ก็บอกอยู่ว่าอธิบายเรื่องประเทศ ประเทศต่างกันภาษีต่างกันค่าครองชีพต่างกัน ทุกประเทศจะเอาแบบแผนเดียวกันได้ปล่าว ใครบังคับรัฐบาลได้ ลดภาษีจาก 50 เหลือ 20 ยอมได้ปะ เอาเรื่องดี ๆ ที่แฟร์ FFP ทำได้มั้ยเป็นกฏที่เขียนออกมาบังคับด้วย ปิดตลาดก่อนเปิดฤดูกาลทำได้ปะ เรื่องง่าย ๆ อย่างลดค่าเหนื่อยช่วงโควิดเพื่อช่วยทีมยังทำไม่ได้เลย

ผมก็เข้าใจแบบนี้ และคิดว่าเหมาะสม แต่ทั้งนี้คงต้องผันตามปัจจัยอื่นๆ เช่น จำนวนเกมส์ต่อซีซั่น ในจะภาษีแต่ละปรเทศอีก อีกอย่างหลักๆ คือ ทำแค่ลีกเดียวมันไม่ได้นี่แหละ ต้องครอบคลุม

ทำไมประธานลาลีกาถึงต้องยับยั้งไม่ให้เมสซี่ เนย์มาย้ายทีม ทำไมปารีสต้องทุ่มซื้อเนยมา ทำไมยูเว่ต้องซื้อโด้ 100 ล้านค่าตัวแพงค่าเหนื่อยแพง ทำไมแฟนในทวิสเตอร์มาดริลถึงลดแล้วไปเพิ่มที่ยูเว่ ทำไมตอนที่โด้ลงสนามครั้งแรกให้ยูเว่แฟนถึงได้ตามดูเพิ่มขึ้น

เอ้าา แล้วจะมาเอาอะไรกับพ้ม ผมอธิบายให้เขาฟังเรื่อง salary cap ถ้ามันใช้งานได้จริงมันจะแฟร์ยังไง

ส่วนเรื่องจะเอามาปรับใช้แต่ละประเทศได้มั้ยหรือทำยังไงพ้มไม่รู้ พ้มไม่ใช่เซียน เรื่องนี้ให้เซียนๆเค้าคุยกันครับบ

คุณพี่ต้องการอะไรจากพ้มคร๊าบบบบ

พ๊อยคือทำไงให้ทีมเล็กทีมใหญ่มันแข่งกันได้ดีกว่านี้ ผมรู้ว่ารายได้มันมาจากอะไร ปัจจัย + - คืออะไร

ทำเป็น Salary Cap หรือ Fantasy Point แบบในเกมไง แต่ละทีมมีลิมิตค่าจ้างเท่ากัน

ทีมกำลังซื้อเยอะ ต้องคิดดีๆว่าจะลงทะเบียนตัวไหนบ้าง แต่ต้องไม่เกินที่กำหนด

อาจจะมีทั้งตัวซุปเปอร์สตาร์ค่าเหนื่อยแพง ผสมกับตัวธรรมดา หรือเด็กปั้น

มันก็จะป้องกันการซื้อตัวสำรองโหดๆมาถม เพราะตัวพวกนี้ต้องมีบางส่วนโดนตัดชื่อลงทะเบียน

พอตัวที่โดนตัดชื่ออยากลงเล่น ก็ต้องย้ายไปทีมที่ค่า FP ยังไม่เกิน กลายเป็นเปิดโอกาสให้ช่วยพัฒนาทีมระดับต่ำกว่าไปด้วย

เห็นใจทีมตกชั้นด้วยนะครับ
ไม่รู้ว่าถ้าเกิน salary cap. จริงจะโดนโทษอย่างไร
เดาเล่นๆ ก็มีตัดแต้ม, โดนปรับ เท่ากับยิ่งซ้ำเติม หรือจะอนุโลมให้ 1 ปี ก็ไม่แฟร์กับทีมในลีคอีก

ครับ

แค่กฎการเงิน ก็เพียงพอแล้วผมว่า ใครทำกำไรได้มาก ก็มีสิทธิ์ใช้เงินได้มาก

ทำยากนะ เพราะว่ามันมีลีคอื่นอยู่ด้วยไง

อารมณ์ประมาณกำหนดเพดานรวมของสโมสรหรือเปล่า แบบปีนี้กำหนด 1 พันล้าน จะมีนักบอลกี่คนในทีมก็ได้แต่ค่าเหนื่อยต้องจ่ายในวงเงินห้ามเกิน 1 พันล้าน แต่คิดว่าส่วนใหญ่สโมสรแต่ละทีมจะมีเพดานตรงนี้อยู่แล้วตาม Business Plan แค่มันกำหนดไม่เท่ากันแตกต่างกันไปตามกำลังเงินของสโมสร แต่อันเชกำลังสื่อว่ากำหนดให้ทั้งลีคมี Cap ตัวเลขเดียวกันเช่น 1 พันล้านทั้งลีคเท่าๆกัน ทีมเล็กหรือทีมใหญ่จะซื้อสตาร์หรือไม่ซื้อมากี่คนก็ได้แต่ใช้จ่ายค่าเหนื่อยได้ในวงเงินนั้นๆตามกฏ ผมเข้าใจแบบนี้นะ

ข้อดีที่มองเห็นคือทีมใหญ่จะซื้อพวกดาวรุ่งเก่งๆมากักตุนแล้วให้ค่าเหนื่อยแพงๆก็ต้องคิดให้รอบคอบแล้วบาลานซ์ให้เหมาะสม แล้วทำให้ตัวเก่งๆพวกนี้มีโอกาสไปอยู่ทีมรองๆเนื่องจากทีมรองๆอาจจะยังมี Cap เหลือให้ใช้จ่ายลงทุนกับนักเตะกลุ่มนี้ด้วย แล้วในอนาคตทีมรองๆพวกนี้ก็มีโอกาสเป็นทีมหัวแถวเพราะการกระจายผู้เล่นมันดีขึ้น

สโมสรอาจจะชอบก็ได้เอามาเล่นแง่กับนักเตะได้ ว่ามีกฏเพดานค่าจ้าง

นี่คือตัวอย่างชุดความคิดของทีมเล็ก เรียกร้องทุกอย่างทั้งที่ตัวเองยังพึ่งพาคนอื่น

ต้องทำแบบ HardCap ไปเลย ทีมไหน salary cap เกินก่อน deadline วันส่งรายชื่อผู้เล่น(มีกำหนดวันชัดเจนตายตัว) บทลงโทษจัดเต็ม ถูกปรับเงิน ตัดแต้ม ไม่อนุมัติให้ร่วมแข่งขันในลีก ตัดสิทธิ์ลงแข่งบอลถ้วยภายในประเทศทั้งหมด หรืออื่นๆ ไม่มีการอนุโลมใดๆ ทั้งสิ้น เอาง่ายๆ คือตัดสิทธิ์ทีมในปีนั้นหรือปรับตกชั้นไปเลย อะไรแบบนั้น บทลงโทษต้องแรงชนิดที่ทุกทีมต้องตาลีตาเหลือกเคลียร์ cap ให้จบก่อนเส้นตาย deadline อะไรทำนองนั้น

เจ้าของชอบสิครับ ได้เทคโอเวอร์กันมันมือเลย
เมื่อกดไม่สูงได้ รายรับก็คงเหลืออื้อ
สโมสรดังก็จะเป็นทีมในฝันแทน สโมสรที่โดนเทคก็มีโอกาศเกิดใหม่มากขึ้น
กฏการเงินมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันเจอเครือข่ายหลบมาอัดฉีดแบบปารีสเนี่ยสิ

Salary Cap หรือเพดานเงินเดือน คือตัวเดียวกันครับ คือกำหนดเพดานค่าจ้างของทุกทีมเท่าเทียมกัน แต่ไม่ใข่ว่าจะเกินไม่ได้นะครับ แต่ถ้าเกินแล้วจะต้องจ่ายค่าปรับ และภาษีมหาศาล เค้าเลยพยายามไม่ให้ค่าจ้างเกินเพดานนี้

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีกฎนี้ออกมา ใน NFL หรือ NBA ก็มีการซิกแซกเรื่องนี้เช่นกัน โดยการเซ็นสัญญาแบบค่าเหนื่อยไม่เท่ากันทุกปี สมมุติว่าทั้งสัญญาค่าจ้าง 60 ล้านดอลล่าร์เป็นเวลา 5 ปี ปีแรกอาจจะจ่ายน้อยแค่ 5 ล้าน ปีที่ 2 อาจจะ 7.5 ล้าน ปีที่ 3 7.5 ล้าน ปีที่ 4 10 ล้าน ปีที่ 5 15 ล้าน และปีสุดท้ายอาจจะแค่ 5 ล้าน การกระจายเงินเดือนเป็นแบบนี้จะทำให้ทีมสามารถมีเพดานเหลือเพื่อเซ็นผู้เล่นเพิ่มได้ เพราะเพดานเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นเกือบทุกปีประมาณ 10-15% อยู่แล้ว นอกจากนี้สัญญายังจะระบุถึงเงื่อนไขของเงินที่รับประกันว่าจะได้ (Guaruatee Money) และส่วนที่จะได้เป็นโบนัสไว้ด้วย

ในกรณีของเบรดี้ แกยอมรับค่าเหนื่อยในระดับกลางๆ เพราะแกได้เงินจากทางอื่นอยู่แล้ว ทุกวันนี้เล่น NFL เพื่อพิสูจน์ตัวเอง พอดังขึ้นมี เดี๋ยวก็มีคนมาจ้างเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งเงินตรงนี้ไม่เกี่ยวกับเพดานเงินเดือนอยู่แล้ว

แต่ปัญหาเรื่องเพดานเงินเดือนจริงๆ คือเรื่องค่าตัว นี่แหละครับ เพราะระบบเพดานเงินเดือนที่ใช้อยู่ใน American Game นั้น มันพ่วงกับระบบคัดเลือกนักกีฬาจากมหาวิทยาลัย สิทธิ์ในการคัดเลือกผู้เล่นในรอบต่างๆ ซึ่งทีมสามารถเลือกผู้เล่นตามข้อมูลที่ทีมมี และทีมมีสิทธิ์มากกว่าผู้เล่น (แต่ก็มีกรณีที่ผู้เล่นที่ถูกคัดเลือก แต่ไม่ยอมลงเล่นให้ทีม เช่นกรณีของอีลาย แมนนิ่ง ที่ถูกคัดเลือกโดย Cleveland Browns แต่แกบอกว่าจะไม่ยอมเล่นให้ จนสุดท้าย Newyork Giants ก็ยอมเทรดแลกแกกับสิทธิ์คัดเลือกตัวผู้เล่นมา) นอกจากนี้รายละเอียดในการแลกตัวผู้เล่น จะเป็นเหมือนกับ Barter trade มากกว่าจะเป็นการซื้อขายในฟุตบอล ดังนั้นผู้เล่นทุกคนจะไม่มี "ค่าตัว" การแลกตัวเกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่าย หรือสามฝ่ายมากกว่า ขึ้นกับการตกลง นอกจากนี้ทีมยังสามารถตัดตัวผู้เล่นได้ แต่อย่างไรก็จะมีเงื่อนไขด้วยว่า ถ้าตัดตัวในเวลานี้ จะมีเงินที่รับประกันว่าจะจ่ายให้ผู้เล่น ค้างอยู่ในเพดานเท่าไหร่ด้วย

ในขณะที่ฟุตบอล นักเตะทุกคนมีมูลค่า ในกรณีที่มีสัญญาผูกพันกันอยู่ ถ้าค่าตัวถึงสโมสรถึงยอมให้เจรจา ยกเว้นในกรณีที่นักเตะขึ้นบัญชีย้ายเอง

นี่ยังไม่รวมถึงความแตกต่างด้านค่าครองชีพ ภาษีอย่างที่หลายๆ ท่านกล่าวมาอีก ดังนั้นระบบ Salary Cap ไม่น่าจะใช้ได้ครับ เพราะถ้าใช้กันจริงๆ เค้าอาจจะให้เงินนักเตะในรูปของโบนัสโดยไม่รวมกับค่าเหนื่อย ซึ่งตรงนี้สโมสรที่ใหญ่กว่าจะได้เปรียบอยู่ดี

ระบบที่เหมาะสม แต่ยูฟ่าไม่เคยบังคับใช้ได้จริงจังซะทีมากกว่าอย่าง FPP น่าจะตอบโจทย์มากกว่าครับ คือหาเงินได้เท่าไหร่ ก็ต้องใช้เท่านั้น อย่างไรก็ตามการซิกแซกก็ยังมีอยู่เช่นเคย ซึ่งตรงนี้ยูฟ่าก็ต้องปรับกฎเพื่อปิดช่องโหว่มากขึ้น

แต่ยูฟ่า กับฟีฟ่า ช่วยเห็นใจนักกีฬาหน่อยเถอะ จะจัดแข่งอะไรควรจะถามถึงสภาพร่างกายของนักเตะบ้าง ที่มันทุเรศที่สุดคือ นักเตะไปรับใช้ชาติ ได้รับบาดเจ็บมา สโมสรก็ต้องรักษากันไป ยูฟ่า กับฟีฟ่า ลอยตัว เพิ่งมีไม่กี่กรณีที่ทางฟีฟ่าจ่ายเงินชดเชยให้สโมสรบ้าง อันนี้เป็นอีกเรื่องที่ควรได้รับการแก้ไขครับ