การบูชาไฟและฝึกควบคุมธาตุสี่
ปกติมีวิธีฝึกธาตุสี่หลายวิธี บางท่านใช้ “คาถา” เป็นตัวนำ เช่น การฝึกธาตุสี่แบบฉบับของพระสังฆราชสุก (ไก่เถื่อน) ใช้คาถาเดินธาตุเป็นตัวนำ ทว่า นั่นก็เป็นเพียงหนึ่งวิธีของการฝึกธาตุสี่ ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถฝึกธาตุสี่ได้ ในบทความฉบับนี้ ขอเสนอการฝึกธาตุสี่ โดยเริ่มต้นจากการบูชาไฟ ซึ่งจะก่อให้เกิดธาตุไฟสะสมในร่างกายก่อน ดังนี้
๑) การบูชาไฟเพื่อเพิ่มพลังธาตุไฟในร่างกาย
เริ่มต้นจากการบูชาไฟ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ในบางท่านใช้ตะเกียงอาระตี ซึ่งมีผู้ประดิษฐ์ขึ้นในภายหลังแต่มีราคาแพง บางท่านใช้เทียนในการบูชาไฟ แต่บางท่านก็อาจดัดแปลงขึ้นมาในแบบของตนก็ได้ ขอให้สามารถบูชาได้อย่างเหมาะสม โดยบูชาไฟนี้ ทำโดยตรงต่อพระพุทธเจ้าก็ได้ ในสมัยโบราณตามบันทึกในพระไตรปิฎก ได้กล่าวถึงพระนิตยโพธิสัตว์หลายองค์ที่กระทำพิธีบูชาไฟต่อพระพุทธเจ้าเช่นกัน บางองค์ถึงขนาดใช้ผ้าพันตัวราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผาตัวเองบูชาเลยทีเดียว การบูชาไฟเป็นเพียงวิธีการหนึ่งของการเรียนรู้เรื่องธาตุไฟเช่นเดียวกับการเพ่งธาตุไฟ, เพ่งดวงไฟ, เพ่งดวงอาทิตย์ หรือวิธีการเรียนรู้ธรรมชาติในแบบอื่นๆ อันเป็นพื้นฐานให้จิตมีกำลังมากพอ มีอินทรีย์กล้าแข็งพอที่จะรับธรรมะจากพระพุทธเจ้าต่อไปในภายภาคหน้า การบูชาไฟทำให้ได้ทั้งศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิและกำลังจิตเหลือแต่เพียงปัญญาเท่านั้น ที่อาจยังไม่รู้แจ้ง แต่ก็พร้อมเต็มที่ที่จะรับธรรมะจากพระพุทธเจ้า ดังนั้น พราหมณ์จำพวกหนึ่งก็นิยมกระทำกัน และพระพุทธเจ้าเองก็นิยมโปรดพราหมณ์ที่มีความตั้งใจกระทำด้วยเช่นกัน เมื่อกระทำถึงจุดหนึ่งแล้ว ธาตุไฟในร่างกายจะเพิ่มขึ้นมาก ถ้ามากเกินไป จะทำให้เกิดอาการ ธาตุไฟในร่างกายกำเริบ คือ มากเกินขีดจำกัดของสังขาร ต้องค่อยๆ หาวิธีจัดการต่อไป
๒) การปรับพลังธาตุไฟให้กลายเป็นธาตุลม
เมื่อรู้ตัวว่าธาตุไฟในร่างกายเริ่มมากเกินไปแล้วกำเริบแล้วคือ มีอาการของธาตุไฟกำเริบเช่น ความหุนหันพลันแล่น, ความคิดสว่างไสวฉับไว (แต่ยังไม่รู้แจ้ง), เกิดแผลร้อนในในปาก ฯลฯ เหล่านี้ เป็นอาการของธาตุไฟในร่างกายมากเกินไปจนกำเริบขึ้น ให้ฝึกปรับธาตุไฟในร่างกายให้ลดความร้อนลง ถ้าสามารถควบคุมความร้อนของธาตุไฟได้สำเร็จ จะเป็นคนที่มีจิตใจเย็นลง แล้วธาตุไฟในร่างกายก็จะเปลี่ยนสภาพเป็น “ธาตุลม” จากธาตุไฟจะดับลงเพราะดับความร้อนของใจได้ ธาตุไฟดับก่อเกิด “ธาตุลม” ต่อ ให้สังเกต อาการภายในร่างกายและรอบตัว มีสัญญาใดที่แสดงให้เห็นว่าธาตุไฟดับ ก่อเกิดธาตุลม เช่น อาการรอบตัวเคยร้อนอบอ้าวมากๆ พอเราฝึกสำเร็จ มีไหมที่กลายเป็นเย็นลงทันที โดยก่อนจะเย็นลงมีลมพัดมาก่อน ลมพัดเอาความหนาวเย็นมาแทนที่ นั่นอาจเป็นสัญญา บ่งบอกว่าการฝึกปรับธาตุไฟของเราสำเร็จเป็นธาตุลมแล้ว ช่วงนี้ ความคิดและพฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนแปลงไปคือ จากเดิมสว่างไสว, ร้อนแรง, ใจร้อน ฯลฯ เหมือนไฟ ก็เป็นใจเย็นลง แต่ยังไม่นิ่ง จะคล้ายลมพายุก่อน คือ ว่องไว, หุนหัน, ผันผวนแปรปรวน, ไม่ยึดติด, ไม่มีรูปแบบ, ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน, ใสและมองไม่เห็น บางคนฝึกสำเร็จ ทำให้อยู่บนโลกนี้ ราวกับไม่มีคนรู้เห็นก็มี แต่คนจะรู้ได้จากการเคลื่อนไหว เพราะฤทธิ์จากธาตุลม นอกจากนี้ อาการร้อนในในร่างกายจะลดลง เป็นอาการธาตุลมแทนเช่น อาการลมเวียน, ลมปราณปั่นป่วน ซึ่งเราสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงของธาตุในร่างกายได้ชัดแจ้ง
๓) การควบคุมธาตุลมจนก่อเกิดเป็นธาตุน้ำ
เมื่อเกิดธาตุลมในร่างกายแล้ว ทำให้เกิดความปั่นป่วนในร่างกายของเราไปจนถึงจุดหนึ่ง ให้ฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวของธาตุลม คุมลมในอยู่ในกรอบ ไม่กระจัดกระจายฟุ้งซ่าน ไม่ปั่นป่วน เสมือนสร้างคลองให้น้ำไหลฉะนั้น เมื่อยามนั้น จะทำให้ความคิดไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระจัดกระจาย มีแนวทาง, มีทางเดิน, มีครรลอง “คลองธรรม” ของตน ให้สังเกตว่าธรรมชาติรอบตัวมีการเปลี่ยนแปลงด้วยหรือไม่ จะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราฝึกควบคุมธาตุลมได้สำเร็จแล้ว เมื่อธาตุลมดับก่อเกิดธาตุน้ำ ส่งผลให้น้ำในร่างกายเพิ่มขึ้นได้ เช่น อาจมีอาการน้ำมูกไหลมากกว่าปกติ, น้ำในร่างกายเพิ่มและล้นออกมาจากทวารใดทวารหนึ่งในเก้าทวาร ในรูปต่างๆ เช่น น้ำมูก, น้ำตา, น้ำลาย หรือแม้แต่การถ่ายท้อง ท้องเสีย ก็เป็นอาการหนึ่งของธาตุน้ำกำเริบ เมื่อถึงจุดนี้ ให้สังเกตธรรมชาติรอบตัวด้วย ลมจะเริ่มสงบลง แต่ “น้ำ” จะมาแทนที่ บางทีฝนจะตก บางทีเป็นน้ำค้าง, บางทีเป็นน้ำอื่นๆ
๔) การหลอมรวมธาตุน้ำจนก่อเกิดเป็นธาตุดิน
เมื่อธาตุน้ำในร่างกายมีปริมาณมากแล้ว จนก่อเกิดอาการธาตุน้ำในร่างกายกำเริบ ให้ฝึกต่อไป คือ ฝึกลอมรวมธาตุน้ำ ระลึกเหมือนว่าเรากำลังรวมน้ำกองหนึ่ง น้ำที่เหลวอยู่ ทำอย่างไร ของเหลว ของไหล จะกลายเป็น “ของแข็ง” คือ “ธาตุดิน” ได้ ต้องใช้จิตที่แน่วแน่มั่นคง ไม่หวั่นไหว มีขันติธรรม อดทนยอมรับสภาพต่างๆ ได้ดั่งดินที่รองรับได้ทุกสิ่ง เพื่อปณิธานหรืออุดมการณ์ของตน เมื่อทำจิตได้ดั่งแผ่นดินก็จะก่อให้เกิด “ธาตุดิน” จากพลังธาตุน้ำที่มีอยู่แต่เดิม ยามนี้ ร่างกายจะรู้สึกหนักแน่นขยับยากไม่ค่อยลื่นไหลดังก่อน แต่มั่นคง เข้มแข็ง ด้วยอุดมการณ์ของตน อุปมาเหมือนบุคคลเกิดธาตุไฟมีปัญญาสว่างไสว แต่ใจร้อนรีบเผยแพร่แนวคิด ทำให้เกิดปัญหาลุกลาม ต่อมาก็ปรับความร้อน ความใจร้อนลงได้ก็กลายเป็นฟุ้งซ่านบ้าง แต่ไม่ยึดมั่น เริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัวตามสิ่งต่างๆ แต่ไม่กล้าเผยตัวตน เป็นลมที่มองไม่เห็น จากนั้น เริ่มหา “ครรลอง” ที่จะมีแนวทางของตนในการดำเนินไป กลายเป็น “ธาตุน้ำ” จากนั้น จึงแนวแน่มั่นคงในอุดมการณ์ไม่หวั่นไหว แม้ได้รับการกระทบกระทั่งเสียดสีหรือแรงกดดันจากสังคม ที่ไม่เห็นด้วยกับการค้นพบสิ่งใหม่ๆ ของตน ดังนี้ ก็ก่อกำเนิดธาตุดินได้ในท้ายที่สุด บุคคลย่อมสำเร็จตามปณิธาน
พิจารณาอาการเกิดดับของธาตุทั้งสี่
ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ และ ไฟ, ลม, น้ำ, ดิน หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ไม่จีรัง ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดได้ แปรเปลี่ยนได้สารพัน แท้แล้วไม่ต่างกัน มีธาตุพื้นฐานมาจากที่เดียวกัน แต่อาการเปลือกนอกต่างกันเท่านั้น เหมือนมีดินเหนียวก้อนหนึ่งจะปั้นให้เป็นอะไรก็ตามแต่ใจของเรา เมื่อใจเราเปลี่ยนแปลง ธาตุในร่างกายก็แปรปรวนตามนั้น ใจร้อนก็เกิดธาตุไฟ ใจแปรปรวนก็เกิดธาตุลม ใจลื่นไหลในคลองธรรม ก็เกิดธาตุน้ำ ใจแน่วแน่ในปณิธานอดทนอดกลั้นต่อการถูกกระทำ ก็เกิดธาตุดิน ดังนี้ จึงผันแปรได้ดังใจปรารถนา
การฝึกธาตุสี่แบบนี้ ให้ผลทั้งด้าน “อิทธิฤทธิ์” และ “ปัญญา” ซึ่งหากต้องการให้ผลมากทางปัญญาให้พิจารณามากๆ บ่อยๆ ให้แยบคาย รอบคอบ รอบด้าน ให้ละเอียดมากๆ ก็จะได้ปัญญาความรู้มาก หากประสงค์จะเน้นหนักไปทางอิทธิฤทธิ์มากๆ ให้เน้นกระทำให้มากโดยไม่ต้องเน้นการพิจารณา ก็จะทำให้เกิดมวลพลังธาตุพื้นฐานมากมาย แล้วแปรเปลี่ยนไปตามแต่ใจกำหนด ใจเป็นอย่างไร มวลพลังก็ก่อเกิดได้อย่างนั้น ไม่อาจยึดว่าจะต้องเป็นธาตุใดเสมอไป จากธาตุหนึ่งแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกธาตุหนึ่งได้สารพัน
วิธีการฝึกธาตุสี่แบบนี้ค่อนข้างง่าย เพราะไม่ต้องใช้คาถา ไม่ต้องจดจำอะไรมาก ใช้การบูชาไฟเป็นจุดเริ่มต้นก็พอ และคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมไทยอยู่แล้ว เพราะคนไทยก็บูชาพระพุทธเจ้าด้วยไฟเหมือนกัน แต่ใช้ “ธูปเทียน” เป็นสำคัญ ในการบูชาไฟก็เพียงปรับรูปแบบเล็กน้อย ให้สามารถเห็นเปลวไฟของสิ่งที่บูชาได้ชัดเจน เช่น การใช้สำลีเป็นไส้ตะเกียง ใช้พาชนะที่สามารถถือได้ไม่ร้อนรองรับ แล้วใส่น้ำมันลงไป จุดไฟติดแล้วบูชา ก็สามารถบูชาไฟได้ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ปรับรูปแบบทำตามความเหมาะสม
ในการฝึกธาตุสี่นั้น จะส่งผลให้ธาตุสี่ในร่างกายเปลี่ยนแปลง เมื่อฝึกธาตุใด ธาตุนั้นจะเปลี่ยนแปลงตาม ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามแสดงว่า “ฤทธิ์ทางใจ” ยังไม่เกิด และเมื่อมีฤทธิ์ทางใจมากขึ้น ให้สังเกตดู ธรรมชาติรอบตัวจะเปลี่ยนแปลงธาตุในร่างกายของเราด้วย แต่ธรรมชาติรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงตามเรานี้ จะมีรัศมีวงกว้างขนาดไหน ขึ้นอยู่กับตบะ กำลังฤทธิ์ กำลังจิตของเราเอง ฝึกได้ฤทธิ์มาก ก็ส่งผลได้ไกลมาก ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอให้ท่านแสวงหาครูบาอาจารย์แล้วเริ่มทดลองปฏิบัติพิสูจน์ด้วยตนเองเถิด
http://www.oknation.net/blog/buddhabath/2009/11/24/entry-3