12 นัดชี้ชะตาโรงงาน “ท๊อฟฟี่”
ถ้าช่วงนี้คุณค้นกูเกิ้ลพิมพ์เล่นๆคำว่า Have Everton ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ดีระบบจะขึ้นต่อท้ายมาให้ทันทีว่า ever been relegated
อาจจะเป็นคำที่คนเริ่มค้นหาบ่อยที่สุดหลังแพ้ วูลฟ์แฮมป์ตัน คาบ้าน 1-0 โดยที่โปรแกรมงวดเข้ามาเหลือแค่ 12 นัด
ยอดทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เคยตกชั้นครับแต่ก็นานมากแล้วคือในฤดูกาล 1950-51 หรือเมื่อ 72 ปีที่แล้วและคัมแบ็คกลับมาอย่างรวดเร็วภายใน 4 ปี
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เอฟเวอร์ตัน ยืนระยะมาอย่างต่อเนื่อง 67 ปี เป็นทีมที่อยู่ในลีกสูงสุดนานที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก อาร์เซนอล ซึ่งเป็นอะไรที่แฟนบอล "ปืนใหญ่" ภาคภูมิใจที่สุดเนื่องจากเป็น “ทีมเดียว” ที่ตะบี้ตะบันน้ำหมากอยู่ในลีกสูงสุดมาทุกๆฤดูกาลนับตั้งแต่เริ่มเปิดลีกซีซั่น 1919-20 หรือ 103 ปี!!
ทีมพี่เบิ้มหลายๆทีมยังเป็นรอง เอฟเวอร์ตัน เลยนะครับโดย ลิเวอร์พูล ไม่ตกชั้นอีกเลยนับตั้งแต่ 1962-63 (60 ปี), แมนฯยูฯ 1975-76 (ผมเกิดพอดี 47 ปี), สเปอร์ส 1978-79 (44 ปี) และ เชลซี 1989-90 (33 ปี)
แต่หลายคนที่เห็นฟอร์ม เอฟเวอร์ตัน ช่วงหลังๆเริ่มเป็นกังวลแทนจากผลงานที่ไม่รู้จะเข็นยังไงหลังแพ้ 5 จาก 6 นัดและ 4 นัดหลังสุดแพ้เรียบวุธทำให้ตอนนี้หล่นไปอยู่อันดับ 17 มี 22 แต้มเท่า วัตฟอร์ดทีมอันดับ 18
เป็นการสะท้อนสถานการณ์วิกฤติที่สุดครั้งนึงของขุนพล “ท๊อฟฟี่เมน” โดยนับตั้งแต่ แฟร็งค์ แลมพาร์ด เข้ามาแทน ราฟาเอล เบนิเตซ แกช่วยให้ทีมได้แค่ 3 จาก 18 แต้ม!!
ราฟา แกมาดีมากครับช่วงแรกกวาดชัยไป 4 จาก 6 เกมแรกของซีซั่นจนหลายคนจับตามองแต่จากอาการบาดเจ็บของ โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน คนที่ยิงประตูทุกนัดใน 3 นัดแรกดันดวงซวยกระดูกเท้าแตกในเดือนกันยายนต้องพักยาวถึง 4 เดือน
พอคัมแบ็คกลับมาในเดือนมกราคมก็ดัน “เป้าสะอาด” 5 เกมรวด จากนั้นอาการก็ทรงๆทรุด วันที่เจอกับ แมนฯซิตี้ ก็เจ็บตอนซ้อมและยังไร้ชื่อในเกมแพ้ วูลฟ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ฤดูกาลนี้ลงสนามไปแค่ 8 เกมเท่านั้น
ความได้เปรียบเดียวที่ เอฟเวอร์ตัน มีอยู่ในตอนนี้คือพวกเขาเตะน้อยกว่า “แตนอาละวาด” 3 นัดแต่จากฟอร์มที่เราเห็นกันในสนามมันไม่ได้บ่งบอกว่าจะเป็นประโยนช์ใดๆเลยด้วยซ้ำ
ที่น่าเป็นห่วงมากคือภาษากายของนักเตะเรียกว่าไม่สู้และเริ่มรู้สึกว่า “แลมพ์” มือไม่ถึง
เกมเดียวที่ “ท๊อฟฟี่” เล่นดีมากๆนั่นคือวันที่แพ้ แมนฯซิตี้ ใน กูดิสัน พาร์คซึ่งเป็นวันที่ลงทุนลงแรงไปเยอะมากแต่ความผิดพลาดของ ไมเคิ่ล คีน ก่อนหมดเวลาแค่ 8 นาทีทำให้ปัญหาลุกลามตามมา
ปัญหาที่ว่าคือ เอฟเวอร์ตัน พึ่งพาการเก็บแต้มในบ้านเป็นหลัก (ซึ่งก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ชนะ 5 เสมอ 1 แพ้ 7) แต่เมื่อในบ้านพลาดซักเกมสองเกมสถานการณ์สวิงหนักเพราะพวกเขามีสถิตินอกบ้านห่วยที่สุดในลีกเพิ่งชนะแค่ 1 จาก 13 และแพ้อีก 9
วันอาทิตย์ที่ผ่านมามีเตะ 3 ทุ่มหลายคู่ ผมเปลี่ยนสลับดูระหว่าง เชลซี - นิวคาสเซิ่ล กับ เอฟเวอร์ตัน - วูลฟ์แฮมป์ตัน
แต่สุดท้ายเลือกแช่อยู่ที่ กูดิสัน พาร์ค ซึ่งสกอร์ 1-0 อาจเหมือนสูสีแต่บอกเลยว่าเจ้าถิ่นวิ่งไม่เจอบอลเพราะรู้ๆกันอยู่ว่า “หมาป่า” เป็นพวกบอลระบบ ทำชิ่งเคาะบอลพอเจอแบบนี้บ่อยๆไม่ไล่กันแล้ว ถอยร่นเจอขึงเกือบๆข้างเดียว
แฟนบอลนั่งกันเงียบกริบ เวลากล้องแพนมานี่สีหน้าบ่งบอกเลยว่ารู้ชะตากรรม เกมรุกบทจะสวนกลับก็เชื่องช้าเพราะ “หมาป่า” เล่นหลัง 3 กลางอีก 5 แน่นไปทุกจุด
วูลฟ์ ยุค บรูโน่ ลาจ เขี้ยวกว่าสมัย นูโน่ ซานโต้ เยอะครับ รายหลังเน้นเหนียวแน่นครองบอลก็จริงแต่มักเน้นขึ้นเกมทาง อดาม่า ตราโอเร่ เลี้ยงออกปีกแล้วโยน บอลเลยมีมิติเดียว
วันที่ เอฟเวอร์ตัน แต่งตั้ง แลมพาร์ด ผมคิดอยู่ว่าจะไหวไหมเพราะภารกิจนี้มันต้องคนที่เจนจัดแท็คติกมีชั่วโมงบินพอสมควร
เอาง่ายๆตอนคุม เชลซี มีนักเตะระดับโลกล้นทีมแต่ “แลมพ์” กลับไม่มีแท็คติกส์ใดๆนอกจากออกปีกแล้วโยน พอต้องมารับงานกับ “ท๊อฟฟี่” ซึ่งนักเตะหลายคนพากันฟอร์มตกแถมเริ่มถอดใจกันแล้วยิ่งหนักเข้าไปอีก
คืนวันพฤหัสนี้เป็นอะไรที่น่าจับตามองมากครับเพราะดันมาพบกับ นิวคาสเซิ่ล ที่ตอนนี้ฟอร์มอย่างโหด ก่อนเสียท่า เชลซี 1-0 ลูกทีม เอ็ดดี้ ฮาว ไม่แพ้ใครมา 9 นัดถีบตัวเองจากบ๊วยลอยตัวขึ้นไปอยู่อันดับ 14 อยู่เหนือโซนตกชั้น 9 แต้ม
ทรงบอล “สาลิกา” เหนียวแน่นมากครับ เรียกว่าทำให้ เชลซี ยิงไม่เข้ากรอบเลยตลอด 75 นาทีก่อนเหม่อนิดเดียวโดน ไค ฮาแวร์ตซ์ แล่บไปยิงนาที 89
ปัจจัยที่ เอฟเวอร์ตัน อาจยังพอมีลมหายใจอยู่บ้างนอกจากจำนวนเกมแล้วก็เป็นฟอร์มของ วัตฟอร์ด กับ เบิร์นลีย์ ที่ยังไม่มีทีมไหนดีแบบก้าวกระโดด
ทีมของ ชอน ไดซ์ ยังแก้ปัญหายิงประตูชาวบ้านไม่ค่อยได้ (ยิงน้อยสุดรองจาก นอริช) ถ้าจะทำแต้มหนีตายแต่ยิงใครไม่ได้หมดสิทธิ์คิดถึงชัยชนะนะครับ ส่วน “แตน” บทจะแพ้ก็เละเทะแต่การบุกไปเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน แบบพลิกล็อกทำให้ เอฟเวอร์ตัน ต้องเดือดร้อนไปเรียบร้อยแล้ว
ที่เครียดแทนแฟนเอฟคือโปรแกรม 12 นัดที่เหลือนี่แหละครับ แค่เห็นชื่อ แมนฯยูฯ, เวสต์แฮม, ลิเวอร์พูล, พาเลซ, เชลซี, เลสเตอร์ และ อาร์เซนอล เหนื่อยแทนจริงๆ
ปัญหาในสนามว่าหนักแล้วแต่นอกสนามดันมาซ้ำเติมอีกหลังสโมสรกำลังพยายามเจรจากับทาง พรีเมียร์ลีก ในการประกาศผลประกอบการที่ว่ากันว่าขาดทุนเกิน 100 ล้านปอนด์
หากนับ 2017-2020 พวกเขาขาดทุนรวมเป็นเงิน 260 ล้านปอนด์ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติ เอฟเวอร์ตัน จะเข้าข่ายผิดกฏการเงินของ พรีเมียร์ลีก ที่ระบุชัดเจนว่าภายใน 3 ซีซั่นต้องห้ามขาดทุนเกิน 105 ล้านปอนด์
ตลอด 6 ปี เอฟเวอร์ตัน ซื้อนักเตะใหม่เข้ามารวมเป็นเงิน 450 ล้านปอนด์ พวกเขาเองก็รู้ว่าใช้จ่ายมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วทำให้ซัมเมอร์ที่ผ่านมาเซ็นฟรีนักเตะ 4 รายและใช้เงินไปแค่ 1.7 ล้านปอนด์ซื้อ เดมาราย เกรย์ มาจาก เลเวอร์คูเซ่น
สืบเนื่องด้วยสถานการณ์โควิดทำให้ เอฟเวอร์ตัน ขอผ่อนผันการแถลงผลประกอบการของฤดูกาล 2020-21 ที่ต้องมีขึ้นตั้งแต่ธันวาคมปีที่แล้ว
เดิมที “ท๊อฟฟี่” วางแผนทำสัญญากับสปอนเซอร์สนามซ้อมในวงเงิน 300 ล้านปอนด์ใน 20 ปีแต่ชะตากรรมเล่นตลกเมื่อ USM Holding ดันเป็นบริษัทของ อลิสเชอร์ อุสมานอฟ ที่เป็นชาว รัสเซีย จนถูกอายัดทรัพย์สินไปเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ฟาร์ฮัด โมริชี เจ้าของสโมสรเป็นประธาน USM Holding แล้วด้วยความที่สนิทสนมกับ อุสมานอฟ ทำให้ รัฐบาล อังกฤษ จับตามองอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
เดดไลน์ พรีเมียร์ลีก ที่จะให้ทุกๆสโมสรแจงผลประกอบการถึงแค่ “สิ้นเดือนนี้” เท่านั้น
หาก เอฟเวอร์ตัน ไม่สามารถหาทางออกได้พวกเขาจะเป็นทีมแรกที่ถูกลงโทษจากกฏ Financial fair play (FFP) ซึ่งต้องถูกตัดแต้ม
ความหวังเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้คือยื่นคำร้องขอผ่อนปรนเนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด ต้องดูว่า พรีเมียร์ลีก จะ “ตงฉิน” หรือหาทางหนีทีไล่ให้
ถ้าใครยังอยากเห็น เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมทช์ ในซีซั่นหน้าคงต้องส่งแรงใจช่วยขุนพล “ท๊อฟฟี่เมน” กันหน่อยแล้วล่ะครับ...
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Tue Mar 15, 2022 17:05, ทั้งหมด 4 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ