เป็นไปตามคาดและเหมือนที่ “เร้ด อาร์มี่” วาดฝันล่วงหน้า 2 สัปดาห์กับการเปิดตัวด้วยประตูของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ในชัยชนะสวยหรูเหนือ นิวคาสเซิ่ล 4-1 เกมนี้ผลการแข่งขันมันไม่สามารถออกหน้าอื่นได้เลยเพราะ “โต๊ะจีน” ถูกจัดเตรียมไว้รอฉลองการกลับบ้านหนแรกในรอบ 12 ปีของ “CR7” เรียบร้อยแล้ว และมันไม่ใช่แค่ลูกเดียวแต่เป็น 2 ประตู 2 เหตุการณ์ และนึกภาพไม่ออกเหมือนกันหากวันนี้ไม่มี CR7 คงไม่มีนักเตะคนไหนในทีมหาโอกาสจบสกอร์แบบที่แข้งวัย 36 ปีทำได้แน่ๆ ประตูแรกต้องนักเตะ “จมูกไว” และมีประสบการณ์เท่านั้นถึง follow up ไปก่อนโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าผู้รักษาประตูจะเซฟไปตกตรงไหน ลูก 2 วิ่งช่องไลน์สวยและตัดสินใจยิงแบบไม่ลังเลโดยเลือกยัด “ดาก” ที่ธรรมชาติของผู้รักษาประตูไม่มีใครยืนหุบขาเมื่อกำลังอยู่ในจังหวะที่ต้องพุ่งเซฟซึ่ง เฟรดดี้ วูดแมน เปิดเสาไกลไว้ล่อให้ CR7 ส่อง ครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นประตูของ “โด้” ทั้ง 2 ลูกถือว่าสำคัญต่อรูปเกมเอามากๆ เพราะเม็ดแรกมาช่วงทดเจ็บนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เป็นการเผานั่งยาง “รถบัส” หลัง สตีฟ บรูซ เด็กเก่าและกุนซือ “สาลิกา” สั่งให้ลูกทีมอุดทั้ง 11 ตัวในแดนซึ่งเป็นแผนที่แกใช้มาตลอดเมื่อเจอกับพี่ big โอเค ลูกแรกเราตัดทิ้งจากบทวิเคราะห์แบบไวๆเพราะ ยูไนเต็ด ดันโดน 1-1 ดังนั้นประตู 2-1 ของ โรนัลโด้ ทำให้ทีมเยือนเล่นแบบเก่าไม่ได้ จริงๆแล้วประตูขึ้นนำหน 2 ของ CR7 ฝั่ง “สาลิกา” ไปเพรสอยู่ในแดน ยูไนเต็ด ซะสูงเพราะตีเสมอได้ไม่นานเลยมีความมั่นใจแถมจังหวะนั้นอาจรู้สึกว่ากำลังไล่จน แต่เจอเคาะออกมาจากพื้นที่แคบๆจน ลุค ชอว์ ได้ควบขึ้นมาจนไหลให้ โรนัลโด้ ส่องเต็มๆนั่นแหละครับ ความฟินของ “เด็กผี” มาน้ำแตกจากลูกยิงไกล “สู่ขิต” ของ บรูโน่ ที่ไม่มีนักเตะขาวดำอยู่ใกล้ เลยวางเท้าส่องเลือกมุมอย่างสบายใจ ถือว่าแนวรับอยู่ดีๆก็ง่อยทั้งๆที่ตลอดทั้งเกมก่อนหน้านี้ถึงเนื้อถึงตัวตลอด และทดเจ็บ 90+2 เจสซี่ ลินการ์ด ตัวสำรองที่ลงมาแทน เจดอน ซานโช่ โชว์ทักษะหลอก แถมยังเป้นการ build up สวยๆจาก เดอ เบค, ป็อกบา และ มาร์กซิยาล ข้าวมื้อนี้ของ ยูไนเต็ด ถือว่า “อิ่มแปล้” และได้ผ่านบททดสอบที่ผมคิดว่าไม่ง่ายไปได้แบบสกอร์ไลน์สวยมาก คือ “สาลิกา” ทีมนี้น่ารำคาญมากๆครับ อุดหนักก็น่าหงุดหงิดแล้วแต่ดันมีตัวรอสวนที่โคตรน่ากลัวอย่าง อัลลัน แซงต์-มักซิแม็ง จน “ปีศาจแดง” เกือบพังหลายหนในครึ่งแรก ที่ผมบอกว่าน่ารำคาญเพราะซีซั่นที่แล้ว ลิเวอร์พูล 2 นัดไม่ชนะเลย แล้ว สตีฟ บรูซ แกชอบมากถ้าต้องเจอทีมที่เชิงดีๆนักเตะลีลาเนียนๆ แกมีเด็กในมือที่จะจัดให้ดังนั้นผมมองว่าสกอร์ขาด 4-1 ฟินได้ฟินเถอะครับ หลังจบเกมผมเปิดทีวีทิ้งรอดูคู่เชลซีก็มีบทสัมภาษณ์ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตรงข้างสนาม พิธีกรถามว่ารู้สึกยังไงที่แฟนผีเดินกลับบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มบรรยากาศโคตรดี “น้าลูกอม” ก็ตอบนะแต่ผมไม่ได้ฟัง ลุกไปเข้าห้องน้ำพอดี สิ่งที่ “ปีศาจแดง” อาจต้องค่อยๆจูนคงเป็นเรื่องจับจังหวะและทำความเข้าใจกับ โรนัลโด้ รวมถึงการบุกเพลินจนถึงตอนที่ต้องใช้กลาง “เบรก” ยังหวาดเสียวอยู่ ในขณะที่ ซานโช่ ยังหาผลงานที่จับต้องไม่ได้เหมือนเดิม ถ้ายังต้องการเวลามากกว่านี้อาจต้องหลีกทางให้ ลินการ์ด ที่ยิงเบิกทางให้ตัวเองไปแล้ว เหลือแค่ว่า โซลชา จะกล้าไหม ยูไนเต็ด ขึ้นมาเป็นจ่าฝูงไปแล้วจากการลงเล่น 4 นัดแต่ช่วงต้นผมว่าจะจ่าฝูงหรือไม่จ่าฝูงมันยังเกาะกลุ่มดูยาก ควรดูตัวเลขและคู่แข่งที่กดไปดูดแต้มมา อย่าง สเปอร์ส ที่เตะคู่แรกตอน 18.30 น. นำจ่าฝูงด้วยชัยชนะ 3 นัดรวดแต่เป็นในรูปแบบ “เพลย์เซฟ” ตามวิถีการเปลี่ยนกุนซือที่ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ อาจจะคล้ายๆ โจเซ่ มูรินโญ่ คือไม่ไปไล่แย่งบอลอะไรแต่มาตั้งรับในแดนตัวเองเพื่อเปิดพื้นที่โล่งๆตอนสวนกลับให้กับนักเตะที่ถนัดสไตล์นี้ทั้ง แฮร์รี่ เคน, ลูคัส มูร่า และ เดเล่ อัลลี่ แต่การขาด ซน ฮึง มิน มีส่วนสำคัญในการ connect กับ เคน เนื่องจาก อัลลี่ เล่นไม่ออก ที่น่าตกใจคือ พาเลซ ของ ปาทริค วิเอร่า เป็นฝ่ายกดจน “คลับไก่” โงหัวไม่ขึ้นจนสถิติหลังจบเกมมีโอกาสยิงแค่ 2 หนเข้ากรอบหนเดียว ในขณะที่เจ้าถิ่นล่อไป 18 ตอน 11 เท่ากันก็ว่าหนักแล้วพอมา 10 ยิ่งไปกันใหญ่ ได้บอลกันแป๊บๆก็ถูกรุมจนเสีย ตัวแบกอย่าง เคน เงียบกริบ แต่ที่เสียค่าโง่คือ จาเฟต ทันกันก้า ถูกใบเหลืองห่างกัน 5 นาที (53 และ 58) กลายเป็นอีกจุดเปลี่ยนที่ทำให้ สเปอร์ส ไม่มีโอกาสร้องขอชีวิตใดๆตลอดครึ่งชั่วโมงที่เหลือ โดยส่วนตัวและผมเคยพูดถึงหลายหนแล้วคือการที่นักเตะเจ็บ (ไม่หนัก) ถ้าคู่ต่อสู้ไม่เตะบอลทิ้งให้คุณจะมาหัวเสียโวยวายแล้วเลือกทำฟาว์ลเขามันไม่ถูก สมัยก่อนเขาเตะบอลทิ้งหรือหยุดเกมให้พวกที่เจ็บหนักจริงๆเช่นโหม่งแย่งหัวชนกันหรือปะทะแล้วนอนแน่นิ่ง แบบนี้ต้องเซฟชีวิตนักกีฬาไว้ก่อน แต่หลังๆเนี่ยส่วนใหญ่จะนอนเจ็บเพราะบุกแล้วโดนสวนกลับ เลยกะนอนให้เกมหยุดเพื่อที่ฝั่งตรงข้ามจะได้หมดสิทธิ์สวนกลับ อย่าง ลูคัส มูร่า บวกกับ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ แล้วถูกเหยียบส้น ตอนล้มไปก็ยังผงกหัวหันมามองผู้ตัดสิน ผมว่าเราก็ควรแฟร์ๆกับคนที่เขาจะบุกสวนกลับบ้าง ไม่งั้นลองนึกภาพว่าอีกฝ่ายบุกเสียบอลนอนเจ็บ เตะทิ้งเกมหยุด ก็เอา 3 แต้มไปเลยเหอะ ดังนั้นการที่ ทันกันก้า ไปดับเครื่องชนใส่ วิลเฟร็ด ซาฮา ผมยังโมโหแทนที่น้องมันมาโวยวายว่าทำไมไม่หยุดเกม ถ้าไม่เปลี่ยนกฏนี้ผมมองว่ามันเป็นช่องทางหากินแบบใหม่ มันไม่ใช่แค่นัดนี้ มันเกิดขึ้นทุกๆสัปดาห์ แต่เหลือง 2 น่าเห็นใจคือเข้าช้าพยายามยั้งแล้วแต่ภาพที่ออกมากวาด อายิว ล้มทั้งยืนทำให้ผู้ตัดสิน โจนาธาน มอสส์ เลยไม่ลังเล สไตล์ของ ซานโต้ เน้นผลก็จริงครับแต่ผมว่าแฟน “ไก่” อาจจะไม่ค่อยชอบเพราะธรรมชาติทีมนี้เอ็นเตอร์เทนอยู่แล้ว การหนีจาก “น้ามู” มาเจอ “ซานโต้” น่าสนใจตรงที่ว่าฝ่ายแรกขนาดช่ำชองวิธีการเล่นแบบนี้ยังอยู่ไม่ยืด ต้องดูว่า สเปอร์ส จะ “เมาหมัด” ไปอีกกี่นัดเพราะนับจากนี้เจองานหนักยาวๆทั้ง เชลซี (เหย้า), อาร์เซนอล (เยือน) และ วิลล่า (เหย้า) คู่ดึกปิดท้าย เชลซี ชนะ แอสตัน วิลล่า แบบไม่ยากเย็นเท่าไหร่ 3-0 โดยเฉพาะหลัง โรเมลู ลูกากู เบิกประตูแรกได้ตั้งแต่นาทีที่ 15 เป็นการโชว์ทักษะล็อกทีเดียวจน อักเซล ตวนเซเบ หัวทิ่มนอนหาแย้กันเลยทีเดียว แต่ต้องชม โควาซิส ที่ฝ่าวงล้อมหน้าเขตโทษตัวเองที่มีผู้เล่น วิลล่า 3 ตัวก่อน killer pass ตรงกลางสนามที่เดียวทะลุถึงเขตโทษอีกฝั่ง ตัวรุก วิลล่า ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา พวก อิงส์, วัตกินส์ และ แม็คกินส์ ไวๆทั้งนั้นแต่พอถึงจังหวะ final third กลับไม่เอากันเอง การแก้เกมของ สมิธ ดีน ในครึ่งหลังยังโดนบอลกันไม่ครบเล่นมาแค่ 4 นาที ไทรอน มิงส์ ก็มอบโชคคืนหลังให้ โควาซิซ ที่วันนี้เล่นเด่นมากๆยิงตอกฝาโลง 2-0 มิงส์ นี่เป็นนักเตะที่แปลก ผมชอบอยู่นะ มีทุกอย่างครบแต่แปลกที่ในแต่ละซีซั่นแกจะมีช็อตแบบพลาดหน้าด้านๆตลอด เหมือนไม่ละเอียด สมาธิหลุดหน้าประตู ปีก่อนก็คืนหลังให้ชาวบ้านแบบนี้เลย ถึงตรงนี้ต้องบอกว่าวีคนี้เราได้เห็นอารมณ์ “Buzzing” ของทั้งแฟน “ผี” และ “สิงห์” ที่ต่างฝ่ายต่างคว้าชัยโดยที่หน้าเป้าซึ่งขาดหายไปนานทำประตูเรียกเสียงเฮสนามแทบแตก ในขณะที่ “แชมป์เก่า” อย่าง แมนฯซิตี้ หืดจับบุกไปเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 จากประตูที่ว่ามีโชคนิดๆจากลูกยิงแฉลบจน แบร์นาร์โด้ ส้มหล่น แต่ยังไง เป๊ป ก็ยังออกตัวดีถ้าเทียบกับซีซั่นก่อนที่ช่วงแรกลงไปนอนกลางตารางนู่นเลย สำหรับวันอาทิตย์มีเตะคู่เดียวโดดๆระหว่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล เหมือนเปิดฟลอให้ผู้คนจับจ้อง ประมาณห้ามล้มเด็ดขาดไม่งั้นอยู่ยาก ยิ่งกองเชียร์ “ยูงทอง” ที่มากที่สุดในโลกหนุนหลังอยู่ด้วย “หงส์แดง” ต้องมีแต้มครับ 3 ก็ได้ 1 ก็ดี
ป็อกบา เป็นนักเตะคนเดียวโดดๆที่แอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกปี 2021 ได้มากถึง 10 ลูก ในขณะที่ 7 แอสซิสต์ในการเปิดสนาม 4 นัดแรกเป็นสถิติที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน โรนัลโด้ (36 ปี 218 วัน) เป็นนักเตะที่แก่ที่สุดที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้นับตั้งแต่ ไรอัน กิกส์ ทำไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2013 (39 ปี 86 วัน พบ QPR.) ส่วน มีเพียง กิกส์ และ พอล สโคลส์ เท่านั้นที่แก่กว่าโด้แล้วยิงประตูให้ ยูไนเต็ด ในรายการนี้ นี่คือประตูแรกของ CR7 ในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2009 (พบ แมนฯซิตี้) เป็นการทิ้งช่วงนานถึง 12 ปีกับ 124 วัน แต่สถิติของโด้เป็นแค่อันดับ 2 เท่านั้นเพราะอันดับ 1 เป็น แมท แจ็คสัน (13 ปี 187 วัน, 1993-2006) หลังยิงประตูให้ วีแกน ชนะ ชาร์ลตัน 3-2 เป็นหนแรกในอาชีพค้าแข้งบนเวทีพรีเมียร์ลีกที่ แฮร์รี่ เคน ไม่ได้ยิงหรือสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของคู่แข่งเลยตลอดเกมโดยหอกทีมชาติ อังกฤษ อยู่ครบทั้ง 90 นาทีอีกด้วย อดซอน เอดูอาร์ ใช้เวลาแค่ 28 วินาทียิงประตูให้ คริสตัล พาเลซ หลังถูกเปลี่ยนลงมาจนกลายเป็นสถิติยิงไวที่สุดสำหรับการ debut ของพรีเมียร์ลีกโดยแชมป์เก่าก่อนหน้านี้คือ ติเยวี่ บีฟูม่า ยิงให้ เวสต์บรอม พบ กับ พาเลซ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014 (36 วินาที) โรเมลู ลูกากู ยิงประตูแรกใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ จากการลงสนามทั้งสิ้น 15 นัดและใข้โอกาส 22 หน เป็นการรอคอยที่คุ้มค่าฝุดๆ มันเตโอ โควาซิซ ทั้งยิงและแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกเกมเดียวกันเป็นครั้งแรก และหากนับในยุโรปก็เป็นหนที่ 3 แล้วโดยก่อนหน้านั้นทได้กับ อินเตอร์ (เจอ ซัสซูโอโล่ ปี 2014) และ เรอัล มาดริด (พบ เรอัล โซเซียดาด 2017) เชลซี ทำสถิติชนะในพรีเมียร์ลีกนัดที่ 600 มายืนเคียงข้าง แมนฯยูไนเต็ด ที่แตะเลข 600 ไปนานแล้วหลังทำได้ทั้งหมด 690 นัด 
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
My Locker
