มิตรผลนี่ใหญ่สุดเลยป่ะครับ

ทำไมกราฟ 54 - 55 มันถึงยอดเท่าเดิมไม่กระดิกเลยล่ะ

กราฟมันทำผิดครับ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นประเด็นเล็ก เพราะไม่มีกราฟตัวไหนในอินเตอร์เน็ตที่แสดงแล้ว (จริงๆ ปี 55 มีจำนวนผู้ป่วย 674,826 คนครับ) แต่จาก curve มันก็เป็นกราฟ slope ชันขึ้นอยู่แล้วผมเลยบอกว่ายอดมันสูงขึ้นชัดเจน ทั้งนี้ผมเลยแนบไฟล์ excel ไปให้ด้วยถึงปี 57 ซึ่งถ้าเปรียบเทียบจากกราฟนี่เพิ่มขึ้นมาถึงเกือบ 2 แสนคน

ปี 2550 มีผู้ป่วยเบาหวาน 500,374คน กราฟสูงประมาณ 1ซม.

ข้ามมาปี 2552 มีผู้ป่วยเบาหวาน 558,156คน เพิ่มจากปี 2550 ประมาณ 11% แต่กราฟสูงขึ้น 100% กลายเป็น 2ซม.

ต้องการจะสื่อว่ากราฟมันทำสูงเกินจริงครับ ทำให้อิมแพ็คมันดูน่ากลัวเกินไป ถ้าตัดตัวเลขออกไปดูเฉพาะกราฟคนจะรู้สึกว่า โหหห ยอดผู้ป่วยปี 2555 มันพุ่งเป็นสามเท่าของปี 2550 เลยหวะ ทั้งที่ในความเป็นจริงกราฟที่ถูกต้องของปี2555(ผู้ป่วยเพิ่มมา25%จากปี2550) มันยังสูงไม่เท่าปี 2551 ในรูปเลยด้วยซ้ำ(ความสูงกราฟเพิ่มขึ้น50%)

อ๋อ เปล่าๆ ของผมแค่สงสัยเรื่องยอดเฉยๆ แต่กราฟมันแปลกๆ ถ้าจะวัดจากยอดปี 51 ปี 55 มันต้องสูงกว่านี้ ถ้าเทียบ ปี 50-51 นะ แต่ถ้าเอาแบบเห็นชัดๆปี 55 ถูก 50-51 มันก็ต้องเตี้ยกว่านี้เยอะ

เห้ยคุณ นั่นสูงมากๆ นะ สำหรับการคำนวนวิทยาการการระบาดอะ ตัวกราฟมันอาจจะไม่ได้ plot มาเป๊ะ แต่ตัวเลขมันก็ค่อนข้างน่าตกใจนะครับ ปี 50 ผู้ป่วยประมาณ 500,000 คน แต่ปี 57 เพิ่มมาเป็น 670,000 คน ตัวเลขมันก็ significant ชัดๆ อยู่แล้วอะ

ถ้าพูดถึงเรื่องการทำกราฟมันก็สมเหตุสมผลแล้วนะครับ เอาง่ายๆ จากกราฟนี้ก็เหมือนดูกราฟที่หัวยอดอย่างเดียวไม่ได้แสดงให้เห็นตั้งแต่ฐานเพราะอยากให้เห็นค่าของความแตกต่าง มันก็ไม่เห็นจะดูเกินจริงตรงไหน เวลาผมเขียนกราฟตอนมหาลัย ก็มีการย่นช่วงแกน y ปกติอยู่แล้วนี่ครับ เอาจริงๆ ตัดประเด็นเรื่องกราฟไปแค่คำนวนเป็น % มันก็เห็นได้ชัดว่ามีการระบาดของโรคเบาหวานชัดเจนอยู่แล้วครับ นั่นคือสิ่งที่ผมจะสื่อในประเด็นมากกว่า


ตัวอย่างการย่นแกน

Spoil

https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&cad=rja&uact=8&ved=0ahUKEwjupMPTkYDSAhWHrY8KHQ_EC7YQjRwIBw&url=https%3A%2F%2Fpantip.com%2Ftopic%2F30905228&bvm=bv.146094739,d.c2I&psig=AFQjCNHcsCT6Vt_wE23vDuKoeXUFimzyCA&ust=1486630857897350  

ผมไม่กินของหวานๆ อยู่แล้วว แต่ผมก็เห็นด้วยที่จะเก็บภาษีของพวกนี้นะ คนไทยกินหวานมากเกินไป

ผมว่าเค้าเข้าใจสิ่งที่ผมพูดนะ ทั้งกระทู้เนี่ยมีคุณคนเดียวที่ไม่เข้าใจ

ก็คือต่อให้การกำหนดภาษีมันเลิศเลอยังไงก็ยากครับ เพราะกลุ่มที่เสียผลประโยชน์มันไม่ยอม

ที่ผมยกเรื่องกฎหมายขึ้นมา คุณลองคิดสิกฎหมายตัวนี้มีใครได้ประโยชน์บ้าง?

นอกจากกลุ่มนายทุนที่ทำโรงงานน้ำตาลอยู่แล้ว ตัดคู่แข่งไปได้ตลอดชีวิต

รัฐบาล ประเทศได้อะไรจากกฎหมายตัวนี้บ้างครับ?

ขนาดกฎหมายยังอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนใดคนนึงขนาดนี้ เรื่องอื่นๆไม่ต้องไปหวังหรอกครับ

ด้วยความเคารพนะครับ คือคุณอ่านที่ผมพิมพ์จนจบยังอะ

บรรทัดที่ 2 ผมใช้คำว่า "ทุกคน" ผมหมายถึงประชาชน ไม่ได้หมายถึงโรงงานภาคการผลิต

บรรทัดที่ 4 ผมใช้คำว่า "คนส่วนใหญ่ในสังคม" ผมหมายถึงประชาชน ไม่ได้หมายถึงโรงงานภาคการผลิต

บรรทัดที่ 7 ผมใช้คำว่า "เรา" ผมหมายถึงประชาชน ไม่ได้หมายถึงโรงงานภาคการผลิต

ไม่มีตรงไหนที่ผมพูดถึงการคัดค้านของภาคเอกชน ผมพูดถึงการที่ประชาชนพวกเราเองนั่นแหละที่คัดค้าน ซึ่งไอพวกเราเนี่ยคือ "ประชาชน" ไม่ใช่โรงงานน้ำตาล ซึ่งผมอยากให้ประชาชนวางการเมือง แล้วลองตระหนักถึงตรงนี้ดู ผมว่าคุณยังอ่านหนังสือไม่เคลียร์เลยนะครับ

เรื่องโรงงานน้ำตาลคัดค้านก็เป็นเรื่องของเค้าไปสิ นี่ผมพูดถึงภาคประชาชน!

ปล.อีกเรื่องนะครับ ถ้าถามว่ารัฐได้อะไรจากตรงนี้บ้าง ไอที่ผมเขียนมาแทบตายนี่ ถามจริงๆ คุณอ่านรึยัง

ถ้าจะคิดแบบนั้นก็แล้วแต่คุณละครับ ผมแค่มาบอกว่าทำไมภาษีน้ำตาลจะไม่มีวันเกิดขึ้น

ต่อให้ทุกคนเห็นด้วยกับการตั้งภาษี เรื่องนี้ก็เป็นได้แค่ฝันครับ

ขึ้นแล้วไง ของหวานก็ขึ้นตามไปสิ อาหารก็อาจจะขึ้นอีกนิดหน่อย

กินได้ก็กิน กินไม่ได้สุดท้ายก็ต้องกินอยู่ดี

เปลี่ยนจาก "การเก็บภาษี" เป็น "หน่วยงานควบคุม" หรือ "กฏหมายควบคุมเครื่องดื่มที่ส่วนผสมของน้ำตาล" มันจะดีกว่านี้เยอะ

แต่คิดง่ายๆ แค่เอาทางออกที่สามารถหาเงินเข้า รัฐ ได้ด้วย ใครๆก็เอา