[size=16][color=blue]
ออกตัวไว้ก่อน ว่าผม อยากจะนำเสนอ ข้อเท็จจริงที่มีการค้นคว้าไว้ โปรดใช้วิจารณาณ และถ้า มีคำถาม ถามในกระทู้ได้เลยครับ ผมว่าง
"น้ำมันแพง" "ก๊าซก็แพง" "พรุ่งนี้น้ำมันจะขึ้นอีก 60 สตางค์ต่อลิตร รีบๆไปเติมเร็ว" "อะไรกัน LPG จะปรับราคาอีกแล้ว" ฯลฯ คำพูดเหล่านี้ คงเป็นคำพูดที่ได้ยินจนชินไปซะแล้วในปัจจุบันนี้
ทุกวันนี้คนที่เข้าใจโครงสร้างราคาน้ำมันที่แท้จริงมีอยู่ไม่มาก
แม้แต่บรรดากูรูทั้งหลาย ก็ยังไม่เข้าใจธุรกิจนี้จริงๆ
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราคาน้ำมันในประเทศไทยมีโครงสร้างอย่างไร
ไม่รู้ว่าโครงสร้างทางธรณีวิทยาของประเทศไทยเป็นยังไง
หลับหูหลับตากล่าวโทษบริษัทน้ำมันท่าเดียว พากันมาออกความเห็นออกสื่อ ซึ่งหาได้ทั่วๆไปในข่าวหัวสีทั้งหลาย
ดังนั้นผมจึงมีแรงบันดาลใจที่จะเขียนบทความนี้ (เป็นการส่วนตัว)
ขึ้นมาแชร์ถึงโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซในประเทศไทยดังต่อไปนี้นะครับ
ในบทความตอนนี้เอาเรื่องน้ำมันล้วนๆ จะพูดถึงน้ำมันดิบ (Crude)
และน้ำมันสำเร็จรูป อย่างเดียวก่อนนะครับ
ไม่พูดถึงพลังงานอย่างอื่นที่เราบริโภคกันยังกะซดน้ำนะครับ
ปัจจุบัน เรายังต้องพึ่งพานำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเข้ามากลั่นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ ในปี 2555
http://www.eppo.go.th/info/stat/T01_01_01.xls
***************************
ประเทศไทยมีความต้องการในการนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึง 819,173 บาร์เรลต่อวัน
ในขณะที่ประเทศไทยมีความสามารถในการผลิตน้ำมันดิบแค่เพียง 148,977 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น
***************************
แถมคอนเดนเสทให้ด้วยอีก 81,584 บาร์เรลต่อวัน
(คอนเดนเสทจำนวนนึงจะถูกส่งออกเพราะสารปรอทสูง
โรงกลั่นในประเทศไทยปัจจุบันยังไม่สามารถปรับปรุงคุณภาพมากลั่นได้)
ดังนั้นถ้ามีใครบางคนบิดเบือนบอกว่า เรามีแหล่งพลังงานน้ำมันเยอะพอๆกะซาอุฯ หรือเรียกประเทศไทยว่าเป็นซาอุฯแห่งเอเชียอาคเนย์นี่
อย่าไปหลงเชื่อเด็ดขาดนะครับ (1 บาร์เรล เท่ากับ 159 ลิตร)
แต่จริงๆแล้ว เราก็มีส่งออกในส่วนน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปนะครับ
เป็นจำนวน 158,646 บาร์เรลต่อวัน มีมูลค่ามากกว่าข้าวเสียอีก
(ถ้าคิดแค่ส่วนที่ส่งออกนะ) เพราะน้ำมันดิบส่วนที่ว่า
เราผลิตอยู่ในประเทศเนี่ยแหละ แต่ไม่สามารถปรับปรุงคุณภาพเพื่อใช้กับโรงกลั่นของเราได้ (โรงกลั่นจะออกแบบเพื่อรองรับน้ำมันดิบดูไบ Dubai Fateh เป็นส่วนประกอบสำคัญ
กลั่นแล้วได้ดีเซลเป็นหลักที่ประเทศไทยต้องการใช้มากที่สุด) อย่างเช่นมีพวกกำมะถันเยอะเกินไป สารปรอทสูงเกินไป
หรือมีส่วนประกอบไม่เหมาะสมจะทำให้กลั่นได้เบนซินมากเกินไปเกินความต้องการของประเทศ ฯลฯ ก็ส่งออกไปขาย หรือ
ส่งออกไปกลั่นที่โรงกลั่นต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกก็เป็นสัญญาระยะยาวกับทางต่างประเทศ
แต่ทางการไทยก็พยายามบังคับให้ลดการส่งออกส่วนนี้ เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันดิบ โดย ปตท ก็ต้องรับซื้อส่วนนี้แต่เพียงผู้เดียว
และต้องมีภาระการปรับปรุงคุณภาพก่อนเข้าโรงกลั่นอีกด้วย เพื่อลดคำครหา (ที่ผิดๆ)
รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปที่เรากลั่นมาเกิน เพราะ น้ำมันดิบเวลากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป จะได้น้ำมันชนิดต่างๆ
เช่น LPG น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันเตา ยางมะตอย ฯลฯ
เราก็ต้องกลั่นให้ทุกอย่างเพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศใช่มั้ยครับ
เราไม่สามารถกลั่นน้ำมันดิบจำนวนนึงให้ออกมาเท่ากับความต้องการการใช้ของประเทศไทยได้ทุกตัวแน่นอน ดังนั้นก็ต้องมีส่วนที่เกินมา
ส่วนที่เกินถ้าเราสต๊อกไม่ไหว ก็ต้องขายออกไปเอาเงินกลับเข้ามาดีกว่า (เพราะเงินสต๊อกได้เสมอ ฮา) นอกจากนี้
โรงกลั่นในประเทศไทยมีผู้เล่นเป็นบริษัทต่างชาติอยู่ ซึ่งโรงกลั่นทั้งไทยและเทศก็จะมีการกลั่นออกมาแข่งขันจำนวนนึง
ซึ่งพอขายไม่หมดก็ต้องส่งออกไปขายข้างนอก ไม่เก็บสต๊อกไว้ในกรณีถังน้ำมันไม่พอเพียง
ข้อมูลนำเข้า ส่งออก การผลิต น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปอย่างละเอียด
http://www.doeb.go.th/info/info_sum.php
กรณีน้ำมันดิบไทยกลั่นแล้วได้เบนซินเป็นส่วนประกอบหลัก
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9550000122090
กรณีน้ำมันดิบกับคอนเดนเสทจากอ่าวไทยมีสารปรอทสูง ...
http://www.democrat.or.th/th/news-activity/article/detail.php?ID=13683
บางคนบอกว่าเราส่งออกน้ำมันมีมูลค่ามากกว่าข้าว แต่เดี๋ยวก่อน หยุดคิดนึดนึงครับ
เพราะมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง น้ำมันที่เราส่งออกบางส่วนไม่สามารถกลั่นในประเทศไทยและบางส่วนเกิดจากการซื้อน้ำมันดิบจำนวนมหาศาลเข้ามา
ก่อนแล้วค่อยกลั่นแล้วเหลือใช้ในน้ำมันบางชนิดแล้วจึงขายออกไป คิดเป็นจำนวนสุทธิ เรามีการนำเข้าน้ำมันสุทธินะครับ
ส่วนข้าว เราผลิตเองในประเทศทั้งหมด เหลือจากการบริโภคภายในประเทศแล้วส่งออกหมด
ดังนั้นมูลค่าการผลิตข้าวของเรา เราถือว่าเราส่งออกข้าวสุทธิครับ
ในเมื่อประเทศไทยรับประทานน้ำมันดิบสูงกว่าที่ผลิตได้ 4-5 เท่า
แถมที่ผลิตได้บางส่วนก็กลั่นไม่ได้อีก ก็ต้องนำเข้า และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเงินตราไหลออกต่างประเทศจนรัฐบาล
ต่อให้เป็นรัฐบาลไหนๆก็ต้องเก็บภาษีเข้าคลังเยอะๆไว้ก่อนครับ
จะไปเทียบกับประเทศที่มีน้ำมันเยอะขนาดส่งออกได้ ไม่ได้นะครับ
มาดูโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าปั๊มกันดีกว่า ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร
อันนี้เป็นของจริงที่เป็น Official จากกระทรวงพลังงาน
ถ้าเราใส่ใจหาข้อมูลก็จะรู้ที่มาที่ไปครับ เพราะบางคนเล่นเอาราคาน้ำมันสำเร็จรูปตามตลาดซื้อขายสิงคโปร์มาหาราคาต่อลิตรแบบง่ายๆนะครับ
(บางคนหนักกว่านั้นเล่นเอาราคาน้ำมันดิบมาใช้หน้าตาเฉย!!!)
ยิ่งไปกว่านั้นเล่นเอาราคาขายปลีกสิงคโปร์มาอ้างแบบไม่กลัวหน้าแหกด้วย (ราคาซื้อขายในตลาดสิงคโปร์ หรือ SIMEX
ไม่ใช่ราคาขายปลีกในประเทศสิงคโปร์ ระวังอย่าสับสน เดี๋ยวจะมีรายละเอียดต่อไปครับ)
มาดูกราฟแท่งที่ผมทำให้ดูอย่างง่ายดีกว่าครับ
ข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน
http://www.eppo.go.th/petro/price/index.html
Ex-Refin. = ราคาขายหน้าโรงกลั่น
Tax = ภาษีสรรพสามิต
M. Tax = ภาษีเก็บเข้ากระทรวงมหาดไทย
Oil Fund = เงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมัน
Consv. Fund = เงินเก็บเข้ากองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
Marketing margin = ค่าการตลาด
Retail price = ราคาขายหน้าปั๊มน้ำมันในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
กราฟที่ 1: โครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย ณ วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556 (บาท/ลิตร)
โดยรวมนะครับ
จะเห็นได้ว่า น้ำมันเบนซิน ไม่ว่าจะเป็น เบนซินไร้สารตะกั่ว (Unlead) หรือ เบนซินแก๊สโซฮอล (Gasohol) เนี่ย
ราคาหน้าโรงกลั่นแทบไม่ได้แตกต่างกันเลย เอาจริงๆ
แก๊สโซฮอล์ต้นทุนสูงกว่าด้วยซ้ำ
ส่วนน้ำมันดีเซล น้ำมันเศรษฐกิจ นั้นมีต้นทุนสูงที่สุด
เมืองนอกขายกันแพงกว่าเมืองไทยเยอะ
มาวิเคราะห์กันเป็นแต่ละชนิดเลยนะครับ
(จะพูดถึงราคาล้วนๆนะครับ ไม่พูดถึงอัตราสิ้นเปลือง)
****************************
เบนซิน 95 (Unleaded 95) กับ เบนซิน 91 (Unleaded 91)
จะเห็นว่า ราคาปัจจุบันแทบไม่ต่างกัน ไม่เหมือนช่วงๆนึงที่ทางรัฐรณรงค์ลดการใช้เบนซิน 95
ให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล 95 กันมากขึ้น แต่ขณะนั้นรถเก่าบางจำนวนยังไม่สามารถรองรับการใช้แก๊สโซฮอล์ได้
ทางรัฐจึงไม่ได้เก็บภาษีของน้ำมันเบนซิน 91 เยอะเท่ากับตอนนี้
หลังจากที่ประชาชนเห็นว่า แก๊สโซฮอล
ก็ไม่ได้ทำอันตรายอะไรกับเครื่องยนต์ (จำได้มีอะไรๆก็โทษแก๊สโซฮอล ปตท.ก็เป็นแพะไปด้วย)
จำนวนการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการลดการใช้น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วทั้ง 95 และ 91
ทางรัฐเลยรีดภาษีกับกองทุนน้ำมันจากน้ำมันทั้งสองประเภทนี้เต็มที่ ทำให้ราคาน้ำมันทั้งสองชนิดนี้
แพงมากอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ทั้งๆที่ราคาหน้าโรงกลั่นพอๆกับน้ำมันชนิดอื่นๆ
****************************
แก๊สโซฮอล 95 (Gasohol 95, E10) กับ แก๊สโซฮอล 91 (Gasohol 91)
เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมเอทานอล 10%
ราคาหน้าโรงกลั่นเอาจริงๆแพงกว่าราคาน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วด้วยซ้ำ (หลักสตางค์) เพราะความจริงแล้ว การมี เอทานอล (Ethanol, C2H5OH)
ผสมไม่ได้ช่วยให้ราคาต่ำลงอย่างที่คิด เพราะต้องมีต้นทุนในการผสมด้วย
แต่ที่ทางภาครัฐสนับสนุนให้ใช้เพราะว่า เอทานอลที่เติมลงไปในเบนซินนั้น เราสามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง จากพวกมันสำปะหลังหรืออ้อย
เมื่ออยู่ในแก๊สโซฮอล์ E10 จะทำให้เราสามารถลดการนำเข้าน้ำมันดิบได้ถึง 10% ถือว่าเป็นการป้องกันไม่ให้เงินตราไหลออกนอกประเทศได้ส่วนนึง
และเป็นการสนับสนุนภาคการเกษตรของเกษตรกรบ้านเราด้วย
ในด้านภาษีน้ำมันทั้งหมด เก็บน้อยกว่าภาษีของเบนซินไร้สารตะกั่วอยู่ประมาณ บาทกว่าๆ
แต่ทางกองทุนน้ำมันจะเก็บน้อยกว่าเบนซินไร้สารตะกั่วอยู่ถึง 6-7 บาท ทำให้ราคาห่างจากเบนซินไร้สารตะกั่วอยู่ราวๆ 8-9 บาทเลยทีเดียว
เป็นการจูงใจให้คนหันมาใช้แก๊สโซฮอล์มากกว่าเบนซินไร้สารตะกั่วล้วนๆ
****************************
แก๊สโซฮอล E20 (Gasohol E20)
เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอล 20% ให้ค่าออกเทนสูงถึง 98
เพราะตามธรรมชาติ เอทานอล ให้ค่าออกเทนสูงมากยิ่งมีส่วนผสมเยอะค่าออกเทนก็ยิ่งสูงตามไป
แต่มีคุณสมบัติกัดกร่อนทำให้รถรุ่นเก่าๆไม่สามารถใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูงได้ อย่างที่กล่าวไปในส่วนของแก๊สโซฮอล 95, 91 นั้น
เอทานอลสามารถผลิตได้ในประเทศไทย ดังนั้นยิ่งมีเอทานอลผสมเยอะเท่าไร ภาครัฐยิ่งสนับสนุนมากครับ
ส่วนของ E20 เนี่ยรัฐจะเก็บภาษีทั้งหมดน้อยกว่า E10 อยู่ บาทกว่าๆ น้อยกว่า เบนซิน 95 ประมาณ 2.60 บาท
และส่วนกองทุนน้ำมันกับกองทุนอนุรักษ์พลังงานอุดหนุนราคา (Subsidy)
ให้อยู่ 65 สต.ต่อลิตรด้วย เลยทำให้ราคาโดยรวมต่ำกว่า
แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ 5 บาทกว่าต่อลิตร ดังนั้นคนที่มีรถรุ่นใหม่ๆก็อยากจะใช้น้ำมันชนิดนี้มากกว่าเพราะราคาถูกกว่าเยอะ
****************************
แก๊สโซฮอล E85 (Gasohol E85)
เป็นน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอล 85% ให้ค่าออกเทนสูงถึง 100-105 เพราะตามธรรมชาติ เอทานอล
ให้ค่าออกเทนสูงมากยิ่งมีส่วนผสมเยอะค่าออกเทนก็ยิ่งสูงตามไป แต่มีคุณสมบัติกัดกร่อนทำให้รถรุ่นเก่าๆไม่สามารถใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลสูงได้
รถที่ใช้น้ำมันชนิดนี้ในเมืองไทยยังมีน้อยครับ เพราะต้องได้รับการออกแบบเป็นพิเศษที่ทนสภาพการกัดกร่อนได้
ราคาขายหน้าโรงกลั่นต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ 1.30 บาท
ซึ่งถ้าขายราคานี้คงไม่มีใครซื้อ ก็ต้องปรับราคากันที่ส่วนอื่น
ภาษีรัฐก็เก็บน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆอยู่ราวๆ 6-9 บาท ซึ่งขณะนี้เก็บอยู่ที่ 2.67 บาท ขณะที่ภาษีของเบนซิน 95 เก็บอยู่ 10.89 บาท
เห็นมั้ยครับว่าต่างกันลิบเลย ส่วนของกองทุนน้ำมันและอนุรักษ์พลังงานอุดหนุนราคา (Subsidy) ให้ 10.85 บาท
แต่ที่น่าสังเกตอยู่อย่างนึง ค่าการตลาดของน้ำมันชนิดนี้สูงมากอยู่ที่ 7.78 บาทต่อลิตร เนื่องจากน้ำมันชนิดนี้คนเติมน้อย
ทำให้มีต้นทุนการขายสูงกว่าน้ำมันชนิดอื่น เพราะต้องเสียพื้นที่สต๊อกน้ำมันทั้งๆที่ขายไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ขายน้ำมันชนิดนี้
ก็เอาพื้นที่ไปเก็บน้ำมันชนิดอื่นจะดีกว่า ถือว่าเป็นค่าเสียโอกาสการทำรายได้จากน้ำมันชนิดอื่นด้วย
****************************
ดีเซลหมุนเร็ว (H-Diesel)
ถือว่าเป็นน้ำมันเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะทั้งภาคการค้า ขนส่งและการเกษตร ยังต้องพึ่งพาน้ำมันชนิดนี้มาก
เป็นน้ำมันที่มีความต้องการใช้มากถึง 40% ของพลังงานทั้งหมดจึงเป็นน้ำมันที่ทางภาครัฐเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำมันชนิดอื่นๆทั้งหมด
เก็บไม่ถึง 2 บาท เป็นน้ำมันที่รัฐพยายามควบคุมราคา ปัจจุบันไม่เกิน 30 บาท จำได้เคยพยายามจะควบคุมไม่ให้เกิน 14 บาท
แต่เอาไม่อยู่เพราะความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นสูงมากรวมถึงราคาน้ำมันโลกมันสูงจนเกินที่จะตั้งเพดานไว้ได้
(สถานการณ์คล้ายๆ LPG ในปัจจุบัน ไว้คุยในบทความต่อไป) แถมกองทุนน้ำมันและอนุรักษ์พลังงานใจดีเก็บแค่ 95 สตางค์
ดังนั้นคนที่ใช้ดีเซลก็เลยได้ใช้น้ำมันถูกมาก (ซึ่งพวกกูรูไม่เคยหยิบยกขึ้นมาอ้างเลย) ตอนสมัยผมเรียน ป.โท ที่อังกฤษ
ผมจะสังเกตเห็นว่า น้ำมันดีเซลที่นั่นแพงที่สุดครับ เพราะเป็นน้ำมันที่มีอุปสงค์ (Demand) มากที่สุด และต้นทุนการกลั่นแพงกว่าเบนซินด้วย
ตารางที่ 1: ราคาขายปลีกน้ำมันและก๊าซสำเร็จรูปในประเทศอังกฤษ (pence/litre)
ปัจจุบันราคาน้ำมันของประเทศอังกฤษ น้ำมันดีเซลธรรมดาอยู่ที่ 1.4625 ปอนด์ต่อลิตร (66 บาทต่อลิตร) ส่วนเบนซิน 95 (Unleaded) ราคา 1.3977 ปอนด์ต่อลิตร (63 บาทต่อลิตร)
ที่ราคาแรงขนาดนี้เพราะประเทศทางแถบยุโรปเก็บภาษีในอัตราที่สูงมาก (ซึงผู้กล่าวอ้างไม่เคยมีการยกราคาฝั่งยุโรปมาเปรียบเทียบ)
ปล.แอบเห็นราคา LPG บ้านเค้า คิดตั้ง 0.7485 ปอนด์ต่อลิตร (34.44 บาทต่อลิตร หรือ 64 บาทต่อกิโลกรัม !!!!!) ขณะที่ไทยขาย 21.38 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับเติมรถนะ
(LPG 1.85 ลิตรเท่ากับ 1 กก.)
ข้อมูลราคาน้ำมันขายปลีกของประเทศอังกฤษ
http://www.petrolprices.com/
http://www.whatgas.com/petrol-prices/index.html
www.parliament.uk/briefing-papers/sn04712.pdf
****************************
น้ำมันเตา (Fuel Oil)
ส่วนใหญ่เอาไว้ในโรงงานอุตสาหกรรม รายละเอียดไม่พูดถึงก็แล้วกันครับ เพราะห่างตัวจากประชาชนทั่วไป
ทำไมต้องมีภาษี (ภาษีสรรพาสามิต+ภาษี ก.มหาดไทย+Vat) (ส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง)
ภาษีเป็นหน้าที่ที่เราต้องเสียกันอยู่แล้ว
เพื่อให้รัฐเก็บไว้เป็นงบประมาณประเทศเพื่อใช้จ่ายในรัฐบาล หน่วยงานราชการและภาครัฐ
นอกจากภาษีนั้นยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดการใช้น้ำมันบางชนิด อย่างเช่น เบนซิน 95 รัฐไม่อยากให้ใช้เยอะ
ก็คิดอัตราที่สูงให้แพงไปเลย คนจะได้ไม่อยากใช้
ดังนั้น ภาษีสรรพสามิต จึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมราคาน้ำมันโดยการกำหนดอัตรภาษีสรรพสามิตที่แตกต่างกันระหว่างน้ำมันชนิดต่างๆ
เป็นการสะท้อนนโยบายของรัฐบาลที่จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการใช้น้ำมันบางประเภท
ส่วนนโยบายอื่นๆที่ไม่ใช่นโยบายทางพลังงานที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน
ผมไม่อาจจะไปวิจารณ์ตรงจุดนี้ได้ครับ
****************************
ทำไมต้องมีกองทุนน้ำมัน (ส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง)
การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันอยู่ในความรับผิดชอบของกรมสรรพสามิต
(ส่วนน้ำมันกลั่นในประเทศ) และ กรมศุลกากร (ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปนำเข้า)
ตามอัตราที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานกำหนด เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวน ถ้าไม่มีกองทุนน้ำมันก็จะทำให้ราคาขายปลีกจะ
แกว่งตามราคาตลาดโลกที่ผันผวน อาจถึงขั้นปรับราคากันทุกวัน ดังนั้นกองทุนน้ำมันจึงมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันขายปลีกโดย
การปรับเพิ่มหรือปรับลดของอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน
นอกจากนี้กองทุนนี้ก็มีส่วนในการอุดหนุนราคาน้ำมันบางชนิด เช่น E20, E85 ตามที่กล่าวไว้แล้ว
**************************************
ทำไมต้องมีกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(ส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง)
เก็บในส่วนของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล ในอัตราลิตรละ 0.25 บาท
เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับอนุรักษ์พลังงาน
โดยมี คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นผู้กำหนดนโยบาย
*******************************************
ทำไมต้องมีค่าการตลาด (Marketing Margin)
หลายๆคนสงสัยว่าค่าการตลาดมีทำไม? คืออะไร? คือกำไรล้วนๆหรือ? จริงๆแล้วทุกๆปั๊มก็จะมีค่าใช้จ่ายการดำเนินการในการขายปลีกอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นค่าก่อสร้างปั๊ม การขนส่ง ค่าเช่าที่ ค่าจ้างเด็กปั๊ม ค่าจ้างคนทำงาน ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ยิ่งถ้าต่างจังหวัดก็จะมีค่าการตลาดสูงขึ้นเนื่องจากค่า
ขนส่งที่ไกลขึ้น และถ้าน้ำมันที่คนเติมน้อยเนี่ย เช่น เบนซิน 95, 91, E85 ค่าการตลาดก็ยิ่งสูง เพราะต้องสต๊อกน้ำมันไว้นาน ขายไม่ค่อยออกเลยมีค่าใช้
จ่ายแฝงอยู่ จะเห็นได้ว่า ส่วนที่เป็นกำไรจริงๆ แทบจะไม่มี หรือมีน้อยจัดๆ คนที่เคยทำธุรกิจปั๊มน้ำมันก็จะรู้ดีครับ กำไรไม่ได้ดีอย่างที่คิดหรอกนะครับ
(แถมห้องน้ำก็ต้องให้ใช้ฟรีอีก) ต้องขายให้ได้ปริมาณมากๆๆๆๆจริงๆ
****************************
สรุป ราคาน้ำมันขายปลีกหน้าปั๊มน้ำมันทุกๆชนิด
มันมีโครงสร้างราคาของมันเองและเหตุผลของมันเอง โดยราคาขายหน้าโรงกลั่นจากอ้างอิงตามราคาน้ำมันของตลาดสิงคโปร์
ดังนั้นเวลามีใครอ้างตัวว่าเป็นกูรูน้ำมันก็ให้ฟังหูไว้หูครับ อย่าหลับหูหลับตาเชื่อ แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าสิ่งที่เค้าพูดมันจริงหรือถูกต้องหรือป่าว
เพราะเค้ามักจะเล่นเอาราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ มาแปลงเป็นราคาต่อลิตรซะเฉยๆ หรือ
บางทีที่หนักกว่านั้นก็เอาราคาน้ำมันดิบดูไบมาอ้างหน้าตาเฉย
****************************
ทำไมต้องราคาน้ำมันสำเร็จรูปของตลาดสิงคโปร์ (SIMEX)
(ส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อความกระจ่าง)
น้ำมันเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดหนึ่ง (Commodities) ซี่งมีการแข่งขันสูง
การเปลี่ยนราคาหรือนโยบายการผลิตและการขายของผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดน้ำมั
น จึงทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องปรับราคาให้สามารถแข่งขันกันได้ ดังนั้น ราคาน้ำมันที่เหมาะสมเพื่อใช้