ซิโนแวคในไทย ดีกว่าต่างประเทศ
ผลการทดลอง ‘ซิโนแวค’ ในไทย
ดีกว่าการศึกษาในต่างประเทศ
แม้เดลตาเริ่มระบาด ยังกันได้ถึง 75%
วันนี้ (19 กรกฎาคม 2564) นายแพทย์ ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงข่าวเรื่อง ‘ประสิทธิภาพของวัคซีนและแผนการจัดซื้อวัคซีน’ ตอนหนึ่ง ระบุว่า วัคซีนโควิด-19 ขณะนี้ มีการศึกษาหลัก 4 การศึกษา โดย 2 การศึกษาแรก คือการศึกษา ผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัส และผู้เสี่ยงสูง และติดตามว่าผู้สัมผัส ใครได้รับวัคซีนแล้วบ้างในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดสมุทรสาคร 3.การศึกษาในบุคลากรสาธารณสุขที่จังหวัดเชียงราย และ 4.ศึกษาจากบุคลากรสาธารณสุขที่ติดเชื้อในเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน โดยทั้งหมดเป็นข้อมูลจากการใช้งานจริงในพื้นที่ เพื่อติดตามการป้องกันการติดเชื้อ หรือการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง
อีกประเด็นคือดูวัคซีนที่ศึกษา ว่าแต่ละพื้นที่ใช้วัคซีนอะไร โดยในเดือน พฤษภาคม - มิถุนายน ส่วนใหญ่จะเป็นวัคซีนของซิโนแวค เริ่มจากผลการศึกษาแรก ที่จังหวัดภูเก็ต จาก 1,500 ราย ของผู้สัมผัสเสี่ยงสูง มีผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 124 ราย พบว่าประสิทธิผลวัคซีนที่ภูเก็ต อยู่ที่ 90.7% ส่วนที่สมุทรสาคร ออกแบบคล้ายคลึงกัน สมุทรสาคร ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 500 กว่าราย มีผู้ติดเชื้อ 116 ราย เอามาเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ได้รับวัคซีน ไม่ได้รับวัคซีน ก็อยู่ใกล้เคียงกันคือประสิทธิภาพของซิโนแวค อยู่ที่ 90.5%
ทั้งนี้ อาจสรุปได้ว่า ระหว่างเดือน เมษายน ถึงพฤษภาคม ซึ่งมีการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์อัลฟาเป็นส่วนใหญ่นั้น ซิโนแวค มีประสิทธิผลที่ดีพอสมควร และดีกว่าผลการศึกษาในประเทศอื่น นอกจากนี้ ยังดีกว่าในช่วงที่บริษัททำการทดลอง ที่ตัวเลขอยู่ที่ 50-70% เพราะฉะนั้น จึงยืนยันว่าซิโนแวค สามารถป้องกันการติดเชื้อได้
อีกส่วนหนึ่ง คือการศึกษาที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมาก โดยจากที่ตรวจบุคลากรที่มีความเสี่ยงไป 500 ราย มีบุคลากรติดเชื้อทั้งสิ้น 40 ราย ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นสายพันธุ์อัลฟาทั้งหมด เปรียบเทียบระหว่างคนที่ได้วัคซีน 2 เข็มครบ จะอยู่ที่ 88.8% และประสิทธิผลการป้องกันปอดอักเสบ อยู่ที่ 85% พบว่า ไม่ต่างกับการศึกษาในผู้สัมผัสเสี่ยงสูงข้างต้น
นอกจากนั้น ที่เชียงราย ยังพบว่า มีบางส่วนที่ได้รับแอสตร้าฯ 1 เข็ม ครบ 14 วัน จำนวน 50 ราย ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อได้เช่นเดียวกัน ก็พบอยู่ที่ 83.8% เป็นเครื่องยืนยันว่าวัคซีน เวลาเกิดการระบาดนั้น สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ และลดการปอดบวมได้
ส่วนการศึกษาสุดท้าย คือการศึกษาการติดเชื้อในบุคลากรทางการแพทย์ ระหว่างเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน พบว่า จากฐานข้อมูลกรมควบคุมโรค เปรียบเทียบฐานเฝ้าระวังการเจ็บป่วย และข้อมูลการฉีดวัคซีนในประเทศ พบว่าในเดือนพฤษภาคม ซึ่งข้อมูลตอนนั้นยังเป็นอัลฟา ประสิทธิผลการฉีดซิโนแวค 2 เข็ม อยู่ที่ 71% ส่วนเดือนมิถุนายน ซึ่งเริ่มมีเดลตาเข้ามาแล้ว 20-40% พบว่า ก็อยู่ที่ 75% ซึ่งไม่ได้ลดลง
“การที่เรามีข้อวิตกกังวลว่าการระบาด จะมีผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนโคโรนาแวค (ซิโนแวค) ที่มีอยู่ขณะนี้ มีผลต่อการใช้จริงมากน้อยเพียงใด จากการใช้จริงในการใช้งานขณะนี้ เราพบว่าประสิทธิผลในสนามจริงนั้นยังคงที่”
ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า ข้อสรุปก็คือ วัคซีนที่เอามาใช้ ทุกตัวมีความปลอดภัย สำหรับประสิทธิภาพวัคซีนนั้น อาจขึ้นกับสายพันธุ์ แต่ซิโนแวคได้ผลดีพอสมควร ป้องกันการติดเชื้ออยู่ที่ 90% ปอดอักเสบอยู่ที่ 85% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำความเข้าใจว่าวัคซีนซิโนแวค ไม่ใช่วัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ส่วนที่สองคือ ถึงแม้ว่ามีการระบาดสายพันธุ์เดลตา วัคซีนของซิโนแวค ก็ยังสามารถป้องกันได้อย่างต่อเนื่อง โดยจากผลการทดลองของวัคซีนเชื้อตายต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาในห้องผลทดลอง ประสิทธิผลอาจไม่สูงมากนัก แต่ผลการทดลองในโลกจริง ยังไม่ได้บ่งบอกชัดนัก
ด้วยเหตุนี้ มาตรการการฉีดสลับวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข และที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาล จึงต้องใช้วัคซีนที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นซิโนแวค หรือแอสตรา หรือวัคซีนอื่นๆ ที่จะจัดหาเข้ามาเพิ่ม เพื่อให้ได้ประสิทธิผลที่ดีที่สุด แต่จากการศึกษาเบื้องต้น ยังคงยืนยันว่าวัคซีนเชื้อตาย ยังได้ผลดี นอกจากนี้ ซิโนแวค ยังจัดหาได้เร็ว ไม่ต้องรอคิวถึงปีหน้า หรือไตรมาส 4 เพราะฉะนั้น จึงสามารถบริหารจัดการได้ง่ายกว่าวัคซีนชนิดอื่นๆ
ภาพ: สารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข