แล้วถ้าอนาคตสมมติใช้สกุลคริปโตสักอันนึง อะเอาเป็น ss ละกัน (มีเหรียญจำกัดที่21ล้านเหรียญ) แทน fiat สมมติว่าข้าวอยู่ที่จานละ 1ss แต่พอผ่านไปห้าปี ข้าวขึ้นเป็น 2ss เพราะสินค้าต่างๆที่เป็นต้นทุนก็ต้องขึ้นราคาอยู่แล้วตามกลไกเศรษฐศาสตร์ ซึ่งปัจจัยสามขาของเศรษฐศาสตร์คริปโตก็ไม่สามารถพังมันได้ เพราะเงินเฟ้อมันไม่ใช่แค่ว่าอุปทานมากกว่าอุปสงค์ เช่นการพิมพ์แบงค์ของเมกา (ที่คนส่วนใหญ่คิด) และที่คนคิดว่า btc จะไม่เฟ้อเพราะมีจำนวนจำกัด ก็เป็นความคิดที่ไม่ถูกเพราะ เงินเฟ้อไม่ได้มาจากแค่การที่อุปทานมากกว่าอุปสงค์ แต่มีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่นการขึ้นของราคาโภคภัณฑ์ที่เป็นต้นทุนของสินค้าต่างๆบนโลกนี้ เช่น ข้าวร้านป้าเอ ปกติขายจานละ1ss แต่ช่วงหลังนี้ค่าไฟเพิ่ม ค่าน้ำเพิ่ม ค่าน้ำมันเพิ่ม เพราะผู้ผลิตฮั้วกันกดราคา สุดท้ายก็จะส่งผลถึงราคาเนื้อ ผัก ที่ต้องราคาสูงขึเน และต้นทุนของป้าเอก็ต้องสูงขึ้น เพราะขาย 1ss แล้วขาดทุน ทำให้ต้องขึ้นราคาข้าว

 

โดยส่วนตัวก็ไม่เชื่อว่าจะเอา crypto มาใช้ในชีวิตประจำวันได้นั่นแหละ

การแลกเปลี่ยนที่ดี ผมก็ยังยกให้ Fiat นั่นแหละ เพราะมันใช้เวลามากกว่าในการผันผวน(เอาจริงๆอยากใช้คำว่าสูญเสียมูลค่ามากกว่าผันผวนเพราะแทบไม่เคยเห็น Fiat ได้มูลค่า)

ซึ่งยังไงการสูญเสียมูลค่าของ Fiat มันก็มากกว่าสินทรัพย์อื่นๆอยู่ดี ทั้งทอง อสังหาริมทรัพย์ ส่วนจะเชื่อว่าคริปโตสูญเสียมูลค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า Fiat ก็แล้วแต่มุมมองของคุณเลยครับ

เพราะคริปโคมันก็มีทั้งเหรียญที่สูญเสียมูลค่าถ้าเทียบกับ Fiat (เช่น xrp , doge)

หรือเหรียญที่มูลค่าเพิ่มขึ้นถ้าเทียบกับ Fiat

ก็พิจารณาเองละกันครับ

ความเห็นผมมีแค่

Fiat มันห่วย แค่นัเนแหละ

ซึ่ง Crypto ที่ห่วยกว่า Fiat ก็มีครับ  

อย่างที่ผมเคยบอกไปว่า เงินเนี่ยมันแล้วแต่คนจะให้ค่ามันเองว่าอันไหนเป็นเงิน เห็นไมครับทำไมบางทีถึงรับเป็น eth หรือเหรียญอื่นๆซึ่ง eth มันแทบจะออกแบบมาไม่ได้เพื่อเป็นเงินที่ดีเลยแต่เพราะหลายๆคนให้ค่ามันมองมันเป็นเงิน เค้าเลยรับสิ่งเค้ามองว่าเป็นเงิน คำว่าเงินมันคือตัวกลางการแลกเปลี่ยนที่ผู้ซื้อผู้รับพอใจทั้งสองฝ่าย แต่เงินที่ดี sound money ก็อีกเรื่องนึง ผมเชื่อว่าหลายๆคนยังไม่เข้าใจคำว่าเงินคือไรเลยด้วยซ้ำไปนะ ผมก็หวังว่าสักวันคนจะเริ่มเข้าใจเทคโนโลยีนี้มากขึ้น
ปล. ผมก็คิดแบบนั้นนะว่าชาตินี้ช่วงอายุของผมคงไม่ทันที่เราจะเปลี่ยนเป็น bitcoin standard ใช้คริปโตเป็นเงินหรืออาจจะไม่เป็นเลยก็ได้หรืออาจจะมีสิ่งที่กว่ามาแทนบิตคอยก็ได้  

ขอถามนิดนึงครับ

แสดงว่าที่สะสมกัน คือสะสมเพื่อมีคริปโตไว้ใช้ในอนาคต

ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรเพื่อแลกกลับเป็นค่าเงินเดิมๆ(บาท ดอลล่า ฯลฯ) ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ

 

ขอถามนิดนึงครับ

แสดงว่าที่สะสมกัน คือสะสมเพื่อมีคริปโตไว้ใช้ในอนาคต

ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรเพื่อแลกกลับเป็นค่าเงินเดิมๆ(บาท ดอลล่า ฯลฯ) ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ

 

แล้วถ้าอนาคตสมมติใช้สกุลคริปโตสักอันนึง อะเอาเป็น ss ละกัน (มีเหรียญจำกัดที่21ล้านเหรียญ) แทน fiat สมมติว่าข้าวอยู่ที่จานละ 1ss แต่พอผ่านไปห้าปี ข้าวขึ้นเป็น 2ss เพราะสินค้าต่างๆที่เป็นต้นทุนก็ต้องขึ้นราคาอยู่แล้วตามกลไกเศรษฐศาสตร์ ซึ่งปัจจัยสามขาของเศรษฐศาสตร์คริปโตก็ไม่สามารถพังมันได้ เพราะเงินเฟ้อมันไม่ใช่แค่ว่าอุปทานมากกว่าอุปสงค์ เช่นการพิมพ์แบงค์ของเมกา (ที่คนส่วนใหญ่คิด) และที่คนคิดว่า btc จะไม่เฟ้อเพราะมีจำนวนจำกัด ก็เป็นความคิดที่ไม่ถูกเพราะ เงินเฟ้อไม่ได้มาจากแค่การที่อุปทานมากกว่าอุปสงค์ แต่มีสาเหตุอื่นร่วมด้วย เช่นการขึ้นของราคาโภคภัณฑ์ที่เป็นต้นทุนของสินค้าต่างๆบนโลกนี้ เช่น ข้าวร้านป้าเอ ปกติขายจานละ1ss แต่ช่วงหลังนี้ค่าไฟเพิ่ม ค่าน้ำเพิ่ม ค่าน้ำมันเพิ่ม เพราะผู้ผลิตฮั้วกันกดราคา สุดท้ายก็จะส่งผลถึงราคาเนื้อ ผัก ที่ต้องราคาสูงขึเน และต้นทุนของป้าเอก็ต้องสูงขึ้น เพราะขาย 1ss แล้วขาดทุน ทำให้ต้องขึ้นราคาข้าว

 

อยากรู้เรื่องกำหนดว่า แต่ละเหรียญมีเท่าไหร่ ใครเป็นคนกำหนด แล้ววันนึงถ้ามันเต็มเค้ามีโอกาสขยายจำนวนเหรียญเพิ่มมั๊ย  

อยากรู้เรื่องกำหนดว่า แต่ละเหรียญมีเท่าไหร่ ใครเป็นคนกำหนด แล้ววันนึงถ้ามันเต็มเค้ามีโอกาสขยายจำนวนเหรียญเพิ่มมั๊ย  

ขอถามนิดนึงครับ

แสดงว่าที่สะสมกัน คือสะสมเพื่อมีคริปโตไว้ใช้ในอนาคต

ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรเพื่อแลกกลับเป็นค่าเงินเดิมๆ(บาท ดอลล่า ฯลฯ) ผมเข้าใจถูกมั้ยครับ

 

เรื่องเฟ้อไม่จำเป็นจะต้องมาจาก demand pull อย่างเดียว พูดง่ายๆคือไม่ใช่ว่าเหรียญจำกัดแล้วมันจะไม่เฟ้อ กลไกเศรษฐศาสตร์มันมากกว่านั้น การเฟ้อของสินทรัพย์มันมีด้าน cost push อีก  

ใช่ครับมันมากกว่านั้นแต่ก็เป็นส่วนสำคัญครับ แต่fed กลับทำสิ่งตรงข้ามมาตลอด2 3 ปีที่ผ่านโดยผลิตเงินดอลล่าเป็นจำนวนเกือบครึ่งนึงกับดอลล่าที่ผลิตมากว่าตั้งแต่เริ่มใช้งานดอลล่ามา แล้วยิ่งเลิกเอาทองคำแบ็คด้วย เอาจริงๆคุณพูดมาก็ดูพอเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อหรือทางด้านเศรษฐศาสตร์แล้วนะ แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าการเฟ้อที่คุณกล่าวถึงจากเหตุผลอื่นๆมันขี้ประติวมากเลยครับเทียบกับการผลิตเงิน อัตราส่วน40 60% ต่อ supply ทั้งหมดของดอลล่าที่เริ่มผลิตมา ในเมื่อไม่มี supplyจำกัด แล้วอยากผลิตเท่าไหร่ก็ผลิตได้เนี่ยแล้วไปเทียบกับบิตคอยที่จำกัด 21ล้านเหรียญแล้วทุก4ปีมีการ halving บิตคอยอีกเนี่ยโคตรจะดีที่สุดที่จะทำมาได้แล้วนะ อัตราการเกิดเงินเฟ้อมันน้อยมากครับ ถ้าเอไปเทียบเฟียตเนี่ย ดีกว่าทองอีกด้วยซ้ำไปมั้ง  

ใช่ครับมันมากกว่านั้นแต่ก็เป็นส่วนสำคัญครับ แต่fed กลับทำสิ่งตรงข้ามมาตลอด2 3 ปีที่ผ่านโดยผลิตเงินดอลล่าเป็นจำนวนเกือบครึ่งนึงกับดอลล่าที่ผลิตมากว่าตั้งแต่เริ่มใช้งานดอลล่ามา แล้วยิ่งเลิกเอาทองคำแบ็คด้วย เอาจริงๆคุณพูดมาก็ดูพอเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อหรือทางด้านเศรษฐศาสตร์แล้วนะ แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าการเฟ้อที่คุณกล่าวถึงจากเหตุผลอื่นๆมันขี้ประติวมากเลยครับเทียบกับการผลิตเงิน อัตราส่วน40 60% ต่อ supply ทั้งหมดของดอลล่าที่เริ่มผลิตมา ในเมื่อไม่มี supplyจำกัด แล้วอยากผลิตเท่าไหร่ก็ผลิตได้เนี่ยแล้วไปเทียบกับบิตคอยที่จำกัด 21ล้านเหรียญแล้วทุก4ปีมีการ halving บิตคอยอีกเนี่ยโคตรจะดีที่สุดที่จะทำมาได้แล้วนะ อัตราการเกิดเงินเฟ้อมันน้อยมากครับ ถ้าเอไปเทียบเฟียตเนี่ย ดีกว่าทองอีกด้วยซ้ำไปมั้ง  

ผิดครับ เงินเฟ้อไม่ได้เกิดจากการพิมพ์เงินอย่างเดียว ลองอ่านโพสต์ของ อ Niran ดูครับ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10222553658962931&id=1014780851