เรียกร้องพ่อแม่หยกชี้ทางสว่างให้ลูกที่หลงผิด
บางส่วนจากจดหมายเปิดผนึกจากสมาคมผู้ปกครอง
เราขอเรียกร้องแก่ทางโรงเรียน ขอความอนุเคราะห์จากทางโรงเรียน
เราขอความชัดเจนในสถานะความเป็นนักเรียนของน้องหยก ทั้งนี้เราเข้าใจความปรารถนาดี ที่โรงเรียนต้องการให้เด็กที่ไม่มีชื่อในระบบได้เริ่มต้นใหม่ ตามฎกติกาของหน่วยงานการศึกษาภาครัฐ โดยให้โอกาสมาเรียนเพื่อรอกระบวนการจัดหาที่เรียนใหม่ และได้อยู่กับเพื่อนๆ แต่เขาคงไม่สามารถยอมรับการกระทำที่กระทบสิทธิของนักเรียนคนอื่น กระทบการจัดการการเรียนการสอน กระทบจิตใจนักเรียนคนอื่นที่ต้องนั่งเรียนแบบหวาดระแวงอีกต่อไป
เราขอเรียกร้องไปยังพ่อและแม่ของน้องหยก
การปรากฏตัวออกมาของพ่อแม่จะชี้ทางสว่างให้ลูกที่หลงผิดได้ ไม่ว่าลูกของท่านจะทำผิดอย่างไร เมื่อดำเนินแก้ไขตามกฎกติกาแล้ว ลูกของท่านจะได้รับการให้อภัยจากสังคมเสมอ เราเชื่อว่าความโกรธของพ่อแม่ต่อลูก ยังมีค่ามากกว่าความรักที่ไม่ถูกทางของผู้ที่ไม่หวังดี
เราอยากสื่อสารถึงน้องหยก ด้วยความปรารถนาดีอย่างตรงไปตรงมาว่า “เราไม่อยากเห็นลูกกระทำผิดอีก ไม่ว่าแรงผลักดันของลูกนั้นมันจะเกิดจากความอยุติธรรมใด ๆ ที่มีขึ้นในชีวิตของลูก
ไม่ว่าความอยุติธรรมนั้นจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือลูกอาจเข้าใจผิด หรือมีการทำให้เข้าใจผิด” เราจะเอาใจช่วยให้ลูกกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง อีกไม่นานทุกอย่างรอบตัวลูกจะกลับมาดีขึ้น ความรักจากเพื่อนๆ ที่ปรารถนาดีต่อลูก ก็จะกลับมา แต่สิ่งดังกล่าวจะเร็วขึ้น
ถ้าลูกกล้าพูดคำว่า “ขอโทษ”
อ่านฉบับเต็ม
https://www.sanook.com/news/9003606/
อย่างแรกเลย ผมไม่ค่อยโอเคกับเรื่องแม่หยกอยู่แล้ว ถ้าได้อ่านคอมเม้นท์หรือกระทู้ของผมบ่อย ๆ ก็จะรู้ว่าปกติผมจะค่อนข้างเห็นใจคนที่ถูกคุกคามโดยรัฐ แล้วก็พยายามเป็นปากเป็นเสียงให้นักกิจกรรม แต่กรณีของแม่หยกผมพยายามนึกเหตุผลร้อยแปดจะเข้าข้าง ก็ใช้แก้ต่างการเงียบหายแบบนี้ไม่ได้อยู่ดี สำหรับผมมันคือการไร้ความรับผิดชอบในฐานะผู้ปกครอง ไม่ว่าจะอ้างอะไร ผมก็ถกเถียงกับเพื่อนสมาชิกในนี้และในทวิตเตอร์เช่นกันว่าการตัดสินว่าผู้ปกครองหยกไม่มีความรับผิดชอบมันแฟร์ไหม ซึ่งไม่ว่าฝั่ง defend จะพยายามอ้างเหตุผลอะไร ผมก็คิดว่าฟังไม่ขึ้น
คือผมเคยเจอครอบครัวของนักกิจกรรมหลายคนในงานยืนหยุดขังบ้าง งานนู้นงานนี้บ้าง รวมถึงประสบการณ์ส่วนตัว ผมพอจะบอกได้ว่าครอบครัวคือ safety net ที่สำคัญมาก ๆ ของนักกิจกรรม โดยเฉพาะเยาวชน อย่างเพนกวิน, ไผ่, รุ้ง คุณจะไม่เห็นความแข็งแกร่งของพวกเขาขนาดนี้ได้เลย ถ้าไม่มีครอบครัวที่พร้อมจะเคียงข้างพวกเขาในทุกสถานการณ์
แล้วถึงส่วนตัวผมจะยังไม่เชื่อเรื่องการ manipulation ของกลุ่มทะลุวังตามที่มีข่าวออกมา (คุณต้องเข้าใจก่อนว่าในกลุ่มนักกิจกรรมมันก็มีเรื่องขัดแย้งและเป็นคู่กรณีกันอยู่) แต่ถ้าพูดถึงการแยกหยกออกมาและให้หยุดพักการทำกิจกรรม คนที่มีอำนาจทางกฎหมายเด็ดขาดก็คือแม่ที่เป็นผู้ปกครองตามกฎหมาย (ถึงผมจะคิดว่าทำไปแล้วก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจริง ๆ ก็ตาม)
แต่อย่างไรก็ตาม แม่ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหานี้ ถ้า scope เฉพาะเรื่องสิทธิการเข้าเรียนเนี่ย ตัวเริ่มต้นของปัญหามันคือโรงเรียน ไอ้มาอ้างเรื่องระเบียบการมอบตัวหรือแม้แต่การผิดกฏระเบียบโรงเรียนเนี่ย มาพูดกันตรง ๆ ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าจะไม่ให้เรียนเพราะอะไร ที่เหลือก็คือเล่นละคร หาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพื่อลดแรงต้านของสังคมและบีบให้หยกมันยอมออกไปเอง โดยที่ตัวเองปัดสวะไม่ต้องรับผิดชอบทั้งทางปฏิบัติและทางกฏหมาย
แล้วอ่านจดหมายเปิดผนึกจากสมาคมผู้ปกครอง สิ่งเดียวที่สมาคมเรียกร้องไปยังโรงเรียน โดยสรุปก็คือ เลิกให้หยกมาเรียนซะที แค่นี้เลย WTF มาก ๆ เนี่ย ประเทศมันเต็มไปด้วยผู้ใหญ่หน้าส้นตีนแบบนี้ จะเอาอะไรมาเข้าใจเด็ก จริง ๆ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่างนะ แต่อ่านจดหมายเปิดผนึกแล้วแม่งไม่ไหวจริง ๆ แม่งอยู่ระดับความ fuck up เดียวกับคำวินิจฉัยปัญญาอ่อนของศาลในคดี 112 ช่วงนี้เลย อ่านแล้วไมเกรนแดก
ในมุมผู้ปกครองจะเป็นห่วงสวัสดิภาพของบุตรหลานตัวเอง อันนี้ผมไม่ได้มีปัญหาเลยนะ เข้าใจได้อย่างดี แต่ทัศนคติอื่น ๆ ที่แฝงอยู่ในจดหมายเปิดผนึกนี้ส้นตีนมาก รู้ว่าเจอความอยุติธรรมมา แต่ความอยุติธรรมนั้นมันเกิดจากความเข้าใจผิดไปเองหรือป่าว (เข้าใจผิดพ่อง) เพราะถูกปั่นหัวมาโดยพวกชังชาติ เส้นทางที่เลือกเดินอยู่มันผิดนะ กลับตัวกลับใจแล้วขอโทษพวกกูซะ
แก่มาแล้วกะโหลกกะลาแบบนี้ อย่าแก่แม่มเลยเหอะ
คนที่หลงผิดคือผู้ใหญ่แบบพวกคุณนั้นแหละที่สร้างสังคมที่บีบคั้นและกดทับเยาวชนในอยู่ในกรอบแคบ ๆ แล้วถีบหัวส่งเด็กที่รู้จักตั้งคำถามมากเกินไป