แขวนสตั๊ด
Status:

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 03 Mar 2019
ตอบ: 30928
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Sep 15, 2019 18:03
ประสบการณ์รับน้องขึ้นดอยมช.
หลังจากที่เมื่อวานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พึ่งมีประเพณีรับน้องขึ้นดอยไป วันนี้ผมก็อยากมาแชร์มาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการรับน้องขึ้นดอยของมช.ตลอด5ปีที่ผ่านมาครับ
ปี1 : เฟรชชี่ใหม่ๆเอ๊าะๆใสๆ ไม่รู้ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์การรับน้องขึ้นดอยแบบจริงๆนอกจากที่ได้เห็นตามคลิปที่เห็นตอนอยู่โรงเรียนก่อนสอบโควต้ามช. ก่อนขึ้นดอยเวลาเข้าชมรม(กีฬา)พี่ๆก็จะให้วิ่งเพื่อเตรียมตัวร่างกายทุกครั้ง จะมีการซ้อมร้องเพลงซ้อมบูมต่างๆ คืนก่อนวันจริงกะว่าจะนอนไม่ดึกเพราะจะได้มีแรง แต่ที่ไหนได้นอนไม่หลับ โคตรตื่นเต้น
มาถึงวันจริงด้วยความที่เป็นปี1น้องใหม่ใสๆก็จะมีรุ่นพี่คอยดูแลตลอดทาง ตลอดทางก็เฮฮาปาจิงโกะ สนุกสนานกับเพื่อนๆพี่ๆ มีทั้งเดินทั้งวิ่งสลับกันตลอดทาง โคตรเหนื่อยยยย แต่ไม่รู้เป็นอะไรพอมาถึงโค้งสปิริตหรือโค้งขุนกัณฑ์ที่นักศึกษามช.จะต้องวิ่งตรงโค้ง มันกลับหายเหนื่อยหายท้อ มันกลายเป็นว่าเลือดข้างในมันสูบฉีดมากๆอยากวิ่งแล้ว ก่อนวิ่งก็มีบูมมีร้องเพลงประจำคณะ มีนายกสโมฯหรือคนต่างๆพูดปลุกใจก่อนวิ่ง ซึ่งมันก็ได้ผลอยู่นะ ยิ่งตอนบูมนี่แหละยิ่งฮึกเหิมเพราะสายตานับพันจับจ้องมองเราอยู่ มันถือว่าเป็นเกียรติเป็นหน้าเป็นตาของคณะ
พอมาถึงเวลาวิ่งมันเป็นอะไรที่มันบรรยายหรืออธิบายไม่ถูกจริงๆ มันเหมือนเราเอาพลังทั้งหมดใส่ลงไปกับการวิ่งครั้งนี้ มันสุดยอดมากๆ พอวิ่งเสร็จก็ต้องเดินขึ้นไปไหว้พระธาตุอีก บันไดพญานาค100กว่าขั้น ให้ตายเถอะ5555555555 พอไหว้เสร็จก็ลงมานั่งรอรถ พอรถมาก็นั่งรถลงมาและพอมองขึ้นไปบนดอยสุเทพมองเห็นพระธาตุ มันก็เกิดพูดกับตัวเองและเพื่อนๆว่า"โห เราเดินขึ้นไปกันได้ยังไงวะ ตั้ง10กว่ากิโล" ถือว่าเป็น first impression ที่โคตรดีมากๆๆๆๆที่ได้มาสัมผัสกับตัวเอง
ปี2 : หลังจากที่เป็นเฟรชชี่ที่มีพี่ๆคอยดูแล มาถึงปีนี้เรากลายมาเป็นรุ่นพี่ที่ต้องคอยดูแลน้อง ซึ่งเราก็ทำเหมือนพี่ๆที่คอยดูแลเรา คอยให้น้องซ้อมวิ่งเวลาเข้าชมรมให้น้องได้เตรียมตัว คืนก่อนวันจริงก็กะจะหลับเอาแรงแต่ที่ไหนได้ก็นอนไม่หลับเหมือนปีที่แล้ว5555555
พอวันจริง เราต้องตื่นตั้งแต่ตี3ตี4เพื่อมาเตรียมตัวต่างๆรอน้องๆมา พอน้องมาก็เดินขนาบข้างน้องพาน้องเดินไปหน้ามอ พอมาถึงก็ทำตามกิจกรรมทุกๆปี พอทำอะไรเสร็จตอนก้าวเท้าพ้นประตูมอออกไป มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ปีที่แล้วเราเป็นน้องที่มีคอยดูแล แต่พอมาปีนี้เรากลับกลายเป็นพี่ที่ต้องมาดูแลน้อง ต้องรับผิดชอบน้อง มันรู้สึกแปลกๆนะแต่ก็รู้สึกดีเช่นกัน ระหว่างทางก็คอยดูแลน้องทุกๆอย่างคอยถามน้องว่าเหนื่อยมั้ย ไหวรึป่าว เทคแคร์น้องทุกๆอย่าง เดินขนาบข้างน้องๆตลอดเส้นทาง14กิโลเมตร พอมาถึงโค้งสปิริตถามว่าคงหายตื่นเต้นแล้วสินะ เพราะปีแล้วก็ขึ้นมา แต่!! แต่ไม่เลย มันกลับตื่นเต้นไม่แพ้ปีที่แล้วเลย เพราะปีนี้เราต้องเป็นคนพาน้องวิ่งผ่านโค้ง ก่อนวิ่งก็ทำเหมือนปีที่แล้วทุกอย่างทั้งบูมทั้งร้องเพลงเหมือนเดิม
พอมาถึงตอนวิ่งเราจับมือน้องวิ่ง วิ่งผ่านโค้งผ่านแล้วผมคือหมดแรงมากๆ มากจนที่วิ่งต่อไม่ไหว ได้แต่บอกให้น้องวิ่งต่อไปเลยพี่ไปต่อไม่ไหวแล้ว และก็ทรุดลงตรงนั้นเลย น่าอายจริงๆ5555555555 วิ่งเสร็จก็รอน้องที่ขึ้นไปไหว้พระธาตุอยู่ตรงตีนบันได เพราะขึ้นไปไม่ไหวแล้ว แถมฝนตกอีกต้องวิ่งไปวิ่งมาซัพพอร์ตน้องทุกๆอย่าง
การขึ้นดอยปีที่2นี่มันครบรสจริงๆ ประทับใจมากๆ
ปี3 : ปีที่3แล้วสำหรับการขึ้นดอย ซึ่งปกติส่วนใหญ่แล้วปี3จะไม่ต้องคอยเดินขนาบข้างน้องอีกแล้ว กลายมาเป็นขนาบข้างปี2อีกที ที่จะต้องคอยสั่งคอยดูแลให้ปี2ดูแลน้องดีๆ ดูแลรถที่จะขับแซงแถว ดูแลความปลอดภัยของน้องอีก2ปี แต่ปีนี้ผมกลายเป็นตากล้องให้คณะไปด้วย เพราะปกติก็เป็นนคนชอบถ่ายรูปอยู่แล้ว ปีนี้มันบ้าระห่ำมากกกกกก เพราะการเป็นตากล้องแม่งโคตรเหนื่อย เพราะเวลาถ่ายรูปตั้งแต่หัวแถวและรอให้น้องเดินผ่านไปให้หมดทั้งขบวนแล้วถึงจะต้องวิ่งบนหัวแถวเพื่อรอถ่ายอีก จัดได้ว่าน่องนี่แทบจะแข็งเป็นเหล็ก มันก็สนุกมากๆเช่นกัน
พอมาถึงโค้งสปิริตเราก็เตรียมตัวรอถ่ายภาพตอนน้องๆวิ่ง สรุปแล้วรูปดีน้อยกว่ารูปเสียอีก เซ็งมากๆ พอวิ่งเสร็จก็กะว่าจะขึ้นไปถ่ายภาพน้องๆบนพระธาตุต่อ แต่ตะคริวเจ้ากรรม แม่งมาแดกตอนกำลังก้าวขาขึ้นไปบนบันไดขั้นแรก สรุปสุดท้ายไม่ได้ขึ้นไปถ่ายรูปบนพระธาตุเลย แถมก็ลงมาที่คณะก่อนน้องซะอีกเพราะเดินไม่ไหวแล้วตะคริวแดร๊กกกก
ประสบการณ์การรับน้องขึ้นดอยปีนี้มันบ้าระห่ำจริงๆ555555555555
ปี4 : ปีสุดท้ายของการขึ้นดอยในฐานะนักศึกษา ซึ่งเด็กมช.จะถือเคล็ดที่ว่าปี1เดินขึ้นแล้วปี4ก็จะต้องเดินลง ถือเคล็ดกันว่าถ้าไม่เดินลงก็จะเรียนไม่จบ โดยปกติคนส่วนใหญ่จะนั่งรถขึ้นไปบนพระธาตุแล้วเดินลงมา(99%ขึ้นไปรอดูคณะวิศวะวิ่งโค้งสปิริต) แต่พวกผมแอดวานซ์กว่านั้น เอาแม่งทั้งเดินขึ้นเดินลงเลย บ้าระห่ำพอๆกับปีแล้วเลย55555555
แต่การเดินขึ้นไปก่อนผมกลับชอบมันมากๆเลย เพราะผมชอบเส้นทางการเดินระหว่างนั้นมากๆ เฮ๊ย!! มันได้เห็นเพื่อนของเราทั้งคณะเดียวกัน ต่างคณะกันเดินสวนเราลงไป มันเป็นความรู้สึกที่ประทับใจโคตร เพราะบางคนก็เป็นเพื่อนเราตั้งแต่อนุบาลเห็นกันมาเล่นกันมาเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก มาตอนนี้เราเรียนจบกันแล้ว มันทั้งดีใจทั้งภูมิใจ มันโคตรฟีลกู้ดมากๆ ประทับใจสุดๆ พอเดินไปถึงโค้งแต่ละคนก็ไปจับจองที่ตามริมถนนริมทางเพื่อที่จะได้เฝ้ารอน้องคณะตัวเองทั้งบูมทั้งวิ่ง มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจาก3ปีก่อนหน้าที่เราจะต้องทั้งคนถูกดูแลและคอยดูแล พอมาปีนี้มันกลายเป็นเราที่เฝ้ามองน้องๆคอยดูแลกัน น้องๆรับไม้ต่อจากเรา มันดีใจ ภูมิใจ ปลื้มใจ
พอมาถึงตอนที่น้องวิ่งเราก็ได้แต่ถ่ายคลิปไป ตะโกนเชียร์น้องไป ความรู้สึกมันสุดจริงๆและพอน้องวิ่งไปกันหมดพวกผมก็วิ่งตามขึ้นไป ถือว่าเป็นการวิ่งโค้งสปิริตครั้งสุดท้ายในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มาถึงคราวที่ต้องเดินลงดอยแล้วบ้าง โหหหหห โคตรทรมานเพราะผมมีอาการเจ็บขามาตั้งแต่ตอนเดินขึ้นแล้ว ตอนเดินลงแทบจะตายขาแทบจะหลุด จะทรมานที่สุดก็ตอนที่เดินไปสะดุดไอ่ตุ่มที่คอยสะท้อนแสงริมๆถนน สะดุดทีก็คือทรุดเลย แต่ถ้าเทียบกับความสุขแล้ว ต้องบอกว่าความเจ็บความปวดมันแค่เสี้ยวนึงของความสุขจริงๆ มันมีความสุขมากๆที่ได้เดินลงดอยกับเพื่อนๆที่ตลอด4ปีที่ผ่านมาผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย ตลอดทางก็ร้องเพลงเฮฮากันไป บ่นกันไป เมื่อไหร่จะถึงวะๆ พอสุดท้ายเดินมาถึงประตูหน้ามอก็ตะโกนไป "ถึงแล้วโว้ยยยยยยย"ดีใจชิบหาย ถึงซักที
ความรู้สึกของปีสุดท้ายที่รับน้องขึ้นดอยในฐานะนศ.มันสุดยอดจริง มันดีมากจริงๆ
ปีที่5 : ปีนี้กลับมาในฐานะศิษย์เก่าแล้ว มันก็รู้สึกแปลกไปกว่าเดิมมาก ปีนี้กะจะไปดูน้องๆบูมที่ประตูหน้ามอแต่ก็ไม่ทันไปเลทซะงั้น ปีนี้เพื่อนๆกลับมากันน้อยมากๆก็เลยเหงามากเช่นกัน แต่ก็ยังมีเพื่อนที่กลับมาก็ชวนกันเดินขึ้นอีกปีนึง ตลอดทางก็เหมือนเดิมปวดขาเหมือนเดิม555555555555 แถมปีนี้น้องเดินเร็วกันมากๆเพราะไม่มีการหยุดพักเลย ยิงยาววววจนมาถึงโค้งขุนกัณฑ์ พอมาถึงก็มาจองที่เพื่อที่จะให้กำลังใจน้องๆเหมือนเดิมกับปีที่แล้ว
พอถึงตอนที่น้องบูมนี่เราก็รู้สึกดีใจมากกกกที่ปีนี้น้องบูมพร้อมกันสุดๆ ไม่มีเสียงที่เหมือนเอคโค่เลย และก่อนที่จะน้องวิ่งมันเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันคือความตื้นตันมันอยากจะร้องไห้ น้ำตามันจะไหลที่ได้เห็นน้องๆของเราที่เราเคยดูแลพวกเขาตอนที่เราเป็นรุ่นพี่ในคณะสามารถที่จะดูแลน้องๆรุ่นต่อไปได้แทนเรา มันภูมิใจมากๆที่ได้เรียนคณะนี้มา ดีใจที่เลือกไม่ผิดที่เลือกมหาลัยนี้ คณะนี้
ความรู้สึกของการรับน้องขึ้นดอยในฐานะศิษย์เก่านี่มันทั้งแปลกทั้งดีจริงๆเลย
และนี่ก็คือประสบการณ์การรับน้องขึ้นดอยตลอด5ปีที่ผ่านมาของผมที่อยากจะนำมาแชร์ต่อ มันมีครบทุกรสชาติจริงๆ แล้วผมก็สัญญากับตัวเองและเพื่อนๆว่า "จะกลับมารับน้องขึ้นดอยด้วยกันทุกปี" #CMUTREKKING
สำหรับรุ่นพี่ลูกช้างอยากแชร์ประสบการณ์ก็แชร์ได้เลยนะครับ อยากอ่านเหมือนกัน
ปล.สำหรับนศ.มช.แล้วโค้งสปิริตนี่จิ๊บๆมากๆ เพราะ โค้งแรกไม่เป็นไร โค้งต่อไปแทบร่วง
ปล.2 ดึกๆของดีจะตามมา
แก้ไขล่าสุดโดย liveranfield เมื่อ Sun Sep 15, 2019 18:17, ทั้งหมด 2 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ