[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
Spoil
themasksocccer พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
themasksocccer พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
อ้างอิงจาก:
themasksocccer พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
Spoil
themasksocccer พิมพ์ว่า:
Shiroyasha พิมพ์ว่า:
เห็นด้วยตรงเรื่องค่าแรงว่ามันเป็นไปตามเศรษฐกิจในประเทศ
แต่พอพูดเรื่องนโยบายนี่ก็สมควรโดนด่าละ ถ้าค่าแรง 600 บาทต่อวัน ต่อให้ลูกจ้างทำงาน 30 วันก็ 18k
บอกว่า ขายชมนมได้วันละ 300 แก้ว แก้วละ 60 บาท รายได้ต่อวัน 18k เท่ากับค่าจ้างทั้งเดือน 1 ลูกจ้าง 1 คนแล้ว
สมมุติลูกจ้าง 5 คนก็ค่าจ้าง 90k แต่รายได้ระดับ 500k+ ต่อให้ตัดต้นทุนออกไป 30% ก็เหลือกำไรหลัก 300k++ ต่อเดือน คิดค่าเสื่อมอุปกรณ์ใดๆก็ตามก็ต้องบอกว่ามันก็มีกำไรมากพออยู่ดี
ในกรณีที่ขายได้น้อยกว่า 300 แก้วต่อวัน ก็คงไม่จำเป็นต้องมีลูกจ้างมากขนาดนั้น
แล้วลองคิดดูเรื่องค่าแรงขั้นต่ำน้อยลง แล้วคนไม่มีกำลังจ่าย เงินเดือนเหลือไม่ถึง 15k แล้วชานมพี่จะขายได้ถึง 300 แก้วต่อเดือนมั้ย?
ขนาดผมไม่เห็นด้วยกับเพื่อไทยในนโยบายนี้ แต่ยังบอกว่าหลายคนคิดตื้นเกินไป
ทำธุรกิจอะไรคะ ต้นทุน 30% อาหารเครื่องดื่มต้นทุนแพงกว่านั้น
อย่างแบร์เฮ้าซื้อและเช่าอาคารกลางเมือง มีที่ให้นั่งกิน นั่งเล่นได้ ไม่ได้เช่าบูธนะ
ต้นทุนแพงกว่าร้านอย่างชาตรามือหลายสิบเท่าด้วยซ้ำ
จะบอกว่าไม่ต้องทำหรอในเมื่อเป็นโมเดลธุรกิจของเขา ถ้าไม่ทำขนาดนี้อาจจะไม่ได้ยอด 300 แก้วเลย
เรื่องตัวเลขหนูว่าอย่าไปประเมิณเองเลยถ้าไม่ได้ลงมาทำธุรกิจเอง
อย่าง Amazon ลงทุนร้านเล็กๆยัง 2.5 ล้านบาท ยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 250 แก้วเอง
ดูเหมือนเยอะ แต่วัตถุดิบซื้อมาผสมเองไม่ได้ด้วย ต้องทำตามสูตรเท่านั้นต้นทุนแพงกว่าที่คิด
แค่ค่าแก้ว พิมพ์ลายแก้วก็แพงแล้ว
และต้นทุนแปรผันอีกละคะ
ค่าน้ำ ค่าไฟ ขายเยอะก็มีต้นทุนเยอะขึ้น
ต้นทุนตายตัว
ค่าที่ ค่าอาคาร ค่ารัโนเวทตึก
ต้นทุนค่าการตลาดทำโปรโมชั่นอีก
ต้นทุนแฝงอีก
ภาษี ดอกเบี้ยที่กู้มาทำร้าน
หนูยังไม่ทราบว่ากิจการไหนต้นทุน 30% แล้วกำไร 70%
อีกอย่างแบร์เฮ้ายังไม่คืนทุนเลย ขาดทุนต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว
โอ้โห ผมเข้าใจผิดไปเยอะเลย เปิดมาหลายปียังขาดทุนต่อเนื่องแบบนี้
ค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบัน 10590 ต่อเดือนของพนักงานในปัจจุบัน ร้านแบร์เฮ้าส์คงไม่สามารถ afford สิ่งนี้ได้
แบบนี้น่าจะทำได้แค่ลดเงินเดือนพนักงาน ปลดพนักงานแล้วล่ะ น่าสงสารมากๆ
ไม่ประชดซิคะพูดกันตามตรงไม่มีกิจการไหนที่มีต้นทุนแค่ 30% ของรายได้หรอกค่ะ
กิจการยังไม่ทำกำไร ในฐานะผู้บริหารคงไม่มีใครเดินกลยุทธ์ เพิ่มต้นทุนตัวเองอยู่แล้วค่ะ
แล้วลูกจ้างตามกฎหมายก็ไม่ได้มีแค่ค่าแรงขั้นต่ำ
ประกันสังคม ประกันกลุ่ม เครื่องแบบ เงินก็ขึ้นตามอายุงานอีก
แล้วเขาก็ไม่ได้บอกว่าจะปลดพนักงาน หรือลดเงินเดือน อย่าไปตอบแทนเขาเลยค่ะ
ที่หนูโควตคือ อย่าไปประเมินค่าใช้จ่ายคนอื่นเองว่าเขาต้องกำไรเยอะหรือเท่าไหร่
เพราะแต่ละกิจการมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกันไป
เหมือนอ่านไม่เข้าใจประเด็นของกระทู้นี้นะ คำถามค่าต้นทุนค่าจ้างพนักงานต่อวัน เอาแค่ค่าจ้างเลยนะ มันกี่ %?
เพราะตรงส่วนอื่นไม่ว่าจะปรับขึ้นหรือลดมันไม่ได้มี Affect โดยตรงอะไรกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเลย
แล้วถ้าค่าแรงขั้นต่ำปรับตามนโยบาย Cost จะเพิ่มมาจนร้านอยู่ไม่ได้จริงหรือ? (ถ้าจะโควตต่อตอบอันนี้ด้วยนะ)
ซึ่งผมไม่ได้บอกว่ามันกำไร 70% แต่ผมตัดต้นทุนการผลิตออกไป 30% ไม่ได้รวมค่าเสื่อม ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ที่จะคิดเพื่อจะแสดงให้เห็นว่ามันต้องมีกำไรมากพอที่พนักงานจะจ่ายเงินพนักงานระดับ 450-600 บาทต่อวัน
จะบอกว่าผมประเมินค่าใช้จ่ายกำไรผิดก็ไม่แปลก ผมไม่ใช่เจ้าของธุรกิจเค้านี่ ผมจำไปรู้ตัวเลขเป๊ะๆได้ไง
แล้วร้านเค้าไม่ได้จ้างพนักงาน 5 คนอยู่แล้ว ผมยกตัวอย่างเฉยๆ ผมไม่ได้คิดแทนเค้า แต่คุณที่ไล่มาเป็น Story เลยว่าเค้าขาดทุนนี่ตอบเหมือนเป็นเจ้าของร้านอ่ะนะ
กิจการเขาไม่ล้มเพราะขึ้นเงินเดือนพนักงานอยู่แล้วคะ ต่อให้จ่ายวันละพันบาทต่อวันเขาก็ไม่เจ๊งหรอกค่ะ ตอบตรงๆ
แต่ในมุมมองนักลงทุน หรือผู้ประกอบการ ยังไม่ใช่จุดที่จะไปลงทุนตรงนั้นค่ะ
เพราะอะไร
1 กิจการยังโตได้อีก ต้องไปลงทุนเพิ่มสาขา
2 ต้องเขาเงินไปใช้หนี้ อย่างแบร์เฮ้าส์มีหน้าอยู่ 35 ล้าน เพราะการขยายสาขา
3 ต้องหาเงินไปคืนนักลงทุน อันนี้สำคัญเพราะกิจการโตได้เพราะเงินลงทุน
ถ้าไม่ลงทุนขยายสาขาทำได้ไหม ก็ได้แต่เขาก็จะเสียความสามารถในการแข่งขันไป ถ้ามีเจ้าอื่นมาแย่งตลาดไป
ก็นั่นไงครับ สุดท้ายค่าใช้จ่ายต่างๆที่มันสูงเนี่ย มันไม่ได้มาจากค่าจ้างพนักงานถูกต้องมั้ย?
ซึ่งผมก็คิดว่าเค้าไม่ได้จ้างพนักงานด้วยค่าแรงขั้นต่ำแบบตอนนี้ด้วยซ้ำ แบบค่าจ้าง 10k ต่อเดือนในกรณีทำงาน 30 วันต่อเดือน ผมว่าสูงกว่านั้นอยู่แล้ว (ถ้าคิดวันทำงาน 5 วัน/สัปดาห์ก็ 8k ต่อเดือน)
ดังนั้นการมาตีโพยตีพายเรื่องนโยบายค่าแรงขั้นต่ำเนี่ย ว่าธุรกิจจะเจ๊ง อยู่ไม่ได้ เป็นภาระผู้ประกอบการ บลาๆๆๆ
มันเมคเซนส์มั้ยล่ะ?
อย่างที่คำตอบข้างบนๆบอก เมื่อคนมีรายได้สูงมากขึ้น มันก็มีกำลังจ่ายมากขึ้น เผลอๆร้านก็จะได้ประโยชน์จากการที่ลูกค้าเยอะขึ้น ได้กำไรมากขึ้นก็ได้เหมือนกัน
หรือง่ายๆลองคิดกลับกันว่าลดค่าจ้างขั้นต่ำลง เหลือซัก 200 บาท คุณว่าชานมจะขายได้เท่าเดิมมั้ยล่ะ?
Cost คุณลดลงนะ แต่คิดว่ารายได้จะเท่าเดิมมั้ย?
ข้อมูลแบบมีนี้คนจำลองมาเยอะแล้ว
ผลคือแพ้การแข่งขันในตลาด มีบทเรียนให้เห็นก็เยอะ ถ้ามันดีจริงแล้วชนะจริงทำไมคนยังไม่ทำกัน
กิจการ A และ B มีงบประมาณก้อนหนึ่ง
กิจการ A ลงทุนด้วยการเพิ่มค่าแรง
กิจการ B ลงด้วยการซื้อโฆษณา
กิจการ B ชนะ
กิจการ A ลงทุนด้วยการเพิ่มค่าแรง
กิจการ B ลงด้วยการขยายสาขา
กิจการ B ชนะ
กิจการ A ลงทุนด้วยการเพิ่มค่าแรง
กิจการ B ลงด้วยการซื้อเครื่องจักร
กิจการ B ชนะ
การลงทุนเพิ่มค่าแรง ไม่ได้ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้นค่ะ
การที่กิจการ A จะขึ้นค่าแรงแล้วชนะได้มีเงื่อนไขเดียวคือ ขึ้นราคาค่าแรงจนไม่มีคนไปทำงานให้กิจการ B และต้องมั่นใจให้ได้ว่าจะไม่มีกิจการ C มาอีก เพราะไม่งั้นจะแพ้เรื่องต้นทุนทันที
งงอะไรมั้ย เราไม่ได้พูดเรื่องความสามารถการแข่งขันทางตลาด เราพูดเรื่อง Affect จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
นี่ตอนนี้ผมเริ่มคิดจริงๆแล้วว่าท่านคือเจ้าของร้านนะ
เอางี้ครับ ลองคิดดูอีกทีนะ ถ้ามันขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจริงๆ
ร้าน A B C D ร้านไหนได้ผลกระทบบ้าง? คำตอบคือทุกร้าน ถูกมั้ย
มันไม่ใช่ Scenario แบบที่คุณยกมาเลย
มัน Affect กันกับความสามารถการแข่งขัน? หรือว่าคู่แข่งร้านคือ ร้านชาไข่มุกในประเทศพม่า ลาว กัมพูชาที่ค่าแรงถูกกว่า?
การแข่งขันมีตั้งแต่ระดับ องค์กร, ประเทศ, โลก
เจ้าของธุรกิจต้องคิดในระดับจุลภาคถูกแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง
ประเทศก็ต้องคิดถึงในระดับชาติ มหาภาคไป
โลกก็ต้องมาคิดในระดับความร่วมมือ
ถ้าการขึ้นระดับกิจการ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของกิจการแพ้
แล้วการขึ้นทั้งชาติ ก็แข่งขันในระดับชาติแพ้ไงคะ
ยกตัวอย่าง A ต้นทุนถูกกว่าก็ได้เปรียบ B
ถ้า A เพิ่มค่าแรง คำถามต่อมา A สร้างผลผลิตได้มากกว่าเดิมไหม ถ้าไม่นั้นไม่ใช่คำตอบ
คราวนี้มองระดับใหญ่ขึ้นประเทศ A ขึ้นค่าแรงทั้งชาติ และลูกค้าเป็นคนทั้งชาติและต่างชาติ
ถ้าประเทศ A ยังสร้างผลผลิตได้เท่าเติมคุณภาพปริมาณเดิม ทำไมลูกค้าต้องจ่ายแพงขึ้น
ไปซื้อสินค้าจีน หรือจ้างเพื่อนบ้านดีไหม
อ้างอิงจาก:
มัน Affect กันกับความสามารถการแข่งขัน? หรือว่าคู่แข่งร้านคือ ร้านชาไข่มุกในประเทศพม่า ลาว กัมพูชาที่ค่าแรงถูกกว่า?
ผลกระทบไม่ใช่แค่ชาไข่มุกไงละคะ ชาไข่มุกอาจจะแบ่งตลาดกันในประเทศ
คนอื่นที่ทำธุรกิจแข่งกับต่างชาติก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะต้นทุนที่สูงกว่า
การขึ้นค่าแรงส่งเดชแล้วสบายไปทั้งชาติ ต้องมีเงื่อนไขบางประการเช่น
- มีทรัพยาการธรรมชาติ แร่เหล็ก น้ำมัน ถ่านหิน ส่งออกสร้างได้ให้คนในชาติใช้ไปจนตาย
- มีเทคโนโลยีผูกขาดที่ทั้งโลกต้องเข้ามาซื้อกับเราเจ้าเดียว จะขึ้นราคาเท่าไหร่ก็ได้
- มีความชาตินิยมซื้อสินค้าไทยเป็นหลัก สินค้าไม่ส่งออกเลยกิจการก็อยู่ได้
ถ้าไม่มีดังกล่าวก็จะค่อยๆกลายเป็นแบบญี่ปุ่นที่กำลังโดนเกาหลี จีนกินส่วนแบ่งทางตลาดไปเรื่อยๆ
contactme themasksoccer@gmail.com