หาก แมนฯซิตี้ ชวดเข้าชิง UCL เชื่อเหลือเกินว่า เป๊ป กวาดิโอล่า อาจต้องนอนฝันถึงเกมเลกแรกไปหลายเดือนหลังมีโอกาสเช็กบิล เรอัล มาดริด ตั้งแต่ครึ่งแรกถึง 5-0 ด้วยซ้ำ

สตีฟ แม็คมานาน ที่เคยเล่นให้ทั้ง ซิตี้ และ มาดริด พาดพิงเบาๆหลังจบเกมว่าจ่าฝูงพรีเมียร์เล่นแบบคนอ่อนโลก (naive) ที่ดันปล่อยให้ “ราชัน” ยังมีลมหายใจกลับ สเปน ด้วยสกอร์ 4-3

ถ้วยเดียวในประวัติศาสตร์ที่ “เรือใบ” ยังไม่เคยได้และอยู่ใกล้แค่จมูกเหมือนจะนอนมาได้เข้าชิง 2 ปีติดหลังนำอย่างเร็ว 2-0 ตั้งแต่ 11 นาทีแรก

ไม่มีวันไหนและเกมไหนจะเป็นใจให้เจ้าถิ่นมากเท่าวันนี้อีกแล้วเมื่อ “ราชันชุดขาว” รับมือ high pressing ไม่อยู่ถูกกดจนออกอาการแบบเก็บทรงไม่อยู่

ที่สำคัญคือแนวรับ “ว่าที่แชมป์ ลาลีกา” รั่วโคตรๆทั้ง ดาวิด อลาบา และ เอแดร์ มิลิเตา โดยเฉพาะคนหลังยืนตำแหน่งมั่วซั่วเหมือนคนไร้ประสบการณ์แต่กลับจบเกมสกอร์สูง 4-3 ตุนไว้แค่ลูกเดียว (ไม่อยากใช้คำว่าได้เปรียบลูกเดียว)

เป็นเกมที่ยิ่ง “เรือใบ” ยิงได้เท่าไหร่ฝั่ง “ราชัน” ยิ่งเอาคืนกลับทั้งๆที่โอกาสจะแจ้งต่างกันลิบลับ เป็นเกมที่แปลกๆเหมือนคุณควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้หมดแต่คู่กรณีดันดื้อยาไม่ยอมจำนนซักที

เอาจริงๆ มาดริด อาจหมดกำลังใจไปแล้วหาก ริยาด มาห์เรซ ไม่แสดงความ “เห็นแก่ตัว” เลือกยิงเท้าข้างไม่ถนัดในจังหวะหลุดไปล่อเป้าทั้งๆที่ ฟิล โฟเด้น ยืนเขย่งเยียวรอ tap in อยู่โล่งๆตรงกลางประตู

ความสำคัญของลูกนี้มากแค่ไหนลองดูปฏิกริยาของ เป๊ป ที่เดือดจัดก็พอจะมองเห็นภาพ คือ 3-0 แค่ดึงเกมรอให้คู่ต่อสู้หลังลอยและสวนกลับรอบชิงแค่เอื้อมครับ

อดีตแข้ง เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นนักเตะประเภท “บอลโชว์” ดูดบอลลง, เลี้ยงกินตัวพลิ้ว อะไรพวกนี้มันเรียกเสียงเฮจากแฟนบอลได้อย่างเดียวแต่คุณต้องจบสกอร์ด้วย

แค่เกมนี้เกมเดียวทิ้งโอกาสที่ควรเข้าแน่ๆถึง 2 หน ลูกแรก “แล้งน้ำใจ” แต่นาทีที่ 2 ของครึ่งหลังต้องบอกว่า มิลิเตา อุตสาห์ทำ “หมูหก” จนกระชากไปดวลเดี่ยวกับ คูร์กตัวส์ แต่ดันยิงไปชนเสาอีกพ่อคู๊นน

ภาพซ้ำเดิมๆ (หลังมาห์เรซ ยิงเข้าข้าง) ตามมาหลอนอีกแค่ 3 นาทีแต่เปลี่ยนตัวละครเป็น โฟเด้น ที่หลุดไปยิงเน้นๆแต่หลุดเสาไกล ปวดหัวจนต้องหาที่คาดผมมาสวมหัวเลยคนับ

มัน perfect ตั้งแต่ลูกจ่ายตัดหลังลูกนี้ของ KDB แล้วครับ ปรุงแต่งมาให้รสชาติพอดีทุกอย่าง เรียกว่าป้อนเข้าปากให้ขนาดนี้ยังทำกันไม่ได้

ซิตี้ อาจไม่ได้ประมาท เรอัล มาดริด เพราะเราก็เห็นกันว่าโหมบุกเพื่อรีบๆจบเกมให้ได้ในครึ่งแรกเลยด้วยซ้ำ

แต่ประวัติการค้นหามีให้เห็นมาก่อนหน้านี้ว่า คาริม เบนเซม่า ทำอะไรได้บ้าง ขอแค่โอกาสน้อยนิดไม่ต้องเยอะก็พร้อมพลิกเกมได้ทันที

ลูก 2-1 เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ต้องบอกว่าเครื่องหมายการค้ามีลายน้ำลอกเลียนยากมาก

โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ไม่ได้ตามห่างอะไรเลย เรียกว่าเข้าบอลแทบจะพร้อมๆกันแต่จังหวะยิงที่ยากมากและดันเข้ามุม perfect ขนาดนั้นให้ผู้รักษาประตูคนไหนไม่มีทางเซฟได้

เครดิตส่วนนึงผมให้ ลูก้า โมดริช ด้วยครับ แกสไลด์เสี่ยงตายบวกแย่งกับ โรดรี้ จนกระทั่งมาถึง เมนดี้ คนแอสซิสต์

เกมเหมือนจะจบตอนที่ “เรือใบ” ชิ่งหนีเป็น 3-1 หลังเล่นครึ่งหลังไปได้แค่ 8 นาทีแต่ความได้เปรียบที่ควรส่งผลกระทบกับโมเมนตั้มของเกมกลับมีอายุสั้นมากครับแค่ 2 นาที

ซิตี้ กว่าจะได้ประตูลุ้นแล้วลุ้นอีกแถมแต่ละลูกต่อกันหลายจังหวะใช้ผู้เล่นหลายคนแต่สำหรับ มาดริด ออกแนว direct เหมือนกดสูตรแบบอ่าวมรึงยิงกันงี้เลย

8 วินาทีคือเวลาที่ วินิซิอุส พลิกหนี แฟร์นานดินโญ่ ตรงกลางสนามจนถึงกรอบ 6 หลาของฝั่ง ซิตี้ เป็นลูก 3-2 ที่งงกันทั้งสนาม

เป็นประตูที่มาจากจุดเปราะบางจุดเดียวของเจ้าถิ่นคือตำแหน่งแบ็คขวาหลัง เป๊ป เสียผู้เล่นตำแหน่งนี้ไป 2 คน (ก่อนเกม) และสังเวย จอห์น สโตน (นาที 36) แฟร์นานดินโญ่ จึงต้องพลีชีพสังเวยให้กับเทพวินิซอุสชนิดหมดสิทธิ์อุทธรณ์

ด้วยความสัตย์จริงผมรู้สึกว่าหลัง แบร์นาโด้ ยิง 4-2 มันคือการย้ำชัยส่งสัญญาณให้ มาดริด เลิกตามตื้อเพราะท้ายเกมแล้วเรี่ยวแรงไม่เหมือนช่วงแรก

แต่การจะเปิดซิงถ้วยใบนี้มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆครับ จุดโทษแบบไม่ตั้งใจแต่ด้วยความที่กางเป็นปีกแอร์เอเชียจึงหาข้อหักล้างที่จะไม่ให้ลำบากจริงๆ

ทั้งนี้ต้องยอมใจ เบนเซม่า ที่ใจอำมหิตเลือกยิงจุดโทษ “ปาเนนก้า” แบบไม่สนโลกไม่สนเวลาร่ำเวลากับลูกสำคัญท้ายเกมที่ต้องเด็ดขาด

เป็นเกมคุณภาพ 5 ดาวของ 2 ทีมระดับโลกที่คุ้มค่าต่อการอดหลับอดนอนอย่างแท้จริงครับ

การที่สกอร์ออกมาเบียดกันแบบนี้ทำให้เลก 2 ทาง “เรือใบ” ที่เหมือนจะได้เปรียบแต่ในแง่ของสภาพจิตใจแล้วเชื่อว่าที่ เบอร์นาเบว อยากนับวันให้ถึงเร็วๆมากกว่าด้วย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ เรอัล มาดริด ตกเป็นรองคู่แข่ง ตอนเจอกับ เปแอสเช สกอร์รวมตามหลัง 2-0 และเหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็ยังผ่านมาได้

นี่ไป “โกงตาย” ตามแค่ลูกเดียวแถมมีเวลาเต็มเกม 90 นาที ความดุเดือดไม่หนีจากเกมแรกแน่นวลครับ...

สถิติ สถิติ สถิติ

แมนฯซิตี้ ชนะ 3 เกมรวดในการเจอกับ เรอัล มาดริด ซึ่งสถิตินี้ไม่มีทีมจาก อังกฤษ ทำได้มาก่อน

ไม่มีนักเตะ อังกฤษ คนไหนยิงประตูใน UCL ในขณะที่อายุ 21 ปีหรือน้อยกว่า ฟิล โฟเด้น ของ แมนฯซิตี้ อีกแล้ว (9 ลูกเท่า เวย์น รูนีย์)

สกอร์ 4-3 ที่ เอติฮัด สเตเดียม เป็นการทำประตูรวมมากที่สุดในรอบรองชนะเลิศเท่าคู่ อาแยกซ์ ชนะ บาเยิร์น มิวนิค 5-2 เมื่อปี 1995 และ ลิเวอร์พูล ชนะ โรม่า 5-2 เมื่อปี 2018

หลังยิงแฮทริคใส่ เชลซี และมาบวกอีก 2 กับ ซิตี้ ทำให้ตอนนี้ คาริม เบนเซม่า เป็นนักเตะคนแรกในปนระวัติศาสตร์ UCL ที่ยิง 5 ประตูเกมเยือนในรอบน็อกเอาท์ใส่ตัวแทนสโมสรที่มาจากชาติเดียวกัน

นอกจากนี้ เบนซ์ เป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิง 40+ ในซีซั่นเดียวให้ เรอัล มาดริด นับตั้งแต่ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ เคยทำไว้ในปี 2018 (44 ลูก)

เควิน เดอ บรอยน์ เป็นนักเตะ แมนฯซิตี้คนแรกที่ทำประตูไวที่สุดในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก (93 วินาที)

เหตุผลเดียวที่แมนซิตี้ชนะ แต่ดันรู้สึกเหมือนแพ้กันนั้นคือ 1.25 หยอกๆ

หลักๆเลย เพราะหากทุกคนที่ยังไม่ได้ดูก็คาดหวังไว้แล้วว่าแมนซิเป็นต่อเยอะน่าจะผ่านได้เกิน 1 ลูก

และหากใครได้ดูก็คงเทใจไปแล้วว่าเห้ย เล่นแบบนี้มืงเข้าชิงไปเหอะ โหดอะไรขนาดนั้น บอลเคาะกันแม่นมาก

แต่พอมันนำแค่ลูกเดียวแล้วต้องไปเยือนมาดริดอะ เหมือนทุกคนออกอาการ กลัว กลัวที่จะต้องตกรอบไป

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว รูปเกมส์ดีกว่า สกอร์ดีกว่า นัดหน้าไปเล่นบ้านมาดริดก็แค่สนามให้ยำใหญ่ใหม่นั้นแหละ

ซึ่งความกังวลตรงนี้นี่แหละ ที่ผมหวังว่ามันจะส่งถึงนักเตะทุกคน เหมือนที่ปารีสเจอ

มันคือ อารมณ์โดดเดี่ยว โดยไม่มั่นใจทั้งๆที่เล่นได้ดีกว่า แต่เพราะว่ายังไม่เคยไปถึงเส้นชัยเลย

มักจะตกม้าตายแบบ ''แพ้ได้ไงวะ'' แบบนี้เสมอ

ถ้ามาดริด พลิกแล้วชนะได้อีกรอบจริงๆ สตอรี่ปีนี้ ผมจะถือว่าเป็นปีที่โครตน่าจดจำเลย

อารมณ์เหมือนดูหนัง อเวนเจอร์ภาคสุดท้ายจริงๆ คือ บทเขียนมาให้เอ็งเละเทะกระจอกมาก แต่ดันมีบลัฟฟลับมาได้เสมอ

แต่หากแพ้และซิตี้เข้าชิง ก็ขอให้โชคดีและยอมรับว่าซิตี้เป็นทีมที่ดีจริงๆครับ

เหตุผลเดียวที่แมนซิตี้ชนะ แต่ดันรู้สึกเหมือนแพ้กันนั้นคือ 1.25 หยอกๆ

หลักๆเลย เพราะหากทุกคนที่ยังไม่ได้ดูก็คาดหวังไว้แล้วว่าแมนซิเป็นต่อเยอะน่าจะผ่านได้เกิน 1 ลูก

และหากใครได้ดูก็คงเทใจไปแล้วว่าเห้ย เล่นแบบนี้มืงเข้าชิงไปเหอะ โหดอะไรขนาดนั้น บอลเคาะกันแม่นมาก

แต่พอมันนำแค่ลูกเดียวแล้วต้องไปเยือนมาดริดอะ เหมือนทุกคนออกอาการ กลัว กลัวที่จะต้องตกรอบไป

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว รูปเกมส์ดีกว่า สกอร์ดีกว่า นัดหน้าไปเล่นบ้านมาดริดก็แค่สนามให้ยำใหญ่ใหม่นั้นแหละ

ซึ่งความกังวลตรงนี้นี่แหละ ที่ผมหวังว่ามันจะส่งถึงนักเตะทุกคน เหมือนที่ปารีสเจอ

มันคือ อารมณ์โดดเดี่ยว โดยไม่มั่นใจทั้งๆที่เล่นได้ดีกว่า แต่เพราะว่ายังไม่เคยไปถึงเส้นชัยเลย

มักจะตกม้าตายแบบ ''แพ้ได้ไงวะ'' แบบนี้เสมอ

ถ้ามาดริด พลิกแล้วชนะได้อีกรอบจริงๆ สตอรี่ปีนี้ ผมจะถือว่าเป็นปีที่โครตน่าจดจำเลย

อารมณ์เหมือนดูหนัง อเวนเจอร์ภาคสุดท้ายจริงๆ คือ บทเขียนมาให้เอ็งเละเทะกระจอกมาก แต่ดันมีบลัฟฟลับมาได้เสมอ

แต่หากแพ้และซิตี้เข้าชิง ก็ขอให้โชคดีและยอมรับว่าซิตี้เป็นทีมที่ดีจริงๆครับ

มันออกอาการเสียดายมากกว่าครับ นักเตะเรือดูไม่ได้กลัวอะไรมาดริดหรือกลัวที่จะตกรอบอะไรทั้งนั้นเลยนะ แต่ฟุตบอลทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้เสมอ แค่นักเตะคงรู้สึกว่าน่าจะชนะมากกว่านี้แล้วนัด 2 จะเล่นสบายมากขึ้น

เสียดายที่ FA Cup ดันต้องมาเจอกันเร็วเกินไป
ไม่งั้น มีโอกาส ที่จะเห็น Dream Final แย่งแชมป์ กัน 2 ถ้วย + 1 บอลลีก

แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบ ซิตี้ เพราะมันต่างดาวเกิน
แต่ก็เลือกเชียร์ให้เข้าชิง เพราะมาจาก พรีเมียร์ลีก มากกว่า


แต่ดูแล้ว เป๊ปต้องตั้ง รถบัส ยิ่งกว่า เจอ แอต มาดริด เลย เพราะเบนเซมา คมกว่า กองหน้า ของ แอต มาดริด เยอะมาก พลาดไม่ได้เลย

เอาใจช่วยให้ แมนซิตี้ เข้ารอบชิง ไปเจอกับหงส์แดง

เจอบียาร์เรอัล ผมขอชนะแบบ เยี่ยวเหนียว ก็ได้ รวม 2 นัด ชนะลูกเดียวก็เอา

เพราะหงส์เองก็เริ่มล้า แล้วเหมือนกัน เตะถี่ๆ ขนาดนี้

ผมไม่ได้บอกว่านักเตะเรือกลัวมาดริดนะครับ ผมหมายถึงผมเห็นแฟนแมนซิตี้หลายๆคน อันนี้ขออิงจากด้านนอกละกันไม่ใช่ใน SS ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือแท้นะ แต่หมายถึงหลายๆคนกังวลว่าสกอร์ห่าง 1 ลูกนี้มันเสี่ยงให้พลิกได้และด้วยความที่เล่นดีแต่จบไม่คมบ่อยๆมาแบบนี้ มันฉายซ้ำแล้วตกรอบแบบเสียดายอีกทำนองนั้นครับ

ซึ่งผมก็เขียนต่อว่า ''ซึ่งความกังวลตรงนี้แหละ หวังว่าจะส่งถึงนักเตะทุกคน แบบนัดปารีส''

ส่วนอันนี้อะ ผมหวังว่านักเตะแมนซิจะรู้สึกกังวลแบบที่ปารีสเคยเจอ ซึ่งเวลาจริงๆแล้วจะเป็นหรือไม่เป็นแต่ผมแค่หวังครับ ทำนองนั้นครับ

อ่านแล้วงงไหมหรือผมเขียนงงเอง

ต้องให้เครดิตมาดริดครับ การไปเยือนดูเสียเปรียบก็จริง แต่อะไรก็ไม่แน่นอน ซิตี้ก็หวังบุกไปชนะเหมือนกันครับ

ผลแบบนี้ดีกับหงส์มากกก อย่างน้อยชนะไม่ขาดซิตี้ก็มีเกมให้พะวงเพิ่มอีกหนึ่ง

นัดสองเจอ เบนเซมา Ferrari class หลอนแน่

ผมล่ะเซ็งแทนแฟนแมนซิจริงๆ
โอกาสอย่างเยอะ จบไม่คมกันเลย
ถ้าแมนซิมีหน้าเป้าอย่างฮาลันด์หรือเคน
นี่คงปิดเกมไปนานละ ไม่แปลกใจที่เป๊ป
จะโวยมาเรซขนาดนั้น ผมดูยังเซ็งแทน
ไอเล่นดีมีแอสซิสต์ก็ส่วนนึง แต่จังหวะ
หลุดไปละโฟเด้นรออยู่โล่งๆ พี่แกคิดอะไร
อยู่ถึงไปยิงยัดแบบนั้น ขาข้างก็ไม่ถนัด
แมนซิก็รู้ดีว่าแค่ลูกเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้
ปารีส/เชลซีเจอมาแล้ว นัด 2 ตอนปารีสนำ
สกอร์รวม 2-0 มาดริดยังกลับมานำ 3-2
ตอนเชลซีนำ 3-0 มาดริดก็ยังกลับมาได้
การจะผ่านมาดริดที่ตายยากตายเย็นขนาดนี้
คุณต้องเขี้ยวจริงๆ ปีก่อนที่เชลซีผ่านมาได้ก็
แทบรากเลือด กองหน้าทิ้งโอกาสเป็นว่าเล่น
แบบนี้เลยแต่ดีที่กองหลังช่วงนั้นร่างทองทุกคน
แต่ปีนี้มันเปลี่ยนไปเพราะคิงคาริมแม่งอัพเกรด
เป็นซุปเปอร์ไซย่าก็อดแถมอุสก็พัฒนาขึ้นมาเยอะ
อดใจรอดูนัดหน้าไม่ไหวละ มันส์แน่ๆ สุดท้ายถ้า
แมนซิอดเข้าชิงนี่ต้องกลับมาเสียดายเกมในนัดนี้แน่ แต่ถ้าผ่านมาดริดเข้าชิงได้ก็แปลว่าคุณเขี้ยว
พอ เอาตัวรอดได้ และคู่ควรกับนัดชิง
fact :
ทีมจากอังกฤษที่ผ่านทีมจากสเปน(บาซ่า/มาดริด)
ในรอบรองชนะเลิศหรือรอบ 4 ทีมสุดท้าย
4 ครั้งหลังสุดเป็นแชมป์ทั้ง 4 ครั้ง
- แมนยู / บาซ่า 2007-2008
- เชลซี / บาซ่า 2011-2012
- ลิเวอร์พูล / บาซ่า 2018-2019
- เชลซี / มาดริด 2020-2021

ถ้าแมนซิผ่านลาสบอสของถ้วยนี้ได้
ปีนี้อาจเป็นปีของพวกคุณ
ปล.(แต่ลาสบอสตัวจริงของปีนี้อาจ
เป็นคู่รักคู่แค้นอย่างหงส์แดง เอาจริง
ทั้ง 2 ทีมนี้แย่งชิงความเป็นหนึ่งกันมา
นานแต่แทบไม่ได้เข้าชิงกันเลย มีช่วง
เมื่อก่อนแต่แต่ละทีมก็ยังไม่พีคกันขนาดนี้
มีเชลซีตรูนี่แหละเจอ 2 ทีมนี้ในนัดชิงอยู่นั่น
5555555 ถ้าสมมตินัดชิงเป็นคู่นี้แม่งจะเดือด
ขนาดไหน)

เอาจริงนัดนี้ต้องชม มาดริด กองกลาง กับตัวรุกเล่นกันดีมากเลย แต่ก็หลังรั่วเยอะมากด้วยเช่นกัน พอๆกับเรือ ที่กองหลัง เคยแน่นถึงแน่นมากๆ ดันมาเสียลูกง่ายๆ 2 ลูก เนื่องด้วย ตัวไม่ครบแหละ ขาดแบล็ค 2 ฝั่ง คิดว่านัดหน้าเข็น คันเซโล่ ลงได้ก็น่าจะดีชึ้น
ถ้ามาดริด ยังรั่วแบบนี้นะ ผมว่าโดนเรือยำคาบ้านแน่นอน นัดนี้ เรือ กองหลังเล่นไม่ดีเลย พลาดเยอะ เสียง่ายด้วย จากที่เคยแข่งแกร่ง ผิดฟอร์มมากๆ ซึ่งผมก็แทบไม่เคยเห็นหลังเรือพลาดเยอะได้ขนาดนี้นะ แต่นัดหน้าผมว่าไม่มีพลาดแบบนี้แน่

ผมว่าแมตซ์2ซิตี้มาแนวติดชึ้งแล้ว

เล่นเกมละเอียด ไม่มีจังหวะก็เคาะให้มาดริดวิ่งเข้ามาแย่ง
ผมว่าเกมนี้ซิตี้เร่งเกมตัวเองไปหน่อยทำให้หน้ามาดริดพื้นที่เล่นค่อนข้างเยอะ

นี่ถ้ามีอเวย์โกล บอกเลยแมนซินัดนี้ฟิลเหมือนเสมอกลายๆอะ

ไม่มีอะเวย์โกล์ ไม่มีใครได้เปรียบหรอก
มาดริด คงยิ้มไม่ไหวขนาดนั้น
ขนาดเจอเชลซี รอบที่แล้วก็ครองเกมสู้ไม่ได้
อาศัยว่าเกมรุกคม สวนน่ากลัว

มันเป็นอาการเสียมากว่านะผมว่า แฟนบอลก็เสียดาย โค้ชยิ่งเสียดาย เจอกันล่าสุดก็ชนะ มาดริดไป-กลับ จะด้วยนักเตะตอนนั้นบาดเจ็บไม่ฟูลทีมอะไรก็แล้วแต่ ในแง่ของจิตวิทยา เฮ้ย เราก็เคยไปชนะมาแล้วนี้ที่บ้านมาดริด อะไรแบบนี้มากกว่า ถ้าผมโพสไม่ถูกใจอะไรก็ขออภัยนะครับ เป็นเพียงความคิดส่วนตัวผม..

ชนะมาได้โดยขาด RB/LB ตัวหลักดีขนาดไหนแล้ว

ธรรมชาติของซิตี้ต้องเจอเกมที่มีความตึงเครียดสูงถึงจะรีดพลังออกมาได้

ถ้านำเยอะๆห่างๆกลัวว่าการเล่นแบบติดประมาท ไม่เน้นแล้วความแม่นยำจะลดลงไป

รอดูนัดหน้าถ้าฟูลทีมทั้งคู่น่าจะสนุกกว่านี้อีก