พอดีว่าวันนี้ได้คุยกับ recruiter คนนึงแล้วมีหัวข้อที่น่าสนใจคือ เดี๋ยวนี้การเป็น specialist มีคุณค่าและมีค่าจ้างที่ไม่สะท้อนภาพความเป็นจริงหรือเปล่า ซึ่งคำว่า specialist ในบริบทของการคุยกันของผมคือ นักบิน แพทย์ ทนาย ฯลฯ ที่เป็นอาชีพเฉพาะทางมากๆ ที่ต้องเรียนต่อให้มากกว่าแค่ป.ตรี (เรียนแพทย์ เรียน CPL สอบเนติ ฯลฯ)

เพราะถ้าดูตลาดแรงงานในปัจจุบัน หลายๆอาชีพนี่รายได้แทบไม่ต่างกับหมอแล้วนะ (เทียบอายุเรียน+อายุงาน ความสามารถ ฯลฯ) เช่นเดี๋ยวนี้สายการตลาด ถ้าอยู่บ.ข้ามชาตินี่ 100-150k ก็มีเพียบเลย ถามว่าทำไมเทียบกับบ.ข้ามชาติ เพราะพวกทำงานบ.นี้ส่วนใหญ่ต้องได้ภาษาหรือต้องมีความสามารถระดับนึง ซึ่งก็เหมือนกับคนเรียนหมอที่ต้องมีความสามารถตั้งแต่ตอนเรียนแล้วส่วนนึงเช่นกัน หรือกระทั่งนักบิน ที่ค่าเรียน CPL เดี๋ยวนี้ก็น่าจะสามล้านแล้ว แปลว่าต้นทุนก็สูงอยู่แล้ว และรายได้ที่ได้รับ เซอร์ที่มี ถ้าเทียบกับสาย IT บางสายเช่น Cybersecurity หรือ Data Science ที่จ่ายพอๆกับเป็นผู้ช่วยนักบินสำหรับบางบริษัทแล้วด้วยซ้ำ

และพวกอาชีพเฉพาะทางนี้ก็เปลี่ยนสายงานยากกว่าด้วย คือแทบจะออกจากสายงานตัวเองไม่ได้เลย (หรือกระทั่งออกจากอุตสาหกรรมที่ทำงานอยู่) ขณะที่สายสามัญอย่างผมหรืออีกหลายๆคนที่เรียนกันมา เรามีตัวเลือกในการเลือกที่ทำงานเยอะกว่า กว้างกว่าและเติบโตได้มากกว่า หรือกระทั่ง curve ของรายได้ที่สายสามัญบางอาชีพอาจจะสตาร์ทต่ำกว่า แต่พอนานๆไปแล้วสูงกว่าสายเฉพาะทางก็ได้ เช่น auditor, financial controller ที่มีเซอร์ หรือคอนซอลท์ฯลฯ

และถ้าดูเทรนด์โลกตอนนี้ จริงๆอาชีพแบบแพทย์ควรจะได้ค่าตอบแทนเยอะกว่านี้ด้วย เนื่องจากว่าสังคมส่วนใหญ่เริ่มเข้าสู่ aging society ตรงนี้ดีมานด์มันก็มี แต่ไม่แน่ใจว่าทำไมการดึง talent เข้าไปทำงานถึงไม่ฟาดกันเหมือนฝั่งธุรกิจที่แทบจะตีหัวกันเพื่อดึงคนอยู่แล้ว โดยเฉพาะสาย Cybersecurity, AI, Data Analytics ที่ทุกวันนี้จ่ายกันแพงสุดๆ

ซึ่งบริบทด้านบน ไม่ได้เป็นแค่ในไทย แต่เป็นเกือบทั้งภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือกระทั่งฟิลิปินส์ด้วยก็เช่นกัน

อยากเริ่ม Data Analytics เเบบศึกษาเอง พอจะเป็นได้ไหม

ในกรณีที่ เเก่เกินเรียนมหาวิทยาลัย ผมว่าน่าจะยากเนอะ เพราะเค้าจะมั่นใจเเละเชื่อใจเราได้ไง

Consultant จะสายไหน ก็จงหนีไปปปปปปปปปปปปป

Specialist ยังคงมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่านะครับ

ในขณะที่สายสามัญ มีคนที่รายได้สูสีกันอยู่จริง อีกทั้งยังมีจำนวนพอๆ กัน

แต่อย่าลืมว่าคนพวกนี่คือยอดพีระมิดของสายอาชีพ เป็น tip of iceberg ที่ผลักดันตัวเองด้วยการเสียสละอะไรบางอย่างในชีวิตไป กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นะครับ

ความเสียสละในชีวิตแทบไม่ต่างกันเลย สำหรับผมนะ

หมออาจจะหนักตอนเรียน กับเรียนต่อ แต่หัวกะทิของสายสามัญจะหนักตอนทำงาน

เพราะ health care มันอยู่ก้ำกึ้งระหว่าง capitalism กับ socialism ไงครับในขณะที่สายเฉพาะทางอย่าง software engineer, data sci พวกนี้มัน capitalism 100%

หมายความว่า พวกหมอ บุคลากร สงการแพทย์ค่าตอบแทนมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ deman supply อย่างเดียว ยกเว้น รพ เอกชน ซึ่งคนก็แย่งกันเข้าอยู่แล้วเลยไม่ได้ขาดแคลน ไอ่ที่เค้าขาดแคลนคือบุคลากรทางการแพทย์ของรัฐหรือฝั่ง socialism ต้างหาก ซึ่งฝ่ายนี้ฐานเงินเดือนไม่ได้ถูกผลักดันโดน deman supply เป็นหลัก ง่ายๆคือ รพ รัฐไม่ได้แข่งกันขึ้นเงินเดือนหมอไงละครับเพราะมันโดนกำหนดโดยรัฐบาลกลาง

ส่วน software engineer , data sci, ai แน่นอนอยู่แล้วว่าคือ capitalism ล้วนๆ ใครจ่ายมากกว่าก็ได้คนเก่งไป ใครๆก็อยากได้คนเก่งไปทำงานครับเลยแข่งกันจ่าย เหมือนหุ้น tesla ที่มีคนอยากได้เลยแย่งกันซื่อขายรัวๆจนราคาพุ่งนั่นแหละคนับ

ขอเป็นแบบทั่วไป จะย้ายไปไหนมาไหนก็สะดวกไม่เจาะจงดี

ผมว่าสุดท้ายแล้ว จ่ายแพงไม่แพง ต้องดูว่า

ทรัพยากรบุคคลนั้น contribute ให้บริษัทออกมาเป็นตัวเลขได้เท่าไหร่ (Net Income)

เช่น Analytics Team 1 ทีมทำให้ บริษัทลด Cost ได้ 70% / เพิ่มยอดขาย บริการได้ 50%

จากของเดิม Cost ต่อไตรมาส 20 ล้านเหลือ 6 ล้าน กำไรต่อไตรมาส 100ล้าน เป็น 150ล้าน

Cost ของการจ้างทีมนี้ตีไป 10 คนเฉลี่ยเงินเดือนคนละ 100k บ.คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม


หรือ


ทีม Development ที่มี Analytics เป็น core กำลังสร้าง Product บางอย่าง

ที่ถ้าทำออกมาแล้ว จะให้ บ. เติบโต 10x 10เท่า ในอีก x ปี



ที่จริง เสริมอีกเรื่อง การตุนคนเก่ง คือเอาคนเก่งๆมาไว้ใน บริษัทเราเยอะๆ

บริษัทคู่แข่งก็หาคนได้ยาก แข่งขันได้ยาก ถ้าฟุตบอลก็แบบ บาเยิร์น เน้นดูด

อันนี้ผมเข้าใจนะ เพราะว่า BI, AI, Analytics มันนอกจากเรื่อง overall contribution to PnL มันยังมีเรื่อง demand มาเกี่ยวข้องด้วย และผมว่าคนพวกนี้รายได้เค้า justified อยู่แล้วน่ะครับ ผมแค่มองว่า ถ้าเทียบกับอีกฝั่งที่การเขยิบของแท่งเงินเดือนในช่วงที่ผ่านมา (เอาแค่ 10 ปีก็ได้) มันดูแล้วว่าฝั่งสามัญนี่มี significant increase ในบางฟังค์ชั่นเลย

คือผมมองว่าอีกฝั่งนึง มันโตน้อยกว่าฝั่งนี้หรือเปล่ามากกว่า

สาย Healthcare ผมเคยหางานในอังกฤษช่วงที่ NHS ประกาศรับเยอะตอนโควิด รับคนจาก SEA ไปเยอะมาก

รายได้ต่อปีอยู่ที่ราวๆ 70-100k£ ผมว่าก็ไม่ได้เยอะนะครับ เทียบกับค่าครองชีพที่นั่นแล้ว เหมือนไทยเลยที่ต้องอยู่โอที อยู่เวรนอกเวลา เพื่อให้มีรายได้มากพอ ทั้งๆที่งานมันขาดแคลนไม่ต่างกับไทย ดูคุณภาพชีวิตแล้ว เผลอๆอยู่ไทยยังดีกว่า


แต่ในไทยเริ่มพูดกันเยอะขึ้นมากเรื่องสมองไหล เด็กรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานรัฐแล้ว ผมว่าก็ไม่แปลก ค่าแรงกระจอกขนาดนี้ ไปขายก๋วยเตี๋ยวยังรู้สึกสบายใจกว่า

ใช่ ในสายผมก็เหมือนกัน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของ top management ใน IT ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก อยู่นู่นเสียภาษีเยอะกว่าด้วย (ฐานะ 30% vs 43%) ซึ่งสรุปมาเผลอๆก็เหลือเท่ากัน 555

มันมีเรื่อง การตุนคนเก่ง มาไว้กับตัวด้วยครับอาจเป็นอีกสาเหตุ
แล้วค่าตัวในไทยถือว่าจ่ายถูก บางครั้งอาจต้องไปดึงคนจาก ตปท มาซี่ง rate ตปท นี่เว่อกว่าเดิมอีก

ใช่ครับ เพราะในภาพรวมสายเฉพาะทางเดี๋ยวนี้มันทำมาจิ้นสู้สายสามัญไม่ได้แล้ว
จะเก่งแค่ไหนก็ต้องมีคนมาบริหารให้

ผมก็อยากทำเหมือนท่านเลย แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อน

ต้องเข้าใจส่วนนึงนะครับ Specialist ในสายงานอื่น 100k+ นี่ส่วนน้อยมากครับ

แต่แพทย์ 100k+ คือกระโหลกกะลาในงานเค้าก้ได้ไม่ยากครับ ฉะนั้นถ้าจะวัด ควรวัดด้วย Mean

ในแต่ละสายงานกันด้วยครับ เช่น Mean ของแพทย์ทั่วไปได้ 200k+ (กดเวรยับๆ ไม่ใช่นั่งฉีดหน้าสบายๆ

รับการันตี 100k) ก็ควรไปเทียบกับพวก Mean ของในแต่ละสายอาชีพครับ

ไม่ใช่ฉะนั้นมันจะเกิดตรรกะว่า อาชีพอื่นรายได้ก็ใกล้ๆกันกับแพทย์หนิ ทั้งๆที่คุณเลือกเอาแพทย์ธรรมดา

มาวัดตัวระดับบนสายงานอื่น บางท่านอาจจะบอก ตัวโหดสายงานอื่น 500k+ 1m+

ครับ นั่นคือโหดมากที่สุดคนนึงละ เท่าที่ทราบ Ortho ที่สมุย กดเดือนละ 3m+ ครับ

ส่วนสูติ ที่ต่างจังหวัดที่ผมอยู่เฉพาะคลินิก 2m+

ถ้าท่านเอาพวกอาจารย์แพทย์ใน รร แพทย์ดังๆในกทม ใช้คำว่าเสียภาษีปีละกี่สิบล้านกันดีกว่า เงินได้ช่างมันละ

จะเทียบอะไรควรใช้ค่า Mean หรือตัวเทียบที่มีระดับใกล้ๆกัน

ถ้าถามผม ผมก็เทียบจาก mean เนี่ยแหล่ะครับ

ทุกวันนี้ marketing manager ตามบริษัทธรรมดาๆที่เป็นบ.ข้ามชาติก็มี 80-100k เป็นอย่างน้อยแล้ว ซึ่งอายุไม่ได้เยอะด้วย (ไม่เกิน 30) ซึ่งก็น่าจะเทียบได้กับแพทย์จบใหม่หรือทำงานไม่ถึง 5 ปี (อายุไม่เกิน 30 เหมือนกัน)... ซึ่งถ้าเทียบจากจำนวนแพทย์ที่มี vs จำนวนนักการตลาดที่ฝีมือระดับนี้ ผมว่าจำนวนก็ไม่ได้ต่างกันนะครับ ขณะที่แพทย์รายได้ 200k+ ที่กดเวรยับๆ ในบริษัทผมตอนนี้ก็น่าจะมีเกิน 50 คน (ประมาณ 5% ของจำนวนคนทั้งหมดในบริษัท) ซึ่งบริษัทระดับนี้ที่ผมทำงาน ในไทยมีเป็นหลายร้อยบริษัท ถ้านับผมว่าก็มีหลักหลายหมื่นคนที่รายได้ระดับนี้ครับ ซึ่งตัวเลขแพทย์ที่ผมทราบมาก็มีประมาณ 6-7 หมื่นคน ฉะนั้นก็ไม่น่าจะหนีกันมากนะครับ (ซึ่งผมไม่ได้ considered ด้วยว่าคนรายได้ระดับ 200k+/- คือตัวท็อปในวงการธุรกิจ)

ขณะที่ตัวท็อปในวงการ อันนี้สายการแพทย์น่าจะสูงกว่าอยู่แล้ว (แต่ในสาย commercial ที่ทะลุ 500k/เดือน ในเมืองไทยผมว่ามีหลายพันคนเช่นกัน เพราะเท่าที่รู้จักก็มีเกินยี่สิบคนแล้วเหมือนกัน)

ทั้งนี้ ผมไม่แน่ใจว่าอ่านแล้วเข้าใจจุดประสงค์ของผมมั้ย แต่ผมต้องการจะบอกว่าค่าตอบแทนสายแพทย์เราในระดับทั่วๆไป มันสูงพอมั้ย ที่จะจูงใจให้คนทำอาชีพนี้ เพราะนี่ก็มีข่าวคนออกเป็นว่าเล่นเหมือนกัน ขณะที่สายสามัญแบบพวกผม มันดูแล้วก็ไม่ได้น้อยไปกว่าสายที่เป็น specialist อย่างแพทย์เลยน่ะครับ