บิ๊กแมทช์ที่ไม่มีผู้ชนะ และ เซนเตอร์ คู่ 19 “หงส์” เก็บคลีนชีต
ออกตัวก่อนว่าบทความนี้เขียนแบบสมาธิไม่เต็ม 100 ซักเท่าไหร่เนื่องจากผมทำ 3 อย่างในเวลาเดียวกัน
คือ ดูบอล, ดู live สดม็อบ 28 กุมภาฯ และ ฟัง Clubhouse
สุดท้ายผมต้องเลือกปิดอันหลังสุดเหลือไว้แค่ 2 เพื่อเหลือ space ให้โสทประสาทสำหรับคู่บิ๊กแมทช์ประจำวันอาทิตย์ระหว่าง เชลซี กับ แมนฯยูไนเต็ด
ก่อนเกมผมเอียงๆไปที่ “ปีศาจแดง” เพราะมองว่าทีมของ โทมัส ทูเคิ่ล น่าจะครองบอลดีกว่าจนทีมเยือนต้องร่นไปคุมโซนเพื่อรอจังหวะสวนกลับที่คุ้นเคย
แต่เอาเข้าจริงกลายเป็นว่าครึ่งแรกเป็นเกมที่เร็วจัดๆ การเข้าบอลของนักเตะทั้ง 2 ทีม hi-speed จนไม่มีเวลาหายใจหายคอ เราคนดูยังเหนื่อยแทน (นักเตะไม่ต้องพูดถึง) ด้วยเหตุนี้จึงได้เห็นการเสียบอลนับไม่ถ้วนจากทั้งสองฝั่ง
โดยเฉพาะ ฮาคีม ซีเยค ออกทะเลทันทีจากการถูกเพรสแล้วต้องมาเล่นตรงกลาง
เมื่อออกมาเวย์นี้ตลอด 45 นาทีจึงไม่มีการยิงให้ผู้รักษาประตูได้เซฟใดๆ (ยกเว้นฟรีคิกของ มาร์คัส แรชฟอร์ด)
ครึ่งหลังเกมเปิดมากขึ้นจนมีโอกาสส่องมากกว่าชัดเจนและ เชลซี น่าจะขึ้นนำตั้งแต่เสียงนกหวีดครึ่งหลังผ่านมาแค่ 3 นาทีแต่ลูกยิงเน้นๆตรงบริเวณจุดโทษของ ซิเยค ติดเซฟ เด เกอา แบบไม่น่าเชื่อ
โอกาสของ ยูไนเต็ด ส่วนมากจะเป็นการถูกบีบให้ยิงจากนอกเขตโทษซะเป็นส่วนใหญ่ จึงกลายเป็นโอกาสแบบ half chance
ที่ใกล้เคียงที่สุดเป็นลูกยิงของ แม็คโทมิเนย์ ที่ติดเซฟ เมนดี้
อย่างไรก็ดีผมว่าการ “ฉายแสง” (ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับมะเร็ง) ของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ในครึ่งหลังมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำลายเกมหลังอยู่ถูกที่ถูกเวลาไปทั่วสนาม
ผลเสมอครั้งนี้สร้างสถิติให้ทั้ง 2 ทีมขึ้นมาพร้อมๆกันคือ “สิงห์บลู” ภายใต้ ทูเคิ่ล เก็บคลีนชีตในบ้าน 4 นัดติด
ซึ่งน้าแกถือเป็นกุนซือคนที่ 2 ที่ทำได้หลังคนแรกคือ เบรแดน ร็อดเจอร์ส ทำไว้กับ สวอนซี เมื่อฤดูกาล 2011-12
ในขณะที่ “ปีศาจแดง” ไม่แพ้ใครนอกบ้านมานานถึง 20 เกมเข้าให้แล้ว เป็นสถิติที่ไม่ธรรมดาในยุคโควิดอย่างแท้จริง
แต่ความเสียหายจากการแบ่งแต้มกันครั้งนี้ทาง เชลซี ดูเหมือนจะรับเต็มกว่าเพราะเป็นการเสมอ 2 นัดติดทำแต้มหายไป 4 ชวดโอกาสแซง เวสต์แฮม มา 2 สัปดาห์แล้ว
ด้าน ยูไนเต็ด แม้ผลเสมอจะทำให้ตามหลัง “จ่าฝูง” แมนฯ ซิตี้ ห่างถึง 12 แต้มแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฝั่ง เร้ด อาร์มี่ รู้สึกปวดร้าวอะไรเพราะไม่มีใครหยุดทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า ได้แล้วครับ
กลางสัปดาห์นี้ (วันพฤหัสที่ 4)“สิงห์บลู” จะเจองานใหญ่ 2 นัดติดเมื่อไปเยือน ลิเวอร์พูล ถือเป็นการตัดแต้มกันเอง
ครับ เมื่อพูดถึง “หงส์แดง” ซึ่งเตะปิดคู่สุดท้ายในคืนวันอาทิตย์และสามารถเอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นบ๊วยไป 2-0
เป็นชัยชนะที่แอบ “ตึง” ในระหว่างเกมเอามากๆเพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ แพ้มา 4 นัดรวด
อารมณ์ของคนเชียร์ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ดำดิ่งมากครับเพราะขนาดเจอ “ที่โหล่” ก็ยังไม่มีใครมั่นใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นรายชื่อเซนเตอร์แบ็คเป็น โอซาน คาบัค และ แนท ฟิลลิปส์
นี่คือคู่เซนเตอร์คู่ที่ 18 ของ “หงส์แดง” ในฤดูกาลนี้!!
ปกติทุกๆทีมหมุนเวียนเซนเตอร์ต่อซีซั่นผมให้เต็มที่เลย 4 คู่แต่พวกพี่ล่อไป 19 นี่มันบ้าไปแล้วและดันบังเอิญเก็บคลีนชีตได้ในเกมนี้พอดี
ไม่อยากดิสเครดิตแต่ “หงส์แดง” ถือว่าแอบดวงดีไม่น้อยที่ไม่เสียประตูหลายต่อหลายหนให้แต่ เชฟฯยูฯ ตอกย้ำให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทีมที่เกมรุกห่วยที่สุดเพราะเพิ่งยิงไปแค่ 15 ลูกเท่านั้นเอง
เกมนี้ผมมองว่า คริส ไวล์เดอร์ บิ๊กบอส “ดาบคู่” วางแท็คติกส์ “รอส่วนบุญ” ด้วยการให้ลูกทีม 4-5 ตัวไปเพรสแดนบนโดยปักใจเชื่อว่าแนวรับทีมเยือนจะต้องพลาดให้แน่ๆ
รวมถึงการพยายามทำให้บอลมันโด่งเข้าไว้ไม่ว่าจะจังหวะที่ควรโด่งตามธรรมชาติหรือพยายามฝืนให้มันโด่งเพื่อให้เข้าตำรา Hit and Hope
เราเห็นจุดอ่อนของเซนเตอร์คู่นี้ที่น่าเป็นห่วงเอามากๆนั่นคือการไม่ให้เสียงด้วยการเข้าไปแย่งโหม่งพร้อมกันอยู่ 2-3 หน
นี่ถ้าลูก OG. ของ คาบัค ไม่ถูกจับเป็นล้ำหน้าของ โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่ ผมไม่กล้านึกเลยว่าจะมีโอกาสที่ “แชมป์เก่า” จะแพ้ 5 นัดรวดมันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ในขณะที่เกมรุกของ “หงส์แดง” ก็เข้าสูตรเดิมคือคู่แข่งพุ่งบล็อก ล้มตัวกวาดเก่งอีกแล้ว
เช่นเดียวกับผู้รักษาประตูที่มักจะเข้าฝักหลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง อารอน แรมส์เดล เซฟจะๆไปแล้วถึง 4 หน
ทันทีที่ เคอร์ติส โจนส์ ปลดล็อกยิงประตูขึ้นนำหลังพักครึ่งมาได้แค่ 3 นาที มันให้ความรู้สึกยกภูเขาออกจากอกของ เดอะ ค็อป
เกมนี้ผมไม่อยากวิเคราะห์อะไรมาก เพราะเป็นการลงสนามตามสภาพเท่าที่จะจัดตัวได้แล้ว
ถือว่าเกมเจอ “บ๊วย” มาคั่นถูกที่ถูกเวลาทำให้ “หงส์แดง” เอาชนะในรอบ 5 นัดลดความกดดันไปอย่างมหาศาล
แต่ที่ไม่ถูกที่ถูกเวลาอย่างแรงคือ JK ดันมีเกมกลางสัปดาห์ จนผมคิดว่า ฟาบินโญ่ ตัวความหวังเดียวของหมู่บ้านไม่น่าฟิตทันในเกมบิ๊กแมทช์
คือหลังเห็นการเล่นของคู่เซนเตอร์คู่ที่ 19 + “สิงห์บลู” พร้อมส่ง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กลัวเหลือเกินว่าจะคาบ้าน 5 นัดติดเอาน่ะสิครับ...
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Mon Mar 01, 2021 05:41, ทั้งหมด 2 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ