าแต่ละฉากมันสำคัญยังไงทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ที่เกมต้องการจะสื่อ
เกมทำออกมาสำหรับคนที่เป็นแฟนพันธ์แท้ภาคVIIมากจนเกินไป เรียกว่าFan Serviceแบบจัดเต็ม แต่ผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องราวมาก่อน
จะไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำของตัวละครนั้น โดยไม่มีการปูบทหรือขยายรายละเอียดเพิ่มเติม
คือมีปูบ้างแต่ไม่ได้ลึกจนอาจทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าน้ำหนักมันไม่มากพอที่ตัวละครตัวนั้นจะตัดสินใจลงมือทำ
สำหรับเกมนี้จากต้นฉบับทางผู้สร้างต้องการจะสื่อให้ผู้เล่นรู้สึกถึงคำว่ามิตรภาพ ความรัก ความหวัง ความเศร้า การสูญเสีย
เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชีวิตของทุกคน โดยแต่ละคนก็จะมีปมที่อยู่ในใจของตัวเอง หรือสิ่งที่ผลักดันให้ชีวิตมายืนอยู่ ณ จุดๆนี้ได้
โดยการดำเนินเรื่องมองว่าเรียงลำดับเรื่องราวได้ดี และสื่ออารมณ์ถึงผู้เล่นให้จดจ่ออยู่กับเกมได้ยาวนาน จากองค์ประกอบที่ใส่เข้ามาในเกม
โดยเลือกดึงจุดดีของเกมๆอื่นมาผสมผสานกัน ทำให้เกมมันสมบูรณ์มากขึ้น และด้วยความที่ภาคนี้ทำออกมาเป็นแนวOpen World
ซึ่งเกมแนวนี้จะมีจุดอ่อนหลักๆที่สำคัญเลยนั่นคือแมพใหญ่แต่กลวง แต่ทีมผู้สร้างก็ได้พยายามปิดจุดอ่อนดังกล่าว
ซึ่งส่วนตัวแล้วผมมองว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี อาจจะปิดจุดอ่อนข้อนี้หมดเหมือนElden Ringไม่ได้แต่ก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของผู้สร้างที่อยากทำออกมาให้ดีจริงๆ
จุดอ่อนหลักๆของRebirthก็คือเรื่องงานภาพในช่วงที่ให้ผู้เล่นบังคับที่ต้องใช้คำว่านี่มันความละเอียดระดับ720Pชัดๆ
หน้าตัวละครก็แข็งอย่างกับตุ๊กตายาง คือมัวไปหมดเหมือนงานภาพจากการเล่นบนเครื่องNintendo Switchเลย
แต่ด้วยความที่จุดเด่นของเกมเป็นแนวStoryเพราะงั้นก็จะมีการตัดเข้าคัทซีนแทบทั้งเกมอยู่แล้วซึ่งงานภาพตอนคัทซีนสวยมาก
ประกอบกับตอนเข้าสู่ฉากBattleผู้เล่นจะจดจ่ออยู่กับการต่อสู้มากกว่างานภาพ จึงทำให้จุดอ่อนเรื่องงานภาพถูกมองข้ามไป
จุดดีอีกอย่างคือเรื่องของSoundtrackประกอบฉากที่คอยเสริมตัวเกมให้การสำรวจไม่น่าเบื่อจนเกินไป
ถ้าหลายท่านนึกไม่ออกให้นึกถึงตอนเล่นเกมThe Witcher 3 ได้เลย ถึงแม้จะไม่Masterpieceเท่า
แต่ก็ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของFF VII รวมถึงน้องChocoboด้วย
ในส่วนของSide Questเดิมทีผู้สร้างให้สัมภาษณ์ว่ามีแรงบันดาลใจจากThe Witcher 3
ซึ่งจากการได้ลองสัมผัสแล้วก็ต้องบอกว่าทำออกมาได้ดีพอสมควรและฉลาดในการเอาระดับความสัมพันธ์กับตัวละครมาใส่ในเควส
โดยเฉพาะคัทซีนประกอบเควสที่ตั้งใจทำออกมา ทำให้ดึงดูดผู้เล่นให้อยากทำเควสมากยิ่งขึ้น รวมถึงของรางวัลหรือสิ่งตอบแทนที่ได้ก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์
อาจจะไม่ถึงกับบังคับผู้เล่นว่าต้องทำเควสเท่านั้น แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก
ถ้าใครอยากเสพเกมที่เน้นStoryจากการดูคัทซีนยาวๆสามารถเล่นเกมนี้ได้เพลินๆเลย
แล้วด้วยThemeของFF VII จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกFeel Goodกับการใช้เวลากับเกมนี้(เป็นส่วนใหญ่)
โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับตัวละครที่น่าดึงดูดอย่างAerith และ Tifa ที่ออกมาทีไรก็สะกดให้ผู้เล่นหลงรัก
ในขณะที่ตัวประกอบตัวอื่นก็มีบทบาทบ้าง ไม่ได้จางหายไปจนไร้ความสำคัญแต่อย่างใด
ซึ่งส่วนตัวแล้วมองว่าผู้สร้างให้ความสำคัญกับตัวประกอบพอสมควร จะมีบางช่วงที่Partyถูกล็อกไว้ให้ต้องเดินเรื่องต่อกับตัวละครบางตัวเท่านั้น
ถ้าไม่ทำแบบนี้เชื่อได้ว่าผู้เล่นคงจะเลือกแต่AerithและTifaเข้ามาในPartyอย่างเดียวแน่นอน ฮาเร็มน้อยๆ
ระบบCombatหากใครเคยเล่นRemakeมาก่อนแล้วรู้สึกไม่สนุก สำหรับภาคRebirthก็ได้มีการอัพเกรดระบบCombatมากยิ่งขึ้น
ซึ่งส่วนตัวผมแล้วในภาคRemakeผมเฉยๆมากค่อนข้างไปทางไม่สนุกเพราะเล่นต่อจากTales of Ariseจึงโดนเปรียบเทียบอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่พอเป็นRebirthต้องบอกเลยว่ามันส์พะย่ะค่ะ ซัดกันนัวมาก แถมยังเปิดโอกาสให้เรากดท่าให้เพื่อนเข้ามาช่วยทำDamageอีก อันนี้ขอชมกับพัฒนาการ
โดยรวมแล้วถือเป็นเกมที่ดีครับ จะมีช่วงที่เรารู้สึกสนุกอมยิ้มหัวเราะขำขันและก็จะมีบางช่วงที่สลับไปตึงเครียดหน่วงๆบ้างแต่ส่วนใหญ่Feel Goodมากกว่า
ถ้าจะให้ตัดเกรดให้คะแนนก็ขอให้ที่ 8/10 ครับ จากองค์ประกอบโดยรวมของเกมและสิ่งที่เกมสื่อแค่บางจุดไม่สามารถสื่อไปไม่ถึงจุดที่คาดหวังได้ก็เท่านั้น
ด้วยความที่เป็นเกมแนวStoryแต่ดันไม่สามารถสื่อไปให้ผู้เล่นรู้สึกอินได้เหมือนกันเกมอย่างThe Witcher3 หรือ RDR2
ส่วนถ้าให้ตัดเกรดในฐานะแฟนของภาคVIIแล้วต้องบอกว่าน่าผิดหวัง แต่ขอไม่ลงรายละเอียดเพิ่มเติม
ปล.คือมาเขียนรีวิวไว้แค่อยากให้ตัวเองจดจำโมเม้นท์ความประทับใจครั้งแรกเฉยๆว่าตัดเกรดให้เกมนี้ที่เท่าไร
แล้วรอดูว่าเล่นรอบ2-3ไป จะยังรู้สึกเหมือนเดิมไหม เหมือนการเล่นเกมElden Ring ที่รอบแรกผมไม่ชอบ
ยังสงสัยอยู่เลยว่าGOW Ragnarokแพ้ได้ไง แต่พอเล่นรอบ 2 - 3 ผมถึงเข้าใจ