ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ง.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Feb 2017
ตอบ: 606
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Mar 13, 2023 16:21
[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
Spoil
themasksocccer พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
themasksocccer พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
อ้างอิงจาก:
themasksocccer พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
themasksocccer พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
เห็นด้วยตรงเรื่องค่าแรงว่ามันเป็นไปตามเศรษฐกิจในประเทศ

แต่พอพูดเรื่องนโยบายนี่ก็สมควรโดนด่าละ ถ้าค่าแรง 600 บาทต่อวัน ต่อให้ลูกจ้างทำงาน 30 วันก็ 18k


บอกว่า ขายชมนมได้วันละ 300 แก้ว แก้วละ 60 บาท รายได้ต่อวัน 18k เท่ากับค่าจ้างทั้งเดือน 1 ลูกจ้าง 1 คนแล้ว

สมมุติลูกจ้าง 5 คนก็ค่าจ้าง 90k แต่รายได้ระดับ 500k+ ต่อให้ตัดต้นทุนออกไป 30% ก็เหลือกำไรหลัก 300k++ ต่อเดือน คิดค่าเสื่อมอุปกรณ์ใดๆก็ตามก็ต้องบอกว่ามันก็มีกำไรมากพออยู่ดี

ในกรณีที่ขายได้น้อยกว่า 300 แก้วต่อวัน ก็คงไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้างมากขนาดนั้น



แล้วลองคิดดูเรื่องค่าแรงขั้นต่ำน้อยลง แล้วคนไม่มีกำลังจ่าย เงินเดือนเหลือไม่ถึง 15k แล้วชานมพี่จะขายได้ถึง 300 แก้วต่อเดือนมั้ย?

ขนาดผมไม่เห็นด้วยกับเพื่อไทยในนโยบายนี้ แต่ยังบอกว่าหลายคนคิดตื้นเกินไป  


ทำธุรกิจอะไรคะ ต้นทุน 30% อาหารเครื่องดื่มต้นทุนแพงกว่านั้น
อย่างแบร์เฮ้าซื้อและเช่าอาคารกลางเมือง มีที่ให้นั่งกิน นั่งเล่นได้ ไม่ได้เช่าบูธนะ
ต้นทุนแพงกว่าร้านอย่างชาตรามือหลายสิบเท่าด้วยซ้ำ
จะบอกว่าไม่ต้องทำหรอในเมื่อเป็นโมเดลธุรกิจของเขา ถ้าไม่ทำขนาดนี้อาจจะไม่ได้ยอด 300 แก้วเลย

เรื่องตัวเลขหนูว่าอย่าไปประเมิณเองเลยถ้าไม่ได้ลงมาทำธุรกิจเอง
อย่าง Amazon ลงทุนร้านเล็กๆยัง 2.5 ล้านบาท ยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 250 แก้วเอง
ดูเหมือนเยอะ แต่วัตถุดิบซื้อมาผสมเองไม่ได้ด้วย ต้องทำตามสูตรเท่านั้นต้นทุนแพงกว่าที่คิด
แค่ค่าแก้ว พิมพ์ลายแก้วก็แพงแล้ว

และต้นทุนแปรผันอีกละคะ
ค่าน้ำ ค่าไฟ ขายเยอะก็มีต้นทุนเยอะขึ้น

ต้นทุนตายตัว
ค่าที่ ค่าอาคาร ค่ารัโนเวทตึก

ต้นทุนค่าการตลาดทำโปรโมชั่นอีก

ต้นทุนแฝงอีก
ภาษี ดอกเบี้ยที่กู้มาทำร้าน

หนูยังไม่ทราบว่ากิจการไหนต้นทุน 30% แล้วกำไร 70%
อีกอย่างแบร์เฮ้ายังไม่คืนทุนเลย ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว  
 


โอ้โห ผมเข้าใจผิดไปเยอะเลย เปิดมาหลายปียังขาดทุนต่อเนื่องแบบนี้
ค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบัน 10590 ต่อเดือนของพนักงานในปัจจุบัน ร้านแบร์เฮ้าส์คงไม่สามารถ afford สิ่งนี้ได้
แบบนี้น่าจะทำได้แค่ลดเงินเดือนพนักงาน ปลดพนักงานแล้วล่ะ น่าสงสารมากๆ

 


ไม่ประชดซิคะพูดกันตามตรงไม่มีกิจการไหนที่มีต้นทุนแค่ 30% ของรายได้หรอกค่ะ
กิจการยังไม่ทำกำไร ในฐานะผู้บริหารคงไม่มีใครเดินกลยุทธ์ เพิ่มต้นทุนตัวเองอยู่แล้วค่ะ
แล้วลูกจ้างตามกฎหมายก็ไม่ได้มีแค่ค่าแรงขั้นต่ำ
ประกันสังคม ประกันกลุ่ม เครื่องแบบ เงินก็ขึ้นตามอายุงานอีก
แล้วเขาก็ไม่ได้บอกว่าจะปลดพนักงาน หรือลดเงินเดือน อย่าไปตอบแทนเขาเลยค่ะ

ที่หนูโควตคือ อย่าไปประเมินค่าใช้จ่ายคนอื่นเองว่าเขาต้องกำไรเยอะหรือเท่าไหร่
เพราะแต่ละกิจการมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกันไป



 



เหมือนอ่านไม่เข้าใจประเด็นของกระทู้นี้นะ คำถามค่าต้นทุนค่าจ้างพนักงานต่อวัน เอาแค่ค่าจ้างเลยนะ มันกี่ %?

เพราะตรงส่วนอื่นไม่ว่าจะปรับขึ้นหรือลดมันไม่ได้มี Affect โดยตรงอะไรกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเลย

แล้วถ้าค่าแรงขั้นต่ำปรับตามนโยบาย Cost จะเพิ่มมาจนร้านอยู่ไม่ได้จริงหรือ? (ถ้าจะโควตต่อตอบอันนี้ด้วยนะ)

ซึ่งผมไม่ได้บอกว่ามันกำไร 70% แต่ผมตัดต้นทุนการผลิตออกไป 30% ไม่ได้รวมค่าเสื่อม ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ที่จะคิดเพื่อจะแสดงให้เห็นว่ามันต้องมีกำไรมากพอที่พนักงานจะจ่ายเงินพนักงานระดับ 450-600 บาทต่อวัน

จะบอกว่าผมประเมินค่าใช้จ่ายกำไรผิดก็ไม่แปลก ผมไม่ใช่เจ้าของธุรกิจเค้านี่ ผมจำไปรู้ตัวเลขเป๊ะๆได้ไง

แล้วร้านเค้าไม่ได้จ้างพนักงาน 5 คนอยู่แล้ว ผมยกตัวอย่างเฉยๆ ผมไม่ได้คิดแทนเค้า แต่คุณที่ไล่มาเป็น Story เลยว่าเค้าขาดทุนนี่ตอบเหมือนเป็นเจ้าของร้านอ่ะนะ  
 
 



กิจการเขาไม่ล้มเพราะขึ้นเงินเดือนพนักงานอยู่แล้วคะ ต่อให้จ่ายวันละพันบาทต่อวันเขาก็ไม่เจ๊งหรอกค่ะ ตอบตรงๆ

แต่ในมุมมองนักลงทุน หรือผู้ประกอบการ ยังไม่ใช่จุดที่จะไปลงทุนตรงนั้นค่ะ
เพราะอะไร
1 กิจการยังโตได้อีก ต้องไปลงทุนเพิ่มสาขา
2 ต้องเขาเงินไปใช้หนี้ อย่างแบร์เฮ้าส์มีหน้าอยู่ 35 ล้าน เพราะการขยายสาขา
3 ต้องหาเงินไปคืนนักลงทุน อันนี้สำคัญเพราะกิจการโตได้เพราะเงินลงทุน

ถ้าไม่ลงทุนขยายสาขาทำได้ไหม ก็ได้แต่เขาก็จะเสียความสามารถในการแข่งขันไป ถ้ามีเจ้าอื่นมาแย่งตลาดไป



 



ก็นั่นไงครับ สุดท้ายค่าใช้จ่ายต่างๆที่มันสูงเนี่ย มันไม่ได้มาจากค่าจ้างพนักงานถูกต้องมั้ย?

ซึ่งผมก็คิดว่าเค้าไม่ได้จ้างพนักงานด้วยค่าแรงขั้นต่ำแบบตอนนี้ด้วยซ้ำ แบบค่าจ้าง 10k ต่อเดือนในกรณีทำงาน 30 วันต่อเดือน ผมว่าสูงกว่านั้นอยู่แล้ว (ถ้าคิดวันทำงาน 5 วัน/สัปดาห์ก็ 8k ต่อเดือน)


ดังนั้นการมาตีโพยตีพายเรื่องนโยบายค่าแรงขั้นต่ำเนี่ย ว่าธุรกิจจะเจ๊ง อยู่ไม่ได้ เป็นภาระผู้ประกอบการ บลาๆๆๆ

มันเมคเซนส์มั้ยล่ะ?

อย่างที่คำตอบข้างบนๆบอก เมื่อคนมีรายได้สูงมากขึ้น มันก็มีกำลังจ่ายมากขึ้น เผลอๆร้านก็จะได้ประโยชน์จากการที่ลูกค้าเยอะขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็ได้เหมือนกัน

หรือง่ายๆลองคิดกลับกันว่าลดค่าจ้างขั้นต่ำลง เหลือซัก 200 บาท คุณว่าชานมจะขายได้เท่าเดิมมั้ยล่ะ?

Cost คุณลดลงนะ แต่คิดว่ารายได้จะเท่าเดิมมั้ย?  


ข้อมูลแบบมีนี้คนจำลองมาเยอะแล้ว
ผลคือแพ้การแข่งขันในตลาด มีบทเรียนให้เห็นก็เยอะ ถ้ามันดีจริงแล้วชนะจริงทำไมคนยังไม่ทำกัน

กิจการ A และ B มีงบประมาณก้อนหนึ่ง
กิจการ A ลงทุนด้วยการเพิ่มค่าแรง
กิจการ B ลงด้วยการซื้อโฆษณา
กิจการ B ชนะ

กิจการ A ลงทุนด้วยการเพิ่มค่าแรง
กิจการ B ลงด้วยการขยายสาขา
กิจการ B ชนะ

กิจการ A ลงทุนด้วยการเพิ่มค่าแรง
กิจการ B ลงด้วยการซื้อเครื่องจักร
กิจการ B ชนะ

การลงทุนเพิ่มค่าแรง ไม่ได้ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้นค่ะ


การที่กิจการ A จะขึ้นค่าแรงแล้วชนะได้มีเงื่อนไขเดียวคือ ขึ้นราคาค่าแรงจนไม่มีคนไปทำงานให้กิจการ B และต้องมั่นใจให้ได้ว่าจะไม่มีกิจการ C มาอีก เพราะไม่งั้นจะแพ้เรื่องต้นทุนทันที

 
 
 



งงอะไรมั้ย เราไม่ได้พูดเรื่องความสามารถการแข่งขันทางตลาด เราพูดเรื่อง Affect จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ


นี่ตอนนี้ผมเริ่มคิดจริงๆแล้วว่าท่านคือเจ้าของร้านนะ

เอางี้ครับ ลองคิดดูอีกทีนะ ถ้ามันขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจริงๆ

ร้าน A B C D ร้านไหนได้ผลกระทบบ้าง? คำตอบคือทุกร้าน ถูกมั้ย

มันไม่ใช่ Scenario แบบที่คุณยกมาเลย


มัน Affect กันกับความสามารถการแข่งขัน? หรือว่าคู่แข่งร้านคือ ร้านชาไข่มุกในประเทศพม่า ลาว กัมพูชาที่ค่าแรงถูกกว่า?  


การแข่งขันมีตั้งแต่ระดับ องค์กร, ประเทศ, โลก
เจ้าของธุรกิจต้องคิดในระดับจุลภาคถูกแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง
ประเทศก็ต้องคิดถึงในระดับชาติ มหาภาคไป
โลกก็ต้องมาคิดในระดับความร่วมมือ

ถ้าการขึ้นระดับกิจการ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของกิจการแพ้
แล้วการขึ้นทั้งชาติ ก็แข่งขันในระดับชาติแพ้ไงคะ


ยกตัวอย่าง A ต้นทุนถูกกว่าก็ได้เปรียบ B
ถ้า A เพิ่มค่าแรง คำถามต่อมา A สร้างผลผลิตได้มากกว่าเดิมไหม ถ้าไม่นั้นไม่ใช่คำตอบ


คราวนี้มองระดับใหญ่ขึ้นประเทศ A ขึ้นค่าแรงทั้งชาติ และลูกค้าเป็นคนทั้งชาติและต่างชาติ
ถ้าประเทศ A ยังสร้างผลผลิตได้เท่าเติมคุณภาพปริมาณเดิม ทำไมลูกค้าต้องจ่ายแพงขึ้น
ไปซื้อสินค้าจีน หรือจ้างเพื่อนบ้านดีไหม

อ้างอิงจาก:

มัน Affect กันกับความสามารถการแข่งขัน? หรือว่าคู่แข่งร้านคือ ร้านชาไข่มุกในประเทศพม่า ลาว กัมพูชาที่ค่าแรงถูกกว่า?  


ผลกระทบไม่ใช่แค่ชาไข่มุกไงละคะ ชาไข่มุกอาจจะแบ่งตลาดกันในประเทศ
คนอื่นที่ทำธุรกิจแข่งกับต่างชาติก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะต้นทุนที่สูงกว่า


การขึ้นค่าแรงส่งเดชแล้วสบายไปทั้งชาติ ต้องมีเงื่อนไขบางประการเช่น
- มีทรัพยาการธรรมชาติ แร่เหล็ก น้ำมัน ถ่านหิน ส่งออกสร้างได้ให้คนในชาติใช้ไปจนตาย
- มีเทคโนโลยีผูกขาดที่ทั้งโลกต้องเข้ามาซื้อกับเราเจ้าเดียว จะขึ้นราคาเท่าไหร่ก็ได้
- มีความชาตินิยมซื้อสินค้าไทยเป็นหลัก สินค้าไม่ส่งออกเลยกิจการก็อยู่ได้

ถ้าไม่มีดังกล่าวก็จะค่อยๆกลายเป็นแบบญี่ปุ่นที่กำลังโดนเกาหลี จีนกินส่วนแบ่งทางตลาดไปเรื่อยๆ




แก้ไขล่าสุดโดย themasksocccer เมื่อ Mon Mar 13, 2023 16:25, ทั้งหมด 1 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
contactme themasksoccer@gmail.com
ออฟไลน์
โค้ช UEFA PRO-License
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 21816
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Mar 13, 2023 16:22
[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
เห็นด้วยตรงเรื่องค่าแรงว่ามันเป็นไปตามเศรษฐกิจในประเทศ

แต่พอพูดเรื่องนโยบายนี่ก็สมควรโดนด่าละ ถ้าค่าแรง 600 บาทต่อวัน ต่อให้ลูกจ้างทำงาน 30 วันก็ 18k


บอกว่า ขายชมนมได้วันละ 300 แก้ว แก้วละ 60 บาท รายได้ต่อวัน 18k เท่ากับค่าจ้างทั้งเดือน 1 ลูกจ้าง 1 คนแล้ว

สมมุติลูกจ้าง 5 คนก็ค่าจ้าง 90k แต่รายได้ระดับ 500k+ ต่อให้ตัดต้นทุนออกไป 30% ก็เหลือกำไรหลัก 300k++ ต่อเดือน คิดค่าเสื่อมอุปกรณ์ใดๆก็ตามก็ต้องบอกว่ามันก็มีกำไรมากพออยู่ดี

ในกรณีที่ขายได้น้อยกว่า 300 แก้วต่อวัน ก็คงไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้างมากขนาดนั้น



แล้วลองคิดดูเรื่องค่าแรงขั้นต่ำน้อยลง แล้วคนไม่มีกำลังจ่าย เงินเดือนเหลือไม่ถึง 15k แล้วชานมพี่จะขายได้ถึง 300 แก้วต่อเดือนมั้ย?

ขนาดผมไม่เห็นด้วยกับเพื่อไทยในนโยบายนี้ แต่ยังบอกว่าหลายคนคิดตื้นเกินไป  


ท่านคิดตื้นไป ยังไม่ได้บวกหลายอย่างเลยครับ

รายได้ 500,000

โดน Vat ไป 35,000

ต้นทุนมันไม่ใช่แค่ 30% นะครับ มีค่าแก้ว ค่าแก๊สต้ม ค่าหลอด และอื่นๆ ผมตีไป 40% = 200,000 บาท (ซึ่งผมคิดว่ามากกว่านี้ ในมุมมองคนทำธุรกิจมาหลายอย่างแล้ว)

ค่าพนักงาน 90k ค่าคอมมิสชั่น ค่านู่นนี่นั่นต่างๆ ผมตีให้ไป 100,000 บาท

ค่าเช่าที่ ซึ่งตรงนั้น ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 100,000 แน่นอน ผมคิดว่า 150,000-200,000 บาท

ต้นทุนแฝงอีก 10% ก็ราวๆ 50,000 บาท

อันนี้ยังไม่ได้นับค่า GP ที่ Food Delivery เก็บนะครับ ราวๆ 30%

และยังไม่ได้คิดค่าน้ำ+ไฟฟ้าต่อเดือน

และยังไม่ได้คิดภาษีสิ้นปีนะครับ

รวมค่าใช้จ่าย 35,000+200,000+100,000+150,000+50000 = 535,000

อันนี้ยังไม่ได้รวมเงินเดือนผู้บริหารนะครับ

ค่าใช้จ่ายผมคิดว่าประมาณนี้แหละครับ

แต่ที่ท่านผิดอาจจะเป็นรายได้ ซึ่งน่าจะได้มากกว่านี้ค่อนข้างเยอะ

อาจจะไปแตะเดือนละ 1 ล้าน+ ครับ
 
 



นั่นแหละครับ ยิ่งพูดยิ่งใช่เลย เพราะ Cost จริงๆมันไม่ใช่ที่ค่าแรงพนักงานไงครับ

เอาตัวเลขที่ท่านคิดออกมาก็ได้ครับ คือตอนนี้เรากำลังพูดถึงค่าแรงขั้นต่ำอยู่ซึ่งเค้าบอกว่าถ้าเพิ่มมากกว่านี้ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ อันนี้ผมไม่เห็นด้วย

ลองคิดดูเล่นๆ ตัวเลขเดิมทุกอย่างเลยตามที่ท่านบอกเลย ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบัน 350 บาทต่อวันเนี่ย ตีกลมๆเดือนละ 10k จ้างพนักงาน 5 คน ก็แค่ 50k คือ 10% ของ Cost ทั้งหมดถูกมั้ย? ซึ่งผมว่าปัจจุบันร้านเค้าก็ไม่ได้จ้างพนักงานในเรทเงินเดือน 10k อยู่แล้วมั้ง ถ้าขยับไป 68-90k ต่อเดือน


ดังนั้นคำถามคือถ้าเพิ่มค่าแรงเป็น 450, 600 บาท ตามนโยบายที่โฆษณากันอยู่เนี่ย มันทำให้ธุรกิจล้มจริงๆหรอ? ร้านไม่สามารถ Afford ค่าจ้างระดับ 450-600 บาทต่อวันให้พนักงานได้จริงหรือ?  


ธุรกิจไม่ล้มหรอกครับ >>> That's it.


เค้าก็แค่ขึ้นราคาของ ให้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่เค้ามี

สมมุติเค้าจ่าย 50k คิดเป็น 10% ของยอดขายทั้งหมด 500,000 บาท

แปลว่าถ้าเค้าขยับเป้น 68-90k ยอดขายเค้าก็ต้องเป็น 680,000-900,000 บาท

ถ้าสมมุติขายจำนวนแก้วได้เท่าเดิม เค้าก็ต้องเพิ่มราคาไงครับ

เป็นแก้วละ 75-100 บาท

ทำให้ของมันก็จะแพงขึ้น ไม่ใช่แค่ร้านนี้ แต่ทั่วประเทศ

ดังนั้นวิธีแก้ มันไม่ใช่การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ

แต่รัฐต้องกดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ให้มันต่ำ

เช่น เงินเดือน 15,000 ข้าวจานละ 50 บาท จะซื้อข้าวได้ 300 จาน

แต่ถ้าเอาแต่เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ เงินเดือนท่านเพิ่มจริง แต่เงินเดือนพนักงานร้านข้าวก็เพิ่มด้วย ร้านข้าวก็ต้องขยับราคาด้วย

เช่น เงินเดือน 30,000 บาท ข้าวก็อาจจะขึ้นเป็นจานละ 100 บาท จะซื้อข้าวได้ 300 จานเท่าเดิม

เห็นมั้ยครับว่า การเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ มันไม่ได้ทำให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นเลย  





นี่ผมลองหาข้อมูลดูเล่นๆ เห็นรายได้พนักงานก็รับที่ประมาณ 12-14k ซึ่งร้านก็จ้างเกินอยู่แล้ว
เพราะค่าแรงขั้นต่ำตาม condition ของการทำงานประมาณ 26 วัน อยู่ที่ 9k เท่านั้น




ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท ก็คือ 11700 บาท/เดือน หรือขึ้นไปสูงสุดที่ 600 บาทก็คือ 15600 บาท

สรุปถ้าเอาให้ max เลยถ้าเอาที่ยกตัวอย่างคือรายจ่ายเพิ่มจาก 50k เป็น 55k cost เพิ่มมา 1%

เป็นผู้ประกอบการจะขึ้นราคาสินค้าไป 70-100 (20-40%)มั้ย?



Point คือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเนี่ย มันมีไว้ช่วยคนที่ได้รับค่าแรงน้อยๆ คนรายได้ขั้นต่ำจะได้รับประโยชน์เยอะ

มันกระทบกับผู้ประกอบการอยู่แล้ว แต่มันทำให้ธุรกิจเจ๊งมั้ย? ผมว่าไม่ คุณเองก็คิดว่าไม่
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ค.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Jan 2009
ตอบ: 4882
ที่อยู่: Chiang Mai
โพสเมื่อ: Mon Mar 13, 2023 16:30
[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
ขึ้นค่าแรงแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ เงินเฟ้อหนักกว่าเดิมแน่ครับ

ประเทศไทยเราไม่ได้มีเศรษฐกิจที่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวได้นะครับ
อย่าลืมว่าประเทศเราพึ่งพาการส่งออกค่อนข้างมาก ลูกค้าก็ไม่ได้มีแค่คนไทย
หลายๆ ท่านยกตัวอย่างแต่รายได้คนไทย ขึ้นค่าแรงมันอาจจะทำให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ความสามารถในการส่งออกอาจจะตายไปเลยเพราะต้นทุนสูงขึ้น ต่างชาติอาจจะไปซื้อของจากประเทศอื่นแทน
การท่องเที่ยวอาจจะแย่ลงเพราะจากโรงแรมราคาถูกๆ คืนละ 1000 อาจจะกลายเป็น 1500 จุดแข็งเรื่องนี้เราก็จะหายไปเลย ที่เที่ยวในไทยก็ไม่ได้วิเศษถึงขั้นต้องจ่ายแพงขึ้นขนาดนั้น

ยกเว้นว่าไทยเป็นประเทศเดียวที่ไม่ต้องแข่งกับต่างชาติแหละ ถ้าแบบนั้นอยากขึ้นราคาเท่าไรก็ตามใจเลย
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แฟนพันธุ์แท้หนังAV
เจ้าของธุรกิจติ่ง SS
Status: It's Complicated
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Feb 2014
ตอบ: 2609
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Mar 13, 2023 16:30
[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
เห็นด้วยตรงเรื่องค่าแรงว่ามันเป็นไปตามเศรษฐกิจในประเทศ

แต่พอพูดเรื่องนโยบายนี่ก็สมควรโดนด่าละ ถ้าค่าแรง 600 บาทต่อวัน ต่อให้ลูกจ้างทำงาน 30 วันก็ 18k


บอกว่า ขายชมนมได้วันละ 300 แก้ว แก้วละ 60 บาท รายได้ต่อวัน 18k เท่ากับค่าจ้างทั้งเดือน 1 ลูกจ้าง 1 คนแล้ว

สมมุติลูกจ้าง 5 คนก็ค่าจ้าง 90k แต่รายได้ระดับ 500k+ ต่อให้ตัดต้นทุนออกไป 30% ก็เหลือกำไรหลัก 300k++ ต่อเดือน คิดค่าเสื่อมอุปกรณ์ใดๆก็ตามก็ต้องบอกว่ามันก็มีกำไรมากพออยู่ดี

ในกรณีที่ขายได้น้อยกว่า 300 แก้วต่อวัน ก็คงไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้างมากขนาดนั้น



แล้วลองคิดดูเรื่องค่าแรงขั้นต่ำน้อยลง แล้วคนไม่มีกำลังจ่าย เงินเดือนเหลือไม่ถึง 15k แล้วชานมพี่จะขายได้ถึง 300 แก้วต่อเดือนมั้ย?

ขนาดผมไม่เห็นด้วยกับเพื่อไทยในนโยบายนี้ แต่ยังบอกว่าหลายคนคิดตื้นเกินไป  


ท่านคิดตื้นไป ยังไม่ได้บวกหลายอย่างเลยครับ

รายได้ 500,000

โดน Vat ไป 35,000

ต้นทุนมันไม่ใช่แค่ 30% นะครับ มีค่าแก้ว ค่าแก๊สต้ม ค่าหลอด และอื่นๆ ผมตีไป 40% = 200,000 บาท (ซึ่งผมคิดว่ามากกว่านี้ ในมุมมองคนทำธุรกิจมาหลายอย่างแล้ว)

ค่าพนักงาน 90k ค่าคอมมิสชั่น ค่านู่นนี่นั่นต่างๆ ผมตีให้ไป 100,000 บาท

ค่าเช่าที่ ซึ่งตรงนั้น ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 100,000 แน่นอน ผมคิดว่า 150,000-200,000 บาท

ต้นทุนแฝงอีก 10% ก็ราวๆ 50,000 บาท

อันนี้ยังไม่ได้นับค่า GP ที่ Food Delivery เก็บนะครับ ราวๆ 30%

และยังไม่ได้คิดค่าน้ำ+ไฟฟ้าต่อเดือน

และยังไม่ได้คิดภาษีสิ้นปีนะครับ

รวมค่าใช้จ่าย 35,000+200,000+100,000+150,000+50000 = 535,000

อันนี้ยังไม่ได้รวมเงินเดือนผู้บริหารนะครับ

ค่าใช้จ่ายผมคิดว่าประมาณนี้แหละครับ

แต่ที่ท่านผิดอาจจะเป็นรายได้ ซึ่งน่าจะได้มากกว่านี้ค่อนข้างเยอะ

อาจจะไปแตะเดือนละ 1 ล้าน+ ครับ
 
 



นั่นแหละครับ ยิ่งพูดยิ่งใช่เลย เพราะ Cost จริงๆมันไม่ใช่ที่ค่าแรงพนักงานไงครับ

เอาตัวเลขที่ท่านคิดออกมาก็ได้ครับ คือตอนนี้เรากำลังพูดถึงค่าแรงขั้นต่ำอยู่ซึ่งเค้าบอกว่าถ้าเพิ่มมากกว่านี้ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ อันนี้ผมไม่เห็นด้วย

ลองคิดดูเล่นๆ ตัวเลขเดิมทุกอย่างเลยตามที่ท่านบอกเลย ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบัน 350 บาทต่อวันเนี่ย ตีกลมๆเดือนละ 10k จ้างพนักงาน 5 คน ก็แค่ 50k คือ 10% ของ Cost ทั้งหมดถูกมั้ย? ซึ่งผมว่าปัจจุบันร้านเค้าก็ไม่ได้จ้างพนักงานในเรทเงินเดือน 10k อยู่แล้วมั้ง ถ้าขยับไป 68-90k ต่อเดือน


ดังนั้นคำถามคือถ้าเพิ่มค่าแรงเป็น 450, 600 บาท ตามนโยบายที่โฆษณากันอยู่เนี่ย มันทำให้ธุรกิจล้มจริงๆหรอ? ร้านไม่สามารถ Afford ค่าจ้างระดับ 450-600 บาทต่อวันให้พนักงานได้จริงหรือ?  


ธุรกิจไม่ล้มหรอกครับ >>> That's it.


เค้าก็แค่ขึ้นราคาของ ให้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่เค้ามี

สมมุติเค้าจ่าย 50k คิดเป็น 10% ของยอดขายทั้งหมด 500,000 บาท

แปลว่าถ้าเค้าขยับเป้น 68-90k ยอดขายเค้าก็ต้องเป็น 680,000-900,000 บาท

ถ้าสมมุติขายจำนวนแก้วได้เท่าเดิม เค้าก็ต้องเพิ่มราคาไงครับ

เป็นแก้วละ 75-100 บาท

ทำให้ของมันก็จะแพงขึ้น ไม่ใช่แค่ร้านนี้ แต่ทั่วประเทศ

ดังนั้นวิธีแก้ มันไม่ใช่การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ

แต่รัฐต้องกดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ให้มันต่ำ

เช่น เงินเดือน 15,000 ข้าวจานละ 50 บาท จะซื้อข้าวได้ 300 จาน

แต่ถ้าเอาแต่เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ เงินเดือนท่านเพิ่มจริง แต่เงินเดือนพนักงานร้านข้าวก็เพิ่มด้วย ร้านข้าวก็ต้องขยับราคาด้วย

เช่น เงินเดือน 30,000 บาท ข้าวก็อาจจะขึ้นเป็นจานละ 100 บาท จะซื้อข้าวได้ 300 จานเท่าเดิม

เห็นมั้ยครับว่า การเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ มันไม่ได้ทำให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นเลย  





นี่ผมลองหาข้อมูลดูเล่นๆ เห็นรายได้พนักงานก็รับที่ประมาณ 12-14k ซึ่งร้านก็จ้างเกินอยู่แล้ว
เพราะค่าแรงขั้นต่ำตาม condition ของการทำงานประมาณ 26 วัน อยู่ที่ 9k เท่านั้น




ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท ก็คือ 11700 บาท/เดือน หรือขึ้นไปสูงสุดที่ 600 บาทก็คือ 15600 บาท

สรุปถ้าเอาให้ max เลยถ้าเอาที่ยกตัวอย่างคือรายจ่ายเพิ่มจาก 50k เป็น 55k cost เพิ่มมา 1%

เป็นผู้ประกอบการจะขึ้นราคาสินค้าไป 70-100 (20-40%)มั้ย?



Point คือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเนี่ย มันมีไว้ช่วยคนที่ได้รับค่าแรงน้อยๆ คนรายได้ขั้นต่ำจะได้รับประโยชน์เยอะ

มันกระทบกับผู้ประกอบการอยู่แล้ว แต่มันทำให้ธุรกิจเจ๊งมั้ย? ผมว่าไม่ คุณเองก็คิดว่าไม่  


ไม่เจ๊งครับ

แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นหรือรวยขึ้น

การกินการอยู่ก็เหมือนเดิม เพราะ ทุกๆอย่างก็จะปรับราคาขึ้นครับ





ลองดูก็ได้ครับ ว่าถึงจะมีรายได้เพิ่ม (เป็นตัวเงิน)

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตการเป็นอยู่เค้าดีขึ้น เพราะค่าข้าว ค่าอะไรต่างๆ มันปรับตัว ขึ้นโหดกว่าเงินเดือนครับ

เช่น ปี 53 ป.ตรี เงินเดือน 12,000 ค่าข้าว 25 บาท แปลว่าซื้อข้าวได้ 480 จาน

ปี 65 ป.ตรี เงินเดือน 15,000 ค่าข้าว 60 บาท แปลว่าซื้อข้าวได้ 250 จาน

เห็นมั้ยครับว่าเงินมันเพิ่มจริง แต่ค่าของเงินมันลดลง เพราะทุกอย่างมันปรับตัวขึ้น

แปลว่า ยิ่งเงินเพิ่ม เราจะยิ่งซื้อของได้น้อยลง
แก้ไขล่าสุดโดย ไม่อยากกินต้มไก่ เมื่อ Mon Mar 13, 2023 16:36, ทั้งหมด 1 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
โค้ช UEFA PRO-License
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 21816
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Mar 13, 2023 17:03
[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
Spoil
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
เห็นด้วยตรงเรื่องค่าแรงว่ามันเป็นไปตามเศรษฐกิจในประเทศ

แต่พอพูดเรื่องนโยบายนี่ก็สมควรโดนด่าละ ถ้าค่าแรง 600 บาทต่อวัน ต่อให้ลูกจ้างทำงาน 30 วันก็ 18k


บอกว่า ขายชมนมได้วันละ 300 แก้ว แก้วละ 60 บาท รายได้ต่อวัน 18k เท่ากับค่าจ้างทั้งเดือน 1 ลูกจ้าง 1 คนแล้ว

สมมุติลูกจ้าง 5 คนก็ค่าจ้าง 90k แต่รายได้ระดับ 500k+ ต่อให้ตัดต้นทุนออกไป 30% ก็เหลือกำไรหลัก 300k++ ต่อเดือน คิดค่าเสื่อมอุปกรณ์ใดๆก็ตามก็ต้องบอกว่ามันก็มีกำไรมากพออยู่ดี

ในกรณีที่ขายได้น้อยกว่า 300 แก้วต่อวัน ก็คงไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้างมากขนาดนั้น



แล้วลองคิดดูเรื่องค่าแรงขั้นต่ำน้อยลง แล้วคนไม่มีกำลังจ่าย เงินเดือนเหลือไม่ถึง 15k แล้วชานมพี่จะขายได้ถึง 300 แก้วต่อเดือนมั้ย?

ขนาดผมไม่เห็นด้วยกับเพื่อไทยในนโยบายนี้ แต่ยังบอกว่าหลายคนคิดตื้นเกินไป  


ท่านคิดตื้นไป ยังไม่ได้บวกหลายอย่างเลยครับ

รายได้ 500,000

โดน Vat ไป 35,000

ต้นทุนมันไม่ใช่แค่ 30% นะครับ มีค่าแก้ว ค่าแก๊สต้ม ค่าหลอด และอื่นๆ ผมตีไป 40% = 200,000 บาท (ซึ่งผมคิดว่ามากกว่านี้ ในมุมมองคนทำธุรกิจมาหลายอย่างแล้ว)

ค่าพนักงาน 90k ค่าคอมมิสชั่น ค่านู่นนี่นั่นต่างๆ ผมตีให้ไป 100,000 บาท

ค่าเช่าที่ ซึ่งตรงนั้น ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 100,000 แน่นอน ผมคิดว่า 150,000-200,000 บาท

ต้นทุนแฝงอีก 10% ก็ราวๆ 50,000 บาท

อันนี้ยังไม่ได้นับค่า GP ที่ Food Delivery เก็บนะครับ ราวๆ 30%

และยังไม่ได้คิดค่าน้ำ+ไฟฟ้าต่อเดือน

และยังไม่ได้คิดภาษีสิ้นปีนะครับ

รวมค่าใช้จ่าย 35,000+200,000+100,000+150,000+50000 = 535,000

อันนี้ยังไม่ได้รวมเงินเดือนผู้บริหารนะครับ

ค่าใช้จ่ายผมคิดว่าประมาณนี้แหละครับ

แต่ที่ท่านผิดอาจจะเป็นรายได้ ซึ่งน่าจะได้มากกว่านี้ค่อนข้างเยอะ

อาจจะไปแตะเดือนละ 1 ล้าน+ ครับ
 
 



นั่นแหละครับ ยิ่งพูดยิ่งใช่เลย เพราะ Cost จริงๆมันไม่ใช่ที่ค่าแรงพนักงานไงครับ

เอาตัวเลขที่ท่านคิดออกมาก็ได้ครับ คือตอนนี้เรากำลังพูดถึงค่าแรงขั้นต่ำอยู่ซึ่งเค้าบอกว่าถ้าเพิ่มมากกว่านี้ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ อันนี้ผมไม่เห็นด้วย

ลองคิดดูเล่นๆ ตัวเลขเดิมทุกอย่างเลยตามที่ท่านบอกเลย ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบัน 350 บาทต่อวันเนี่ย ตีกลมๆเดือนละ 10k จ้างพนักงาน 5 คน ก็แค่ 50k คือ 10% ของ Cost ทั้งหมดถูกมั้ย? ซึ่งผมว่าปัจจุบันร้านเค้าก็ไม่ได้จ้างพนักงานในเรทเงินเดือน 10k อยู่แล้วมั้ง ถ้าขยับไป 68-90k ต่อเดือน


ดังนั้นคำถามคือถ้าเพิ่มค่าแรงเป็น 450, 600 บาท ตามนโยบายที่โฆษณากันอยู่เนี่ย มันทำให้ธุรกิจล้มจริงๆหรอ? ร้านไม่สามารถ Afford ค่าจ้างระดับ 450-600 บาทต่อวันให้พนักงานได้จริงหรือ?  


ธุรกิจไม่ล้มหรอกครับ >>> That's it.


เค้าก็แค่ขึ้นราคาของ ให้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่เค้ามี

สมมุติเค้าจ่าย 50k คิดเป็น 10% ของยอดขายทั้งหมด 500,000 บาท

แปลว่าถ้าเค้าขยับเป้น 68-90k ยอดขายเค้าก็ต้องเป็น 680,000-900,000 บาท

ถ้าสมมุติขายจำนวนแก้วได้เท่าเดิม เค้าก็ต้องเพิ่มราคาไงครับ

เป็นแก้วละ 75-100 บาท

ทำให้ของมันก็จะแพงขึ้น ไม่ใช่แค่ร้านนี้ แต่ทั่วประเทศ

ดังนั้นวิธีแก้ มันไม่ใช่การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ

แต่รัฐต้องกดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ให้มันต่ำ

เช่น เงินเดือน 15,000 ข้าวจานละ 50 บาท จะซื้อข้าวได้ 300 จาน

แต่ถ้าเอาแต่เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ เงินเดือนท่านเพิ่มจริง แต่เงินเดือนพนักงานร้านข้าวก็เพิ่มด้วย ร้านข้าวก็ต้องขยับราคาด้วย

เช่น เงินเดือน 30,000 บาท ข้าวก็อาจจะขึ้นเป็นจานละ 100 บาท จะซื้อข้าวได้ 300 จานเท่าเดิม

เห็นมั้ยครับว่า การเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ มันไม่ได้ทำให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นเลย  





นี่ผมลองหาข้อมูลดูเล่นๆ เห็นรายได้พนักงานก็รับที่ประมาณ 12-14k ซึ่งร้านก็จ้างเกินอยู่แล้ว
เพราะค่าแรงขั้นต่ำตาม condition ของการทำงานประมาณ 26 วัน อยู่ที่ 9k เท่านั้น




ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท ก็คือ 11700 บาท/เดือน หรือขึ้นไปสูงสุดที่ 600 บาทก็คือ 15600 บาท

สรุปถ้าเอาให้ max เลยถ้าเอาที่ยกตัวอย่างคือรายจ่ายเพิ่มจาก 50k เป็น 55k cost เพิ่มมา 1%

เป็นผู้ประกอบการจะขึ้นราคาสินค้าไป 70-100 (20-40%)มั้ย?



Point คือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเนี่ย มันมีไว้ช่วยคนที่ได้รับค่าแรงน้อยๆ คนรายได้ขั้นต่ำจะได้รับประโยชน์เยอะ

มันกระทบกับผู้ประกอบการอยู่แล้ว แต่มันทำให้ธุรกิจเจ๊งมั้ย? ผมว่าไม่ คุณเองก็คิดว่าไม่  


ไม่เจ๊งครับ

แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นหรือรวยขึ้น

การกินการอยู่ก็เหมือนเดิม เพราะ ทุกๆอย่างก็จะปรับราคาขึ้นครับ





ลองดูก็ได้ครับ ว่าถึงจะมีรายได้เพิ่ม (เป็นตัวเงิน)

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตการเป็นอยู่เค้าดีขึ้น เพราะค่าข้าว ค่าอะไรต่างๆ มันปรับตัว ขึ้นโหดกว่าเงินเดือนครับ

เช่น ปี 53 ป.ตรี เงินเดือน 12,000 ค่าข้าว 25 บาท แปลว่าซื้อข้าวได้ 480 จาน

ปี 65 ป.ตรี เงินเดือน 15,000 ค่าข้าว 60 บาท แปลว่าซื้อข้าวได้ 250 จาน

เห็นมั้ยครับว่าเงินมันเพิ่มจริง แต่ค่าของเงินมันลดลง เพราะทุกอย่างมันปรับตัวขึ้น

แปลว่า ยิ่งเงินเพิ่ม เราจะยิ่งซื้อของได้น้อยลง  
 




คุณว่าข้อมูลมันใช่จริงป่าว สิบปีก่อนราคา 20-25 จริงหรือ?

ช่วงนั้นร้าวข้าวทั่วไปก็ต่ำก็ Start 35-40 บาทแล้วมั้ง ที่จำได้เพราะช่วงนั้นผมเริ่มทำงานแล้ว หากินร้านที่ราคา 35 บาท ยังยากเลย ร้านใกล้บ้านสุดกินประจำคือ Start 40 บาท

อย่าเอาข้อมูลที่ Cherry picking มา


คุณบอกว่ากำลังการซื้อของคนจะลดลง แต่ผมลองไปดูตัวเลข GDP:PPP ตั้งแต่ปี 2006-2017 ก็ไม่เห็นเป็นเหมือนที่บอกนะครับ

ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ กลับยิ่ง Spike สูงกว่าช่วงปี 2006-2012 ก่อนขึ้นค่าแรงอีก
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แฟนพันธุ์แท้หนังAV
เจ้าของธุรกิจติ่ง SS
Status: It's Complicated
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Feb 2014
ตอบ: 2609
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Mon Mar 13, 2023 17:49
[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
เห็นด้วยตรงเรื่องค่าแรงว่ามันเป็นไปตามเศรษฐกิจในประเทศ

แต่พอพูดเรื่องนโยบายนี่ก็สมควรโดนด่าละ ถ้าค่าแรง 600 บาทต่อวัน ต่อให้ลูกจ้างทำงาน 30 วันก็ 18k


บอกว่า ขายชมนมได้วันละ 300 แก้ว แก้วละ 60 บาท รายได้ต่อวัน 18k เท่ากับค่าจ้างทั้งเดือน 1 ลูกจ้าง 1 คนแล้ว

สมมุติลูกจ้าง 5 คนก็ค่าจ้าง 90k แต่รายได้ระดับ 500k+ ต่อให้ตัดต้นทุนออกไป 30% ก็เหลือกำไรหลัก 300k++ ต่อเดือน คิดค่าเสื่อมอุปกรณ์ใดๆก็ตามก็ต้องบอกว่ามันก็มีกำไรมากพออยู่ดี

ในกรณีที่ขายได้น้อยกว่า 300 แก้วต่อวัน ก็คงไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้างมากขนาดนั้น



แล้วลองคิดดูเรื่องค่าแรงขั้นต่ำน้อยลง แล้วคนไม่มีกำลังจ่าย เงินเดือนเหลือไม่ถึง 15k แล้วชานมพี่จะขายได้ถึง 300 แก้วต่อเดือนมั้ย?

ขนาดผมไม่เห็นด้วยกับเพื่อไทยในนโยบายนี้ แต่ยังบอกว่าหลายคนคิดตื้นเกินไป  


ท่านคิดตื้นไป ยังไม่ได้บวกหลายอย่างเลยครับ

รายได้ 500,000

โดน Vat ไป 35,000

ต้นทุนมันไม่ใช่แค่ 30% นะครับ มีค่าแก้ว ค่าแก๊สต้ม ค่าหลอด และอื่นๆ ผมตีไป 40% = 200,000 บาท (ซึ่งผมคิดว่ามากกว่านี้ ในมุมมองคนทำธุรกิจมาหลายอย่างแล้ว)

ค่าพนักงาน 90k ค่าคอมมิสชั่น ค่านู่นนี่นั่นต่างๆ ผมตีให้ไป 100,000 บาท

ค่าเช่าที่ ซึ่งตรงนั้น ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 100,000 แน่นอน ผมคิดว่า 150,000-200,000 บาท

ต้นทุนแฝงอีก 10% ก็ราวๆ 50,000 บาท

อันนี้ยังไม่ได้นับค่า GP ที่ Food Delivery เก็บนะครับ ราวๆ 30%

และยังไม่ได้คิดค่าน้ำ+ไฟฟ้าต่อเดือน

และยังไม่ได้คิดภาษีสิ้นปีนะครับ

รวมค่าใช้จ่าย 35,000+200,000+100,000+150,000+50000 = 535,000

อันนี้ยังไม่ได้รวมเงินเดือนผู้บริหารนะครับ

ค่าใช้จ่ายผมคิดว่าประมาณนี้แหละครับ

แต่ที่ท่านผิดอาจจะเป็นรายได้ ซึ่งน่าจะได้มากกว่านี้ค่อนข้างเยอะ

อาจจะไปแตะเดือนละ 1 ล้าน+ ครับ
 
 



นั่นแหละครับ ยิ่งพูดยิ่งใช่เลย เพราะ Cost จริงๆมันไม่ใช่ที่ค่าแรงพนักงานไงครับ

เอาตัวเลขที่ท่านคิดออกมาก็ได้ครับ คือตอนนี้เรากำลังพูดถึงค่าแรงขั้นต่ำอยู่ซึ่งเค้าบอกว่าถ้าเพิ่มมากกว่านี้ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้ อันนี้ผมไม่เห็นด้วย

ลองคิดดูเล่นๆ ตัวเลขเดิมทุกอย่างเลยตามที่ท่านบอกเลย ค่าแรงขั้นต่ำปัจจุบัน 350 บาทต่อวันเนี่ย ตีกลมๆเดือนละ 10k จ้างพนักงาน 5 คน ก็แค่ 50k คือ 10% ของ Cost ทั้งหมดถูกมั้ย? ซึ่งผมว่าปัจจุบันร้านเค้าก็ไม่ได้จ้างพนักงานในเรทเงินเดือน 10k อยู่แล้วมั้ง ถ้าขยับไป 68-90k ต่อเดือน


ดังนั้นคำถามคือถ้าเพิ่มค่าแรงเป็น 450, 600 บาท ตามนโยบายที่โฆษณากันอยู่เนี่ย มันทำให้ธุรกิจล้มจริงๆหรอ? ร้านไม่สามารถ Afford ค่าจ้างระดับ 450-600 บาทต่อวันให้พนักงานได้จริงหรือ?  


ธุรกิจไม่ล้มหรอกครับ >>> That's it.


เค้าก็แค่ขึ้นราคาของ ให้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่เค้ามี

สมมุติเค้าจ่าย 50k คิดเป็น 10% ของยอดขายทั้งหมด 500,000 บาท

แปลว่าถ้าเค้าขยับเป้น 68-90k ยอดขายเค้าก็ต้องเป็น 680,000-900,000 บาท

ถ้าสมมุติขายจำนวนแก้วได้เท่าเดิม เค้าก็ต้องเพิ่มราคาไงครับ

เป็นแก้วละ 75-100 บาท

ทำให้ของมันก็จะแพงขึ้น ไม่ใช่แค่ร้านนี้ แต่ทั่วประเทศ

ดังนั้นวิธีแก้ มันไม่ใช่การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ

แต่รัฐต้องกดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน ให้มันต่ำ

เช่น เงินเดือน 15,000 ข้าวจานละ 50 บาท จะซื้อข้าวได้ 300 จาน

แต่ถ้าเอาแต่เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ เงินเดือนท่านเพิ่มจริง แต่เงินเดือนพนักงานร้านข้าวก็เพิ่มด้วย ร้านข้าวก็ต้องขยับราคาด้วย

เช่น เงินเดือน 30,000 บาท ข้าวก็อาจจะขึ้นเป็นจานละ 100 บาท จะซื้อข้าวได้ 300 จานเท่าเดิม

เห็นมั้ยครับว่า การเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ มันไม่ได้ทำให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นเลย  





นี่ผมลองหาข้อมูลดูเล่นๆ เห็นรายได้พนักงานก็รับที่ประมาณ 12-14k ซึ่งร้านก็จ้างเกินอยู่แล้ว
เพราะค่าแรงขั้นต่ำตาม condition ของการทำงานประมาณ 26 วัน อยู่ที่ 9k เท่านั้น




ถ้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท ก็คือ 11700 บาท/เดือน หรือขึ้นไปสูงสุดที่ 600 บาทก็คือ 15600 บาท

สรุปถ้าเอาให้ max เลยถ้าเอาที่ยกตัวอย่างคือรายจ่ายเพิ่มจาก 50k เป็น 55k cost เพิ่มมา 1%

เป็นผู้ประกอบการจะขึ้นราคาสินค้าไป 70-100 (20-40%)มั้ย?



Point คือการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเนี่ย มันมีไว้ช่วยคนที่ได้รับค่าแรงน้อยๆ คนรายได้ขั้นต่ำจะได้รับประโยชน์เยอะ

มันกระทบกับผู้ประกอบการอยู่แล้ว แต่มันทำให้ธุรกิจเจ๊งมั้ย? ผมว่าไม่ คุณเองก็คิดว่าไม่  


ไม่เจ๊งครับ

แต่ก็ไม่ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นหรือรวยขึ้น

การกินการอยู่ก็เหมือนเดิม เพราะ ทุกๆอย่างก็จะปรับราคาขึ้นครับ





ลองดูก็ได้ครับ ว่าถึงจะมีรายได้เพิ่ม (เป็นตัวเงิน)

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตการเป็นอยู่เค้าดีขึ้น เพราะค่าข้าว ค่าอะไรต่างๆ มันปรับตัว ขึ้นโหดกว่าเงินเดือนครับ

เช่น ปี 53 ป.ตรี เงินเดือน 12,000 ค่าข้าว 25 บาท แปลว่าซื้อข้าวได้ 480 จาน

ปี 65 ป.ตรี เงินเดือน 15,000 ค่าข้าว 60 บาท แปลว่าซื้อข้าวได้ 250 จาน

เห็นมั้ยครับว่าเงินมันเพิ่มจริง แต่ค่าของเงินมันลดลง เพราะทุกอย่างมันปรับตัวขึ้น

แปลว่า ยิ่งเงินเพิ่ม เราจะยิ่งซื้อของได้น้อยลง  
 




คุณว่าข้อมูลมันใช่จริงป่าว สิบปีก่อนราคา 20-25 จริงหรือ?

ช่วงนั้นร้าวข้าวทั่วไปก็ต่ำก็ Start 35-40 บาทแล้วมั้ง ที่จำได้เพราะช่วงนั้นผมเริ่มทำงานแล้ว หากินร้านที่ราคา 35 บาท ยังยากเลย ร้านใกล้บ้านสุดกินประจำคือ Start 40 บาท

อย่าเอาข้อมูลที่ Cherry picking มา


คุณบอกว่ากำลังการซื้อของคนจะลดลง แต่ผมลองไปดูตัวเลข GDP:PPP ตั้งแต่ปี 2006-2017 ก็ไม่เห็นเป็นเหมือนที่บอกนะครับ

ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ กลับยิ่ง Spike สูงกว่าช่วงปี 2006-2012 ก่อนขึ้นค่าแรงอีก
 


ไม่แน่ใจว่าข้อมูลนี้เชื่อถือได้มั้ยครับ

อ้างอิงจาก:
https://www.thansettakij.com/economy/524574  


คือ 10 ปี ค่าอาหารเพิ่มขึ้น 86%

แต่เงินเดือน เพิ่มขึ้น 25% จากแหล่งข่าวนี้

อ้างอิงจาก:
https://www.thaich8.com/news_detail/116197  


ถึงจะเพิ่มเงินเดือน มันก็ไปเพิ่มภาระค่าอาหาร ค่ากินอยู่ อยู่ดีครับ และหลายๆอย่าง % การเพิ่ม มากกว่าเงินที่ได้มาด้วย

อ้างอิงจาก:
https://themomentum.co/beyond-gdp/
https://thematter.co/thinkers/who-are-the-rich/138337  


และผมว่า GDP มันไม่ได้วัดการกินอยู่ที่ดีของคน โดยเฉพาะ ชนชั้นแรงงาน และชนชั้นกลางครับ
แก้ไขล่าสุดโดย ไม่อยากกินต้มไก่ เมื่อ Tue Mar 14, 2023 00:34, ทั้งหมด 1 ครั้ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งดัทช์ลีก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Oct 2009
ตอบ: 9295
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Mar 14, 2023 00:13
[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
ผมเคยทำงานเสริมที่ร้านเพื่อน ผมเอาแค่ 200บาทต่อวัน เพราะถ้ามากกว่านี้ เพื่อนจะอยู่ไม่ได้
ส่วนชนบทตามขายแดนไทยพม่า ค่าแรง 140-180 คือปกติ มากกว่านี้ผู้ประกอบการอยู่ไม่ได้
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2, 3, 4
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel