ThisIsMelo พิมพ์ว่า:
กว่าจะได้ยูสมา พิมพ์ว่า:
ขอเล่าในมุมมองของพ่อแม่ฝ่ายหญิง จากประสบการณ์ตรงของผมแล้วกันครับ
ในฐานะที่ตัวผมเองก็ต้องเตรียมสินสอดไว้ตอนขอแฟนเหมือนกันครับ เตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มมีแผนจะแต่งเลย
เพราะคิดว่ายังไงบ้านแฟนต้องขอให้เราเตรียมเงินมาวางแน่ๆ โดยเหตุผลหลักๆ ที่แฟนผมเล่าให้ฟังคือ
1. บ้านแฟนผมค่อนข้างมีฐานะ เลี้ยงลูกมาไม่เคยลำบาก เค้าอยากรู้ว่าเรามีความสามารถในการดูแลลูกเค้าแค่ไหน เอาตั้งแต่ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราบริหารรายได้ของเราอย่างไร
2. สินสอดที่เค้าเรียกให้มาวางนั้น เค้าคืนให้ทุกบาท แต่มีข้อแม้ว่าห้ามกู้ หรือยืมมาวาง โดยกำหนดขั้นต่ำไว้ แต่สุดท้ายก็เจรจาได้ครับ ถ้าหาไม่ทันจริงๆ
3. ค่าใช้จ่ายในการจัดงาน ของรับไหว้บางส่วนทางพ่อแม่ฝ่ายผม และฝ่ายแฟนผมช่วยออกด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้ภาระไม่ได้มาตกที่ผมมากไปนัก
ตัวผมเองก็ยินยอมที่จะทำตามเงื่อนไขที่เค้าวางไว้ครับ เพราะจากที่คุยกันก็รู้ว่าท่านไม่ได้ต้องการเงินอะไรของเรา แค่อยากให้มั่นใจว่าเราดูแลลูกเค้าได้ แถมตอนหลังก็มีแถมเงินมาให้อีก
ผมคงไม่ได้สรุปว่าทุกครอบครัวจะเป็นแบบครอบครัวแฟนผม แต่ผมคิดว่าบางทีมันก็มีเหตุผลของการเรียกสินสอดครับ ไม่ได้ใช่ว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะอยากได้เงินเพียงอย่างเดียว
ในฐานะผู้ช่าย ก่อนที่ผมจะแต่งงานกับใคร ผมก็อยากที่จะพิสูจน์ตัวเองในการเก็บเงิน สร้างฐานะเหมือนกันครับ ถ้ารักเค้า แต่เราไม่มีปัญญาเก็บเงินสร้างตัวเนี่ย ไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างอะไร ผมว่าฟังไม่ขึ้นทั้งนั้นครับ
เคสท่านก็อีกเคสครับ อันนี้พอจะพูดได้ว่าพ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ได้ต้องการเงิน
แต่ในทางกลับกัน ผมสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ฝั่งผู้ชายถึงไม่อยากพิสูจน์ความสามารถในการบริหารเงินของฝ่ายหญิงบ้างครับ คือชีวิตคู่สมัยนี้มันต้องทำงานและบริหารเงินทั้งคู่ถูกมะ ถ้ามีฝ่ายนึงเละเทะก็ลำบากเหมือนกัน สมมุติท่านรับผิดชอบได้ แต่แฟนท่านดันผลาญหมด(ย้ำว่าสมมุติ) แบบนี้มันก็แย่ เหมือนใน SS ที่มีเคสมาเล่าว่าโดนแฟนดูดเป็นปลิง เป็นต้น
แต่ตรรกะสินสอดมันตลกคือส่วนมากแล้วผู้ชายเป็นฝั่งที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งๆที่การแต่งงานต้องการความรับผิดชอบจากทั้ง 2 ฝ่าย
ปล. แต่ในความเห็นผมคือ ลูกโตขนาดนี้ หาเงินเองได้แล้ว คิดเองเป็นแล้ว ผมยังมองไม่เห็นว่าพ่อแม่จะสร้างเงื่่อนไขเป็นเม็ดเงินทำไมในการจะให้ลูกแต่งงาน เตือนหรือให้คำปรึกษาก็เพียงพอแล้ว ถ้าเรามีลูกแล้วต้องคำนึงว่าเราไม่ใช่เจ้าของชีวิตเค้าครับ ถึงจุดนึงรู้จักลดบทบาทตัวเองลงได้แล้ว
ขออนุญาตแสดงความเห็นหน่อยนะครับ
จากประโยค Comment ที่ว่า "ในฐานะผู้ช่าย ก่อนที่ผมจะแต่งงานกับใคร ผมก็อยากที่จะพิสูจน์ตัวเองในการเก็บเงิน สร้างฐานะเหมือนกันครับ ถ้ารักเค้า แต่เราไม่มีปัญญาเก็บเงินสร้างตัวเนี่ย ไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างอะไร ผมว่าฟังไม่ขึ้นทั้งนั้นครับ"
อันนี้อ่านแล้ว ผมนับถือความตั้งใจของท่านนะ แต่ผมลองคิดว่า สมมติเป็นกรณีที่ผมรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง
เขารวยกว่าผมมาก แต่ผมกำลังเพิ่งสร้างเนื้่อสร้างตัว วัย 30 ปี ครอบครัวผมไม่รวย ผมทำงานกินเงินเดือนระดับค่าเฉลี่ย เงินเก็บเผลอๆแค่หลักแสนบาทก็เก่งมากแล้ว หนักกว่านั้นอาจจะมีแค่บ้านที่กำลังผ่อน หรือคอนโดที่ได้แต่เช่าอยู่
... ซึ่งในทางปฏิบัติ คิดว่าผมต้องใช้เวลากี่ปีเพื่อเก็บเงินไปเป็นสินสอดให้เขาซัก 1 ล้านบาทครับ
สมมติผมต้องใช้เวลา 5 ปี ถ้าฝ่ายหญิง (แฟนเรา) อายุประมาณเรา
เท่ากับว่า เขาต้องรอเราเป็นเวลา 5 ปีจนเขาอายุ 35 เลยใช่ไหมกว่าผมจะมีความเหมาะสมที่จะดูแลเขาได้
คำถามคือเขาจะรอได้ไหม หรือผมจะถูกประเมินเลยว่า ไม่เหมาะจะดูแลให้ลูกสาวเขาสบายได้ และต้องเลิกรากันไป
เอาง่ายๆคือถ้ามองในมุมของท่านที่ผม Quote มา
ผมไม่ได้ว่าท่านคิดผิดนะ แต่วิธีคิดแบบนี้เท่ากับว่า ผมแต่งงานได้กับเฉพาะคนที่ฐานะใกล้เคียงกันมากๆเท่านั้นเลยนะครับ เพราะพอไปแต่งกับสาวที่บ้านรวยกว่า แล้วถ้าผมไม่สามารถยกระดับฐานะตัวเองขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เท่ากับว่า ผมสอบตก โดนประเมินว่าเป็นคนที่ไม่สามารถดูแลลูกสาวเขาได้เลยงั้น
ทั้งๆที่ผมก็อาจจะเป็นคนที่ทำมาหากินสุจริต ไม่ขี้เกียจ รักจริง ซื่อสัตย์ และอื่นๆ แต่ผมเพียงแค่หาเงินได้่ไม่เท่าระดับที่เขา (และครอบครัวเขา) หาได้
---------------------------------------------------
สำหรับประโยคของท่าน ThisIsMelo
"แต่ในทางกลับกัน ผมสงสัยว่าทำไมพ่อแม่ฝั่งผู้ชายถึงไม่อยากพิสูจน์ความสามารถในการบริหารเงินของฝ่ายหญิงบ้างครับ"
อันนี้ผมเห็นด้วยนะว่า ทำไมมองแต่ในมุมที่ผู้ชายต้องพิสูจน์ตัวเองเรื่องการหาเงิน การสร้างเนื้อสร้างตัว แล้วฝ่ายหญิงหล่ะ ไม่มีส่วนรับผิดชอบตรงนี้หรอ?
คือผมมองว่า ถ้าแต่งงานกัน มันก็สร้างเนื้อสร้างตัว สร้างฐานะร่วมกันไปก็ได้ไม่ใช่หรอ
การที่ฝ่ายชายต้องเอาสินสอดมาวาง เพื่อจะพิสูจน์อะไรก็แล้วแต่
มันเหมือนยังอิงกับแนวคิดว่า ฝ่ายชายต้องรับภาระเลี้ยงดูฝ่ายหญิง
(ก็เหมือนที่ยูสท่าน ThisIsMelo กล่าวไว้อ่ะ คือแล้วทำไมกลายเป็นแค่ฝ่ายชายต้องพิสูจน์?)
ต้องพร้อมมากมาแล้วทางด้านการเงินเพื่อให้ฝ่ายหญิงสบายไรงี้ ทั้งๆที่ชีวิตคู่มันก็รับผิดชอบร่วมกันสองฝ่าย
1.ปัญหาเรื่องการคบแฟนต่างฐานะนี่บอกเลยว่าสินสอดเป็นแค่ประตูบานแรกที่ท่านต้องเจอครับ ถึงท่านไม่เจอเรื่องสินสอด ต่อไปท่านก็จะเจอเรื่องรสนิยม ความสามารถ การเป็นหัวหน้าครอบครัว คำพูดจากคนรอบข้าง ปัญหาอีกล้านแปดครับ สินสอดเลยเป็นเรื่องเล็กเลยครับ
ทีนี้ถ้าเรากำลังสร้างตัว และลงมือทำอยู่จริงๆ ผมว่าคนที่จะช่วยท่านในการพูดคุยเรื่องสินสอดก็คือแฟนท่านนี่แหละ ถ้าเราลงมือทำให้เห็น แฟนเรารักเราจริงๆ ยังไงเรื่องนี้ผมว่าไม่น่าจะยากนะครับ แต่ถ้ามันยากผมแนะนำให้ถอยดีกว่า แสดงว่าเราไปกับครอบครัวนี้ไม่ได้แน่ๆ ครับ
2. อย่างที่ผมตอบไปกับท่าน ThisIsMelo หน้าที่ผู้หญิงต้องพิสูจน์แน่ครับ ตัวท่านเองนี่แหละที่เป็นคนตัดสินตั้งแต่ก่อนจะขอเค้าแต่งงานอีก
3. เรื่องฝ่ายหญิงสบายนี่แล้วแต่คู่จริงๆ ครับ ผมคงไม่ตัดสินคนอื่น พอดีผมเองหลังจากแต่งงานก็ได้แฟนผมช่วยเรื่องธุรกิจหลายๆ เรื่อง ครอบครัวแฟนผมก็ช่วยผมหลายๆ เรื่องเหมือนกัน ดังนั้น สรุปคือ มันขึ้นอยู่กับคนสองคนจริงๆ ครับ ว่าสินสอดเนี่ยมันจำเป็นไหม และท่านพร้อมที่จะทำไหม