เราจะไม่พูดถึงในเชิงการเมืองนะครับ เพราะเอาจริงๆ ผมต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับนโยบายรัฐหลายๆ อย่าง แต่อย่างนโยบายนี้ทำไมทุกคนถึงออกมาคัดค้านกันผมไม่เข้าใจ ผมจะเน้นไปพูดในเชิงของสุขภาพละกันครับ เผื่อใครอ่านบทความนี้จะได้ตระหนักถึงพิษภัยของน้ำตาลและโรคเบาหวานมากขึ้น

ผมสงสัยว่าทำไมคนส่วนใหญ่ในสังคม ถึงคัดค้านภาษีน้ำตาลกัน ทั้งๆ ที่ประเทศต่างๆ หลายๆ ประเทศทั่วโลกก็มีภาษีน้ำตาลที่สูง เพื่อป้องกันประชากรของตัวเองไม่ให้บริโภคน้ำตาลมากเกินไป เพราะคุณรู้หรือไม่ว่า "น้ำตาล" นี่แหละ ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายที่จะตามมามากมาย ยกตัวอย่างประเทศที่มีภาษีน้ำตาลก็เช่น อเมริกา อังกฤษ เดนมาร์ก นอร์เวย์ เป็นต้น

ถ้าถามว่าเราจะได้อะไรจากภาษีน้ำตาล คือ

1. ก็เพื่อลดการบริโภคน้ำตาลไง สมมติชาเขียวราคา 15 บาท น้ำเปล่าราคา 10 บาท ตามปกติถ้ายึดจากนิสัยผม ผมก็จะเลือกชาเขียว 15 บาท แต่ถ้าวันดีคืนดีมันขึ้นราคาเป็น 25 บาท แน่นอนว่าผมจะต้องยับยั้งชั่งใจก่อนที่จะซื้อ

2. เพื่อลดรายจ่ายต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในโครงการ 30 บาท เพื่อจะได้เอาเงินส่วนนี้ไปเป็นรายจ่ายให้กับโรคอื่นๆ ผู้ป่วยคนอืนๆ และพัฒนาให้มันดีขึ้น ทุกวันนี้ผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นมากจากกราฟที่ผมจะชี้ให้คุณดู



ปีหนึ่งๆ เราใช้งบประมาณตรงนี้กับโครงการ 30 บาทไม่รู้เท่าไหร่ แล้วจุดเริ่มต้นของโรคติดต่อเรื้อรังที่เป็นกันก็คือโรคเบาหวาน ก่อนที่จะตามมาด้วยโรคอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ โรคไตวาย เป็นต้น ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปในย่อหน้าถัดๆ ไป




ซึ่งโรคพวกนี้เนี่ย คนไทยเป็นกันเยอะมากๆ ซึ่งจริงๆ มันหลีกเลี่ยงได้กันทุกคน ถ้าหันมาดูแลสุขภาพ อย่างเบาหวานคุณอาจจะอ้างได้ว่าเป็นเพราะพันธุกรรม แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเราออกกำลังกาย งดการบริโภคน้ำตาลเกินความจำเป็น ต่อให้คุณมีพันธุกรรมที่ไม่ดี คุณก็ไม่เป็นนะครับ

(ผมจะไม่พูดถึงเรื่องประเด็นเก็บภาษีมาแล้วจะเอามาลงสาธารณสุขไหมนะครับ ผมจะเน้นในเรื่องของการลดรายจ่ายภาครัฐในเรื่องสาธารณสุขมากกว่า เพรนาะไม่อยากให้โยงการเมือง)

ทุกวันนี้มีคนคิดแบบนี้เยอะนะครับ ว่าฉันไม่จำเป็นต้องดูแลสุขภาพตนเองหรอก ถ้าฉันเป็นอะไรไป 30 บาทก็ cover ได้หมด มีภาครัฐอุ้มชูอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วมันก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพของประชากรไทยโดยรวมและต่อระบบสาธารณสุขของไทย



ลองคิดง่ายๆ นะครับ สมมติคุณลุงคนหนึ่งเป็นเบาหวาน ต่อมาเป็นโรคไตวาย ต้องล้างไตทุกวัน คุณลองดูว่างบประมาณที่ต้องใช้ในการดูแลคุณลุงนี่เท่าไหร่ หรือเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ต้องทำการผ่าตัดหัวใจ ก็ใช้งบประมาณของภาครัฐมากเช่นกัน แล้วถ้าสมมติว่าเรามีผู้ป่วยไตวายหรือเส้นเลือดหัวใจตีบเยอะมากๆ ทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นนี่เป็นแค่เบาหวาน การที่เราหันมาตัดไฟตั้งแต่ต้นลมจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่

บางคนอาจจะมองว่า เห้ยพูดแบบนี้มันเป็นการปกป้องภาครัฐกับโครงการ 30 บาทรึเปล่า ผมก็ต้องบอกก่อนเลยว่าไม่ครับเพราะโครงการนี้สำหรับผมมองว่ามันเป็นโครงการที่ดี แต่ถ้าเรามีคนป่วยแบบคุณลุงที่ผมว่าแล้วรายจ่ายมันเกินงบ วันนึงมันก็ต้องเจ๊งครับ ซึ่งผมก็ไม่อยากให้มันเจ๊งหรือโดนยกเลิกไป!

เพราะฉะนั้นแล้วผมมองว่าการขึ้นภาษีน้ำตาล ไม่มีฝ่ายไหนเสียหายเลยครับ ถ้าภาษีขึ้น ประชาชนดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยลง สุขภาพของประชากรไทยก็จะดีขึ้น รายจ่ายทางสาธารณสุขก็จะลดลง ปริมาณคนไข้ต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อในโรงพยาบาลก็จะลดลง การรักษาพยาบาลก็จะดีขึ้น สุดท้ายแล้วผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับประชากรไทยเองนี่หละครับผม

เอาง่ายๆนะครับ ทุกวันนี้อยู่ๆเราจะเปิดโรงงานน้ำตาลขึ้นมาเองไม่ได้เลย เพราะกฎหมายห้ามไว้

ทั้งๆที่วัตถุดิบเรามีมากมาย สามารถที่จะขายได้อีกมหาศาล

ผมทำงานด้านอาหารบอกเลยนะ จะซื้อน้ำตาลแต่ละทีแทบจะต้องไปกราบโรงงาน

ถ้ามันไม่ถูกใจเรามันก็ไม่ขายให้ ทุกคนต้องง้อโรงงานน้ำตาล

คิดว่าทำไมกฎหมายถึงกำหนดแบบนี้ละครับ

ต้องเข้าใจว่าบริบทของคนไทยหรือความเข้าใจเรื่องภาษีของคนไทยไม่เหมือนกับชาติอื่น


คนไทยไม่เคยมองเรื่องภาษีคือเรื่องกำแพง หรือกฎเกณฑ์บริหารประเทศเลย ไม่เคยเลย


ด้วย Mind Set ถามคนไทยเรื่อภาษีคนไทยทั้งหลายจะบอกว่า รัฐหิวเงินแค่นั้นเอง



โดยไม่เข้าใจเรื่องเศณษฐศาสตร์มหาภาค หรือกลยุทธ์ขับเคลื่อนสังคมด้วยภาษีเลย

ผมว่ามันเป็นคนละเรื่องกับการขึ้นภาษีเครื่องดื่มน้ำตาลเลยนะครับ อันนั้นเป็นเรื่องของภาคการผลิตก็ว่ากันไป แต่นี่ผมพูดถึงภาคการบริโภคที่จะขึ้นราคาเครื่องดื่มนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับภาคการผลิตและการส่งออกเลย

ในฐานะที่เคยออก OPD เบาหวาน ความดัน คนไข้วันละ 300
ขอบอกว่า เอาภาษี โซเดียมด้วยครับ (ญี่ปุ่นเคยรณรงค์ไปแล้ว คนไข้ความดันลดเยอะมาก)
ความดันสูงก็ชิบหายพอกัน

เรื่องเดียวกันครับ

ที่เค้าไม่ทำเพราะโรงงานพวกนี้จะเสียรายได้ไง

เสียรายได้ยังไงครับ สมมติผมเป็นผู้ผลิตชาเขียว ผมก็ต้องไปเอาน้ำตาลมา น้ำตาลผมก็ซื้อมาราคาเท่าเดิม แต่ตอนขายผมก็จะขายราคาแพงขึ้น เพราะภาครัฐกำหนดภาษีเครื่องดื่มน้ำตาลให้สูงขึ้น มันไม่เกี่ยวกับภาคการผลิตใดๆ เลยนะครับ

ถ้ามองในมุมสาธารณสุขก็ตามนั้นครับ

(เพราะเท่าที่เห็นมีประเด็นกัน เขาไม่ได้ถกเถียงกันในมุมนี้)

ส่วนตัวผมมองว่า คนไทยเรากินหวานกันหลายรูปแบบมาก ไม่ใช่แค่จากเครื่องดื่ม แต่ทั้งจากอาหาร และขนม ดังนั้นถ้าทำภาษีเพื่อประเด็นสุขภาพจริง ก็ควรครอบคลุมให้ครบทุกๆน้ำตาลที่คนไทยกินในแต่ละวันด้วยครับ

ลองหาอ่านบทความจากเว็บอื่นๆ ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ดีต่อสุขภาพของประชาชน แต่มองว่าทำให้เกิดขึ้นจริงได้ยาก เพราะแรงกดดันจากบริษัทผู้ผลิตสินค้า

ครสนใจลองตามอ่านได้ครับ

http://tdri.or.th/tdri-insight/sweetened-beverage-tax/

อย่างเว้บนี้ก็เล่าว่า ในเม็กซิโก ภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่ม ทำให้ยอดการผลิตน้ำเปล่าบรรจุขวดเพิ่มขึ้น (อาจจะ)แปลว่า ผู้บริโภคเลือกดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวานที่แพงขึ้น



http://www.siamintelligence.com/why-the-sugar-tax-is-a-problem/

ส่วนเว้บนี้ก็เล่าถึงสาเหตุที่ ภาษีน้ำตาลในเครื่องดื่ม ถึงผ่านได้ยาก

ถ้าราคาชาเขียวเพิ่ม ลูกค้าซื้อน้อยลง โรงงานผลิตก็ต้องผลิตน้อยลง ก็ซื้อน้ำตาลน้อยลง มันจะไม่เกี่ยวได้ไงครับ

Demand Supply ง่ายๆ

เห็นด้วยกับท่าน GludMunZ ในแง่ที่ว่ากระทบผู้ปลูกอ้อย,ผู้ผลิตน้ำตาลวัตถุดิบแน่ๆ

อย่างไรก็ตาม ปีที่แล้วเราส่งออกน้ำตาลเป็นอันดับ 2 ของโลกครับ และผลิตได้เป็นอันดับ 1 ในเอเซียน ถ้าสรุปคร่าวๆก็อาจจะบอกได้ว่า ภาษีน้ำตาลกระทบฝั่งผลิตไม่มากเท่าที่คิด เพราะคนทำน้ำตาลมีรายได้มาจากการส่งออกด้วย

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/222238

ถูกต้องแล้ว

แต่ถามว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ถึงต้องโดนแบบนั้น
เพราะโลกยุคปัจจุบันมองถึงสภาพแวดล้อมของโลกด้วย
กิจการของคุณโตขึ้น คุณก็ทำลายสุขภาพของคนมากขึ้น
รูปแบบนี้ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยหลายๆประเทศก็ทำกัน
เพราะธุรกิจขนาดใหญ่นั้นมีอัตราการใช้ทรัพยากรสูง

ถ้ารัฐไม่แก้ปัญหานี้ผลเสียคือประชากร และรัฐไม่ใช่นายทุน
ดังนั้นรัฐจึงต้องออกกฎหมายลักษณะนี้ออกมาเพื่อประชาชน
ประชาชนต้องลดการบริโภคลงด้วยกำแพงภาษี เพราะว่ามันแพงคนจึงลดการบริโภค

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับโรงงานน้ำตาลอะครับ ในที่นี้ผมพูดถึงคนซื้อน้อยลงก็ถูกต้องแล้วไงครับ ผมไม่ได้พูดถึงภาคการผลิตใดๆ เลย ผมพูดถึงภาคบริโภค ถ้าภาษีน้ำตาลสูงขึ้น คนซื้อน้อยลง ก็ตอบโจทย์ในสิ่งที่ผมต้องการแล้วหนิ

คือสรุปง่ายๆ คือคุณไม่ได้พูดถึงในประเด็นที่ผมพูด คุณพูดถึงภาคการผลิตซึ่งผมไม่ได้มองตรงนั้น ผมพูดถึงภาคบริโภค แล้วสิ่งที่คุณพิมพ์มาก็ตอบโจทย์ในสิ่งที่ผมต้องการแล้วคือคนบริโภคน้อยลง ซึ่งผมงงตั้งแต่ที่คุณพูดเรื่องการตั้งโรงงานแล้ว

สัดส่วนของกราฟถูกต้องไหม ถามใจเธอดู

ใช่!! ผมงงมากๆ ว่าแล้วบทความผมมันเกี่ยวอะไรกับโรงงานน้ำตาลละเนี่ย 5555555 ก็ผมอยากให้มันลดจริงๆ มันอาจจะเสียต่อภาคอุตสาหกรรม แต่มันดีต่อภาคสาธารณสุข ก็ผมพูดถึงสาธารณสุข จะเอาเรื่องอุตสาหกรรมมาเกี่ยวทำไม

ก็ถูกต้องแล้วหนิ จะสื่ออะไรอะครับ

เพิ่มเติมเดี๋ยวหาว่าผมมั่ว เอาตาราง Excel ที่เป็นจำนวนไปเทียบดูก็ได้ครับ

http://www.dmthai.org/statistic