ใช่ครับ ผมก็อ่านเมนสแตนมาเนี่ยละครับ เค้าแก้แล้วใช่ไหมครับเดียวแวะไปอ่าน งงเลย ตกลงเจอหลักฐานไหม 5555

ผมว่าความยุติธรรมในตัวบทมันชัดเจนอยู่แล้วนะ เคสกู้เงินที่คุณยกมากฎหมายมาตรา 653 ก็บอกว่าแค่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องได้แล้ว

ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดไปนั่งร่างสัญญากันให้ลำบาก แค่แชทที่ทักไปว่าขอยืนเงินหรือสลิปที่โอนไปก็พอให้ฟ้องได้แล้ว

ถ้าเรียนกฎหมายมาก็ต้องทราบว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนานะครับ


กลับมาเรื่องของเบนซ์ผมมองว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าเบนซ์คิดอะไรอยู่ตอนลงมือทำแบบนั้น

แต่การกระทำของเบนซ์มันก็ชัดแล้วว่าฝั่งนึงจะแบลคเมลอีกฝั่ง คำถามง่ายๆเลยครับ ทำไมไม่ห้าม? เพื่อนกันไม่ใช่หรอตามข่าว?

ผมเป็นศาลผมก็มองว่าเบนซ์เจตนาไม่สุจริตนะเคสนี้

คุณไม่คิดอย่างแย่หล่ะครับ ให้ยืม ปากเปล่า ไม่มีสัญญา ไม่มีหลักฐานใดๆ มันจะเป็นยังไง ฟ้องร้องได้ไหม

ผมยืมเงินเพื่อน เพื่อนยืมเงินผม ก็ไม่เคยไลน์ ไม่เคสเฟสหรอก เดินไปยืมต่อหน้า ว่ายืม

ยืมกันทีหลายหมื่น ก็ไม่เคยทำสัญญา ไม่เคยมีหลักฐาน


ที่ผมยกคือชี้ให้เห็นไงครับ ว่าความยุติธรรมตามกฏหมาย กับความยุติธรรมตามอุดมคติมันแตกต่างกัน

วันนี้คุณบอกเขาผิด เดี๋ยวอุทธรณ์ ก็บอกว่า ไม่มีเจตนาที่ไม่สุจริต อะไรจะเกิดขึ้น

ศาลชั้นต้นผิดหรอ ก็เปล่า เขาพิจารณาตามหลักฐานไง

ศาลอุทธรณ์ผิดหรอ ก็เปล่า เขาก็พิจารณาจากหลักฐานที่เพิ่มเติมมาไง

เห็นความแตกต่างหรือยัง จะตราหน้าใครว่าทำผิดในทางกฏหมาย โดยเชื่อศาล มันทำได้แหละ

แต่มันอาจจะไม่ใช่ความยุติธรรมในชีวิตจริงก็ได้...


ถ้าคุณสื่อว่ากรรม คือการกระทำ (ทำอย่างนั้นแล้วต้องเจตนาทุจริต) แค่นั้น มิติแคบไปหน่อย

อีกเคสที่ผมเคยเจอ

หัวหน้าฝ่ายอาคาร พบว่าลูกน้องตัวเองขโมยน้ำมันของตึก

แต่ด้วยความเมตตา เห็นว่าลูกน้องมีชีวิตลำบาก จึงคาดโทษว่าทำอีก

และให้ลูกน้องตัวเองซื้อน้ำมันมาคืนบริษัท ถือเป็นยุติ

แต่เรื่องน้ำมันหาย รับรู้ถึงผู้บริหาร เจ้าของบริษัท สั่งตั้งกรรมการสอบสวน

ผลสรุปให้ดำเนินคดีกับหัวหน้าฝ่ายอาคาร ข้อหายักยอก

ถามหน่อย หัวหน้าฝ่ายอาคารโดนแบบนี้ คนก็ตราหน้าเป็นคนขี้โกง

ศาลชั้นต้นพิพากษา ว่าผิดตามฟ้อง จำเลยอุทธณ์ด้วยหลักฐาน

ด้วยกล้องวงจรปิดจากปั๊มน้ำมัน ที่ไปซื้อน้ำมันมาคืน และถูกรับเข้าระบบ ผ่านกล้องวงจรปิด ฝ่ายอาคาร

คือไม่มีทั้งคำพูดที่เป็นเฟส เป็นไลน์ ดิ้นรนกันจนศาลอุทธณ์พิพากษา ฏีกาพิพากษายืน รอดพ้นข้อกล่าวหา

เจตนาที่เมตตา กลับกลายเป็นการกระทำที่(คนทั่วไปเข้าใจเหตุผล) มองว่าทำผิด

เคสอย่างนี้ก็มีเกิดขึ้นในโลก...



ดังนั้นถ้าคุณไม่เข้าใจบริบทที่เขาเจอ เอาความมั่นใจจากไหน มาตัดสินว่าใครสุจริต หรือทุจริต

สำหรับผมนะประสบการณ์ และประโยคภาษิต มันสอน....

" เมื่อมีใครสักคนทำผิด อย่าเพิ่งไปตำหนิเขา เพราะถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์อย่างเขา อาจจะ

ตัดสินใจเหมือนเขาก็ได้" (แล้วคุณก็จะเถียงว่า..ผมจะไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน)

ซึ่งผมเข้าใจคนแบบคุณ (เพราะเจอตลอด)

แต่จำเลย ที่เป็นเคสศึกษา มันก็ไม่น่าทำแบบนั้นทั้งนั้นแหละ

แต่พอถามทำไมถึงทำ มันก็มีบริบทของมัน ที่ทำให้เราค่อยๆเข้าใจทุกอย่างชัดเจน

ตัวละครมันอาจจะไม่ได้มีแค่สามฝ่ายก็ได้ เป็นบริบทที่มันอาจจะต้องเลือกบางอย่างที่คนทั่วไปก็ไม่เข้าใจ

วันนี้ชั้นต้นบอกผิด ....คุณเฮโลกันมาทับถม (เอาแค่สะใจ)

เดี๋ยวพออุทธรณ์บอกไม่มีเจตนา ที่ไม่สุจริต...... คุณก็หายเข้ากลีบเมฆ (ไม่มาขอโทษอะไรใครหรอก)

"สังคมเราจะเป็นแบบนี้จริงหรอครับ" สังคมที่รอทับถมคนที่ตัวเองไม่ชอบ

ดังนั้น ผมว่าเคสเราแค่รับรู้ข้อเท็จจริง ก็น่าจะพอแล้ว

ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าเบนซ์มันผิดหรือเบนซ์มันถูก....

สภาพแวดล้อมทางสังคม....(มันจำเป็น) ต้องทับถม ซ้ำเติม กันแบบนั้นหรือ...

ว่าไป