ผมแค่สงสัยว่าทำไมยังมีคนที่ชอบบอกคนโน้นคนนี้ว่า เมึงมัน Wanna be

ผมว่าทุกคนในโลกมันก็ Wanna be ทั้งนั้นอะ ตอนเด็กๆมีใครไม่เคยโดนครูถามบ้างว่าโตไปอยากเป็นอะไร ถ้ากลับประโยคเป็นภาษาอังกฤษมันก็คือ what you wanna be when you grow up? สำหรับผม Wanna be มันคือทิศทาง คือแรงบันดาลใจ คือความตั้งใจที่เราอยากจะเป็น ส่วน Born to be มันคือสกิล ความสามารถที่เราทำสิ่งไหนแล้วมันไปได้ดี

สำหรับผม Wanna be ไม่ใช่พวก Fake พวกปลอมแต่มันคือความสนใจชนิดหนึ่งหรือความพยายามที่อยากจะเป็นและไปถึงในจุดนั้นโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องสนใจสิ่งนั้นมานานแล้วหรือเพิ่งมาสนใจ เพราะความสนใจคนเรามันเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ไอ้พวกที่ว่าตัวเองไม่ fake ไม่ปลอมไม่ Wanna be เนี่ยบอกทีว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ได้ Wanna be ในสิ่งที่ตัวเองเป็นในปัจจุบัน??

แล้วคนอื่นคิดว่าไงกันมั่งอะ

อยากเป็น ตั้งใจเป็น พยายามเป็น ฝืนเป็น

มันมีเส้นบางๆกั้นอยู่

นั่นสิครับ ทำไมต้องว่า ร้องเพลงเพราะดีออก

wanna be ในความหมายที่ท่านว่ามันคือความหมายด้านดี
แต่บริบทคำว่า wanna be ที่เรามาใช้กันเนี่ย มันสำหรับด้านไม่ดี

คำถามอยู่หัวมู้ คำตอบก็ท่านตอบเองแล้ว จบ ปิดมู้

อันนี้ B2C

ผมเข้าใจอยู่นะครับ แต่ก็คิดว่าทุกคนมันก็มีความ Wanna be กันทั้งนั้นกว่าจะรู้ว่าเราทำอันนี้แล้วมันใช่หรือไม่ใช่ กว่าจะรู้ว่าอันนี้คือตัวตนของเราหรือพอลองเป็นแล้วมันไม่ใช่

ken wannabe

ไม่รู้แนวเดียวกันมั้ย
แต่มันจะมีจำพวกที่แบบ ชอบความแตกต่างจากคนอื่น
อะไรที่มันดีมันป๊อปมันแมสในคนหมู่มาก คนพวกนี้จะแอนตี้
และไปเลือกสนใจอะไรที่ไม่เด่น แต่มักเกทับว่าดีกว่า

พอวันนึงสิ่งสิ่งนั้นที่คนพวกนี้กลับได้รับความสนใจมากขึ้น
คนประเภทนี้ก็แอนตี้สิ่งที่ตัวเองเคยชอบ ทั้ง ๆ ที่มันก็ดีอยู่แล้ว และดีขึ้นเรื่อย ๆ
กลายเป็นพวกที่ไม่ชอบอะไรที่มันเด่นมันป๊อป

ประเด็นอยู่ที่แล้วจะไปเที่ยวบอกคนโน้นคนนี้ว่า เอ็งลองดูนี้เจ๋งกว่าเยอะ โอ้ยของพวกนั้นตลาด ต้องนี้สิวะ..เพื่อ!!

หลายวงการนะ ทั้งเพลง ภาพยนต์ สถานที่ท่องเที่ยว

ส่วนใหญ่คนที่ wanna be แล้วมันไม่เกินไปจนทำให้คนอื่นรู้สึกจะไม่โดนใครว่าว่า wanna be

มันเป็นคำพูดของพวกไม่กล้าแสดงออก เบ้าหน้าโชว์ไม่ออก หุ่นเละ อิจฉาคนที่กล้าแสดงออกมากกว่า

ยิ่งถ้าเป็น ผญ สวยๆ เด่นๆ ขึ้นนำร้องเพลงชาติในโรงเรียน อิพวกหุ่นเละหน้าซอกเล็บมันจะเอาละ นินทา อิจฉาต่างๆนา



เอาง่ายๆก็คือ คำพูดพวกนี้มันเป็นคำพูดของคนที่ไม่กล้ายืนหน้าแถว ได้แต่อิจฉาความกล้าของคนที่ยืนอยู่หน้าแถวที่ยืนด้วยความมั่นใจ

แล้วมันจะมีอีกพวกนอกจากที่กล่าวๆกันด้านบนคือ คนที่ตัดสินคนอื่นว่าเค้า Wanna be ทั้งที่รู้จักเค้าแค่เปลือกนอก

และคนพวกนี้มีไม่น้อย เพราะเป็นบุคคลประเภทโลกหมุนรอบตัวเอง เอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง เลยคิดว่าเค้าพยายามเป็น หรือฝืนเป็นบางอย่าง ซึ่งคนพวกนี้ก็เอาคำว่า wanna be มาใช้เหยียดคนอื่น เพราะการตัดสินคนอื่นส่วนตัว ส่วนมากจะเป็นมนุษย์ประเภท Loser วันๆชีวิตไม่ทำไร ร้องเอานั่นเอานี่แต่ตัวเองอยู่กับที่ เห็นคนอื่นทำได้แต่ตัวเองเป็นไม่ได้ ก็หาว่าเค้าปลอม

ผมมีเพื่อนเยอะนะที่เป็นพวกวอนนาบีอ่ะ ผมเลยจัดพวกวอนนาบีนี่เป็นพวกอยากเท่แบบฝืนๆเลย สมัยนี้ใครอยากเท่ มันก็มีเวทีให้โชว์ความเท่ เฟสเอย อินตราแกรมเอย ทวีตเอย


จะว่าผมวอนนาบีก็ได้นะในช่วงแรกๆช่วงนึงผมกด box set The beatles ในไอจูนมาฟัง
เพราะผมเคยๆได้ยินแค่แบบเพลงที่แบบดังๆ พอได้ฟังไล่ครบทั้งหมด ก็อินหาประวัติอ่าน หาหนังสือมาอ่าน ยิ่งอ่านยิ่งอิน แกะเนื้อหาเพลงเองหรือใช่หนังสือช่วย โห อินอ่ะตอนนั้น
แล้วมันก็มีเพื่อนผมคนนึง มันก็ฟังตามผมแหละ เพราะผมเปิดลำโพงฟังเป็นส่วนมากไงโดยปกติมันฟังเพลงป๊อปไทย
แต่ส่วนมากมันจะฟังแต่ Hey jude อยู่เพลงเดียวเลยซึ่งผมก็ไม่ได้อะไร แต่ว่า เวลาไปพูดคุยกัน
มันจะชอบหยิบเรื่อง The beatles มาพูด โหคนนั้นเป็นงี้ คนงี้เป็นงั้น ไอจอนกับไอพอลนะมันทะเลาะกันโง้นงี้ ผมก็ฟังๆแล้วก็อ่อ อ่อ เชรดเข้ที่แม่งพูดมานี่มันมั่วทั้งเพเลยนี่หว่า
นอกจากนั้นมันก็เอา The beatles ขึ้นโคฟเวอร์เฟสบุ๊ค ทวีต อัพรูป ลง IG ทุกวัน ใส่เสื้อวง The beatles หลายๆคนก็บอกว่ามันฟังเพลงลึกดี ฟังเพลงเก่าดีว่ะ มีคลาสว่ะ ประมาณนี้

คือแบบมันฟังแค่แทบจะเพลงเดียวด้วยซ้ำอ่ะ
เยอะ พอผมฟัง Pink floyd มันก็ยก Pink floyd เป็นศาสดา
ผมมาชิมลางวง Queen ไม่ก็ยก เฟรดดี้เมอคิวรี่เป็นโคตรพ่อบัลลาร์ดร็อค

พอผมฟังเพลงที่มันดีจริงๆเป็นวงอินดี้เล็กๆ มันไม่ยักจะตามผมวุ้ย

เรื่องดูหนังอีก เวลาดูหนังพวกที่หนังรางวัล อินเตอร์สเตลล่า พัล์พ ฟิคชั่น
ฟอเรส กั๊มป์ มันแม่งเล่นโทรศัพท์เรื่อง ไม่ก็หลับ พอเครดิตหนังขึ้นตอนจบ บอกหนังดีว่ะ
แล้วก็เขียนรีวิวลงในเฟส ผมโคตรงงเลย ทำเพื่อไรวะ