[RE: ดราม่า ผู้ประกอบการกดค่าแรง]
chimiha พิมพ์ว่า:
ไม่อยากกินต้มไก่ พิมพ์ว่า:
chimiha พิมพ์ว่า:
GNR พิมพ์ว่า:
ผม ไม่ได้ดูคลิป นะ แต่คิดว่าเค้าไม่ได้มองอีกมุม ซึ่งเค้าจะไม่ได้คิดในจุดนี้ ว่า ถ้าค่าแรง ทั่วทั้งประเทศ มันเพิ่มขึ้น
กำลังซื้อก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน กาแฟ แก้วละ 60บาท ที่ปกติ มนุษย์เงินเดือนขึ้นไปถึงซื้อกินได้ ก็จะมี กลุ่มใช้แรงงานก็สามารถมาซื้อได้ หรือมนุษย์เงินเดือนที่เดิมที อาจนานๆซื้อที พอเงินเดือนเยอะขึ้น เข้าก็ซื้อของระดับนี้กินได้ทุกวัน ทำให้ยอดขายเค้าเพิ่ม
ขอยกตัวอย่าง บริษัทวาโก้ เจ้าของบอกว่า บริษัทเค้าขาดทุนจากนโยบายขึ้นค่าแรงสมัยยิ่งลักษณ์ ได้ผลกระทบมาก จนต้องหาทางปรับตัว แต่ปีต่อมา เค้าบอกว่า เค้าทำยอดขายได้สูงสุดตั้งแต่เปิดบริษัทเฉยเลย
เพราะ มันมีแรงซื้อที่มากขึ้น คนสามารถมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น
ผมเลยมองว่า ถ้าค่าแรงมันถูกปรับตามอัตตราที่เหมาะสมอยู่เสมอ จะเป็นเรื่องที่ดี ไม่ใช่ ทุกวันนี้ ข้าวจาน 30 บาท ผมหาซื้อไม่ได้แล้ว เพิ่มเป็น 40 ใส่ไข่ 45-50 ในขณะที่ค่าแรงเท่าเดิม
โครตเห็นด้วยเลยครับ บางคนเขาคิดแค่ ขึ้นค่าแรงข้าวของก็ขึ้นราคาตาม แต่ไม่ได้คิดต่อว่ากำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ก็เพิ่มขึ้นด้วย พอคนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อเกินกว่าจะต้องจำกัดจำเขี่ยไว้ใช้แค่ให้รอดชีวิตไปวันๆ เขาจะเริ่มจับจ่ายใช้สอยหลากหลายมากขึ้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดีเลย
มันขึ้นไปพร้อมกันครับ
เพราะฉะนั้น ค่าแรงท่านขึ้น ค่าแรงพนักงานร้านกาแฟ หรือ ร้านข้าวก็ต้องขึ้น
ร้านก็ต้องขึ้นค่าของ
ท่านต้องมองต่อไปด้วยว่า มันกระทบเป็นทอดๆ ท่านมีเงินเยอะขึ้นก็จริง
แต่ค่าใช้จ่ายมันก็จะเยอะตามไปด้วย
เช่น ถ้าเงินเดือนขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 บาท ข้าวอาจจะจานละ 300 ก็ได้ครับ
มันไม่ใช่ว่า เงินเดือนเพิ่ม จะซื้อของได้มากขึ้น มันซื้อของได้เท่าเดิมแหละครับ
เพราะว่าทุกอย่างรอบตัวท่าน ก็จะเพิ่มราคาตามเงินเดือนขั้นต่ำ ที่เค้าจ้างลูกน้อง
สมมุติเงินเดือน 15,000 ข้าวจานละ 50 บาท แปลว่าเท่ากับท่านซื้อข้าวได้ 300 จาน
แต่ถ้าเงินเดือนเพิ่มเป็น 30,000 แล้วข้าวจานละ 100 บาท ท่านก็ซื้อข้าวได้เท่าเดิมคือ 300 จาน
พอจะเห็นภาพมั้ยครับ มันไม่ใช่ว่าเงินเพิ่ม แล้วจะมีกำลังจับจ่ายใช้สอยเพิ่ม
เพราะมันก็ซื้อข้าวได้ 300 จานอยู่ดี
วิธีที่จะแก้คือ รัฐบาลต้องจำกัดราคาสินค้าอุปโภค
เช่น ถ้าค่าหมู ค่าข้าว ค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ค่าเครื่องปรุง ค่าน้ำ ค่าไฟ ของแม่ค้าลดลง
เงินเดือน 15,000 แต่ข้าวเหลือจานละ 30 บาท แปลว่าเท่ากับท่านซื้อข้าวได้ 500 จาน
แบบนี้มันถึงจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นครับ
มันขึ้นพร้อมกันจริงแต่มันไม่ได้เป็นบรรยัติไตรยางค์ไงครับ มันไม่ใช่ว่าค่าแรงขึ้น 30 % แต่ของทุกอย่างจะขึ้น 30 % เป๊ะๆ ตามขนาดนั้น ยังไม่นับความหลากหลายของการอุปโภคบริโภคอีกที่แต่ละคนมีการใช้จ่ายแตกต่างกันแน่ๆ
ประเด็นผมคือการขึ้นค่าแรงทำให้กำลังซื้อเพิ่มขึ้น>กำลังซื้อเพิ่มขึ้นทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น>เศรษฐกิจโตขึ้นทำให้กำไรกลับไปยังผู้ประกอบการมากขึ้น
จะเห็นว่าสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์ก็ไม่พ้นผู้ประกอบการ การขึ้นค่าแรงมันคือการทำให้เงินหมุนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบมากขึ้นผ่านการใช้จ่ายของแรงงานส่วนใหญ่
ส่วนการจำกัดราคาสินค้าอุปโภคที่ท่านว่ามันก็เป็นการเพิ่มกำลังซื้อเหมือนกัน แค่วิธีต่างกัน ประเด็นปลายทางมันก็เหมือนกัน จะลดรายจ่ายหรือเพิ่มรายได้มันก็เป็นการเพิ่มกำลังซื้ออยู่ดีไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงคิดว่าการลดรายจ่ายจะได้ผลอย่างเดียว เผลอๆจะแย่กว่าขึ้นค่าแรงอีก
เพราะรัฐต้องเอาเงินไป subsidize สินค้าอุปโภคบริโภคให้ราคาต่ำแบบที่ท่านว่า ซึ่งเงินก้อนนี้ก็เข้ากระเป๋านายทุนโดยตรงเลย แต่การขึ้นค่าแรงอาจมีการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจหลายรอบก่อนจะกลับไปหานายทุน
อ้างอิงจาก:
มันขึ้นพร้อมกันจริงแต่มันไม่ได้เป็นบรรยัติไตรยางค์ไงครับ มันไม่ใช่ว่าค่าแรงขึ้น 30 % แต่ของทุกอย่างจะขึ้น 30 % เป๊ะๆ ตามขนาดนั้น ยังไม่นับความหลากหลายของการอุปโภคบริโภคอีกที่แต่ละคนมีการใช้จ่ายแตกต่างกันแน่ๆ
จากที่ผ่านมา ไม่ได้ขึ้นเป็นบรรยัติไตรยางค์จริงๆครับ
แต่ของขึ้นราคามากกว่าเงินเดือนประจำครับ
มันยิ่งแย่นะครับ เงินเดือนเมื่อก่อน 12,000 ข้าวจานละ 20
เดี๋ยวนี้ เงินเดือน 15,000 แต่ข้าวจานละ 60
เงินเดือนขึ้น 25% แต่ค่าข้าวขึ้นไป 100%
แปลว่าการขึ้นเงินเดือนไม่ใช่คำตอบครับ
เช่น ปี 53 ป.ตรี เงินเดือน 12,000 ค่าข้าว 25 บาท แปลว่าซื้อข้าวได้ 480 จาน
ปี 65 ป.ตรี เงินเดือน 15,000 ค่าข้าว 60 บาท แปลว่าซื้อข้าวได้ 250 จาน
เห็นมั้ยครับว่าเงินมันเพิ่มจริง แต่ค่าของเงินมันลดลง เพราะทุกอย่างมันปรับตัวขึ้น
แปลว่า ยิ่งเงินเพิ่ม เราจะยิ่งซื้อของได้น้อยลง
อ้างอิงจาก:
ส่วนการจำกัดราคาสินค้าอุปโภคที่ท่านว่ามันก็เป็นการเพิ่มกำลังซื้อเหมือนกัน แค่วิธีต่างกัน ประเด็นปลายทางมันก็เหมือนกัน จะลดรายจ่ายหรือเพิ่มรายได้มันก็เป็นการเพิ่มกำลังซื้ออยู่ดีไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงคิดว่าการลดรายจ่ายจะได้ผลอย่างเดียว เผลอๆจะแย่กว่าขึ้นค่าแรงอีก
ปลายทางคือ อยากให้ทุกคนใช้จ่ายได้มากขึ้น มีเงินเก็บมากขึ้น
แต่วิธีขึ้นเงินเดือนกับลดค่าใช้จ่าย ผมว่ามันค่อนข้างต่างกันเยอะครับ
ถ้าขึ้นเงินเดือน ทุกอย่างจะแพงขึ้น เหมือนที่เทียบไปด้านบน
แต่ถ้าลดค่าใช้จ่าย ของจะลดลง ถึงเงินเดือนเท่าเดิม ก็มีเงินเก็บครับ
อ้างอิงจาก:
เพราะรัฐต้องเอาเงินไป subsidize สินค้าอุปโภคบริโภคให้ราคาต่ำแบบที่ท่านว่า ซึ่งเงินก้อนนี้ก็เข้ากระเป๋านายทุนโดยตรงเลย แต่การขึ้นค่าแรงอาจมีการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจหลายรอบก่อนจะกลับไปหานายทุน
ในที่นี้ ผมหมายถึง ให้รัฐไปไล่บี้กับเช่น CP ให้ได้กำไรลดลงครับ ไม่ได้ให้เอาเงินรัฐไปอุดหนุนส่วนต่าง
เพราะรายนั้นรวยขนาดไหนแล้ว ก็จากการขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน
แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้ารัฐบาลมันส้นตีนแบบนี้อยู่ ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ
คุมราคาก็ไม่ได้ เพิ่มเงินเดือน ทุกอย่างก็แพง
ก็ต้องอยู่กับที่แบบนี้แหละครับ