ผู้ช่วยแมวมอง
Status: Would you rather die a hero?

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Jun 2019
ตอบ: 8343
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 27, 2021 12:22
สืบเนื่องจากกรณีดราม่าที่รู้กันอยู่ ผมมีข้อมูลอยากจะให้ได้ทราบกันไว้
อ้างอิงจากมูลนิธิ หญิงชายก้าวไกล สถิติข่าวความรุนแรงทางเพศปี 2560 จากหนังสือพิมพ์ 13 ฉบับ พบมีข่าวความรุนแรงทางเพศ ทั้งหมด 317 ข่าว
สถิติเหยื่อผู้ถูกกระทำร้อยละ 60.6 พบว่าเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ 5-20 ปี โดยช่วง 11-15 ปีมีจำนวนมากที่สุด
สถานที่เกิดเหตุ ส่วนใหญ่เกิดในที่พักของผู้ถูกกระทำฯ, รองลงเกิดในที่พักของผู้กระทำ และเกิดเหตุในที่เปลี่ยว, ถนนเปลี่ยว ตามลำดับ
เมื่อลงลึกถึงความสัมพันธ์ของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ พบว่า ส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักคุ้นเคยและเป็นบุคคลในครอบครัวกว่าร้อยละ 53 รองลงมา เป็นคนแปลกหน้า, ไม่รู้จักกัน ร้อยละ 38.2 และถูกกระทำจากคนที่รู้จักกันผ่านโซเชียล ร้อยละ 8.8
นี้คือเฉพาะที่เป็นข่าวนะ จากสถิติเชิงลึกโดยการประมาณ การคุกคามทางเพศร้อยละ 90% ไม่มีการแจ้งความดำเนินคดี และทุก ๆ 17 นาที จะมีคนถูกคุกคามทางเพศ 1 คน
และที่สำคัญคือ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นเด็ก และผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นคนในครอบครัว การคุกคามทางเพศมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างอำนาจอย่างชัดเจน เรามักพุ่งเป้าไปที่การคุกคามทางเพศที่เป็นกรณีคนแปลกหน้า แต่การคุกคามทางเพศส่วนใหญ่ผู้กระทำเป็นผู้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่มีลักษณะทางอำนาจสูงกว่า เช่น ผู้ปกครอง เจ้านาย รุ่นพี่ อาจารย์
มีบทวิเคราะห์ที่บอกว่าการที่การคุกคามทางเพศถูกทำให้มองว่าเป็นเรื่องปกติ มีปัจจัยอยู่ 3 อย่าง คือ normalize การทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็ทำกัน คนอื่น ๆ ก็ทำกัน, romanticism การอ้างเหตุผลทำไปเพราะความรัก ความเอ็นดู, grolify การทำให้ไม่มีความผิด ไม่มีผลต่อเนื่อง ไม่ต้องรับผิดชอบ
อีกสิ่งที่สังคมไทยไม่ตระหนักคือ ผลกระทบต่อเหยื่อ โดยเฉพาะการ victim blaming ที่จะยิ่งซ้ำเติมเหยื่อ อย่างกรณีดราม่าล่าสุด ตอนนี้เด็กอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อออกไปสู่สังคมภายนอก เริ่มรู้ขอบเขตของสังคมมากขึ้น เด็กอาจจะเริ่มรู้สึกว่าการสัมผัสแบบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควร เริ่มรู้สึกไม่ชอบ ต่อต้าน และจะเริ่มนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในอดีต จนกลายเป็นปมฝังใจและเริ่มโทษตัวเอง ถ้าไม่ได้รับคำแนะนำและคำปรึกษาที่ถูกต้องก็อาจจะพัฒนาไปสู่ภาวะทางจิตได้
อีกเรื่องที่อยากพูดถึงคือ มุมมองทางสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยความเกลียด อย่างที่จะเห็นว่าเม้นหน้าแรก ๆ ของกระทู้หนึ่ง เต็มไปด้วยการแซะเฟมทวิต โดยไม่ได้เข้าไปพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในข่าวเลยว่ารายละเอียดเป็นยังไง บางคนในนั้นเป็นคนที่พอเป็นเรื่องการเมืองก็ด่าคนอื่นว่าสลิ่มด้วยซ้ำ แต่พอเป็นเรื่องนี้กลับตั้งธงไว้แล้วว่าอะไรที่เฟมทวิตออกมาเรียกร้อง จะต้องอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยไม่สนใจเนื้อหาของประเด็นนั้นเลย
เฟมทวิตประสาทแดกมีอยู่จริง แต่ไม่ต้องแปลกใจ เพราะในสังคมก็ยังคนที่กรอบทัศนคติเป็นผลผลิตของสังคมชายเป็นใหญ่อยู่เต็มไปหมด (ในทุกเพศ) เฟมทวิตอาจจะมีวิธีในการเรียกร้อง ตรรกะในการโต้เถียง การกระทำที่ย้อนแย้ง แต่ไม่ได้หมายความว่าความเลวร้ายของความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคมที่คนพวกนี้พูดถึงหรือมีประสบการณ์ตรงไม่ได้เกิดขึ้นจริง
การแก้ปัญหาการคุกคามทางเพศยังเป็นหนทางอีกยาวไกลที่ซับซ้อน ยังต้องศึกษาและหาแนวทางปฏิบัติกันต่อไป แต่แนวทางในทางทฤษฎีคร่าว ๆ ค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกัน นั้นคือการให้การศึกษาเรื่องเพศและการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นอย่างเหมาะสมแก่เด็ก และการกำจัดปัจจัยส่งเสริมทั้งสาม normalise, romanticism, glorify ออกจากสังคม
โลกขับเคลื่อนไปข้างหน้าทุกหน้า สังคมก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใหม่ ๆ มุมมองเกี่ยวเรื่องเพศ สิทธิ และความเท่าเทียมทางเพศก็กำลังกลายเป็นบรรทัดฐานสังคมแบบใหม่ พวกคุณเลือกได้ว่าจะลองศึกษาหาข้อมูล เปิดใจพิจารณาสิ่งที่นักเรียกร้องนำเสนอ
หรือจะทำตัวเป็นผลผลิตคร่ำครึ่ของระบอบปิตาธิปไตย
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ